เด็กชายทั้งสองเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ก็อายุได้ห้าขวบแล้ว
ตอนนี้ฟ้าณดาเริ่มได้เงินจากการเขียนแบบเสื้อผ้าในงานแฟชั่นโชว์มากมาย บางชุดยังได้เอาไปตัดเป็นชุดฟินาเล่อีกด้วย
เพราะแบบนั้น เธอเลยต้องเข้าไปที่บริษัทบ่อยขึ้น บางครั้งก็มีประชุมกับทีมจนถึงเย็น แต่เพราะอรอุมาเข้าใจว่าเธอต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เลยไม่ได้ให้มาในเวลาเย็นมากนัก มีแค่บางครั้งที่ตารางมันแก้ไม่ได้ เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เท่านั้น
อย่างเช่นวันนี้ ที่เวลาประชุมดันตรงกับเวลารับลูกพอดี ฟ้าณดาเลยรบกวนนัทธมลให้ไปพาเด็ก ๆ มาส่งให้ที่บริษัทที
ด้วยความเป็นคุณน้าที่แสนดี แม้ติดงานในกองถ่ายโฆษณาอยู่ นัทธมลก็ยังแอบแวบออกไปรับหลาน ก่อนจะบึ่งรถไปยังตึก star entertainment
“ไอเดนครับ อาเบลครับ นั่งอยู่กับพี่สาวคนสวยตรงนี้ รอคุณแม่สักครึ่งชั่วโมงนะครับ”
นัทธมลย่อเข่าลงมา บอกหลานชายทั้งสองด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนเล็กน้อย พลางยื่นมือลูบหัวเด็กทั้งสอง
“น้าแนทจะไปไหนต่อเหรอครับ?” ไอเดนถาม เธอก็มีรอยยิ้มแห้ง ๆ “น้ามีถ่ายโฆษณาต่อครับ ขอโทษนะที่อยู่ด้วยไม่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ น้าแนทขับรถดี ๆ นะครับ” อาเบลบอกแบบนั้น ให้หญิงสาวทำหน้าเหมือนไม่อยากจากลา แต่ก็จำเป็นต้องไป
ก่อนจากเธอสวมกอดเด็กชายทั้งสอง บอกว่าแล้วเธอจะแวะไปหาพวกเขาที่บ้าน ก่อนจะคุยกับพนักงานที่ทำงานตรงเคาน์เตอร์เซอร์วิสตรงชั้นหนึ่ง ฝากให้ดูแลไอเดนกับอาเบลเป็นการชั่วคราว
ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอเดนกับอาเบลได้มานั่งรอแม่ที่นี่ พนักงานทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับเด็กชายทั้งสองดี พวกเธอจึงรับฝากเลี้ยงด้วยความเต็มใจ
“น้องไอเดน น้องอาเบล อยากระบายสีไหมครับ?” พนักงานสาวถามพลางยื่นสมุดระบายสีกับสีเทียนให้เด็กชายทำตาโตก่อนรับมา
“ขอบคุณครับพี่สาวคนสวย”
ไอเดนเป็นเด็กช่างพูด ยิ่งชมกลับแบบนี้ก็ยิ่งมีแต่คนเอ็นดู ส่วนอาเบล พอรับมาแล้วเขาก็ก้มหน้าม้วนเขิน “ขอบคุณครับ”
ท่าทางแบบนี้ก็ตกหัวใจผู้ใหญ่ไปได้เช่นเดียวกัน ทำให้พวกเธออมยิ้มได้ขณะทำงานไปพลางคอยดูแลเด็ก ๆ
การดูแลไอเดนกับอาเบลก็ง่ายแสนง่าย เพราะเมื่อได้สมุดระบายสี ทั้งคู่ก็จะไปนั่งจดจ่อกับมันอยู่แค่สองคน คุยกันเบา ๆ ไม่รบกวนใคร ไม่ร้องโวยวายหรือทำตัวดื้อซนวิ่งไปทั่วให้ทุกคนต้องเหนื่อยจับ
“น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลยนะ” พนักงานสาวคนหนึ่งชม อีกคนก็เห็นด้วย “พี่ฟ้าเขาสอนลูกดีมากเลยล่ะ”
ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้จักฟ้าณดา เพราะเธอเป็นหนึ่งในพนักงานบริษัทที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์มาก
“อ้าว! นั่นลูกน้องฟ้านี่”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ให้พนักงานตรงเคาน์เตอร์เซอร์วิสหันมอง “สวัสดีค่ะพี่ศรัณย์”
เป็นศรัณย์ที่เอ่ยทักทาย เขาทำหน้านึกก่อนยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “กว่าแผนกนั้นจะเลิกประชุมคงอีกเกือบชั่วโมงได้ละมั้ง”
ตอนนี้ชายหนุ่มได้เปลี่ยนตำแหน่งจากรองหัวหน้าแผนกออกแบบ ไปเป็นหัวหน้าแผนกการตลาดแทน เพราะผลงานการพาพนักงานไปเยี่ยมบริษัทแม่ที่อังกฤษของปีที่ผ่าน ๆ มา พวกผู้ใหญ่มองว่าศรัณย์มีความสามารถด้านการขายด้วย แถมยังสานสัมพันธ์กับคนเก่ง เลยโปรโมตให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นภายในห้าปี
“เด็ก ๆ อยากไปกินไอศกรีมกับลุงไหมครับ คาเฟ่ข้าง ๆ บริษัทอร่อยมากเลยนะ”
ศรัณย์เข้าไปทักทายไอเดนกับอาเบล ซึ่งทั้งคู่เคยเจอหน้าเขาแล้วจากตอนที่มาบริษัทครั้งก่อน ๆ แต่ไม่ได้สนิทถึงขั้นได้คุยกันมากนัก
“พี่ศรัณย์อย่าเรียกแทนตัวเองว่าลุงสิคะ ดูแก่ไปเลย”
หนึ่งในพนักงานสาวว่าพลางขำ ศรัณย์ก็ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่หรอก พี่แก่กว่าน้องฟ้าเป็นสิบปีเลยนะ เรียกลุงน่ะถูกแล้ว”
ระหว่างนั้น ทั้งไอเดนและอาเบลเงยหน้ามองชายหนุ่ม ก่อนที่ไอเดนจะเป็นคนตอบ “ไม่เป็นไรครับ น้าแนทบอกว่าให้รอแม่อยู่ตรงนี้”
พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของนัทธมล ได้ยินอย่างนั้นศรัณย์ก็อมยิ้มกว้าง ยื่นมือมาลูบศีรษะทั้งคู่ “เป็นเด็กดีจังเลยนะ แบบนี้ยิ่งต้องเลี้ยงขนมเยอะ ๆ เลย”
เขาคงเอ็นดูทั้งคู่มาก อีกทั้งนี่ก็เริ่มจะเย็นมากแล้วด้วย อาเบลเริ่มจะท้องร้องขึ้นมา เลยสะกิดบอกไอเดนว่าหิว
ท่าทางที่ดูน่ารักอย่างนี้ มีหรือจะพลาดสายตาของผู้ใหญ่ ศรัณย์เลยยกข้ออ้างขึ้นมาพูด “ถ้าเราไปกินขนมกับลุงระหว่างรอคุณแม่ พอตอนกลับบ้านคุณแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำกับข้าวเยอะไงครับ แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ”
พอเอาเรื่องแม่มาอ้าง เด็กชายก็เริ่มเกิดความสนใจ พวกเขาหันมองหน้ากัน ก่อนจะหันมาตอบตกลง “ขอบคุณครับคุณลุง”
เท่านี้ก็เรียบร้อย..
ศรัณย์หันไปบอกพนักงานสาวทั้งสองว่าจะพาเด็ก ๆ ไปคาเฟ่ข้างตึกบริษัทสักพัก แล้วจะพากลับมาส่งให้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเธอไว้ใจเขา
เมื่อมานั่งลงในร้านแล้ว ศรัณย์ก็ให้ไอเดนกับอาเบลเลือกขนมที่อยากกิน ส่วนตัวเองสั่งกาแฟเพียงแก้วเดียวเท่านั้นก่อนจะเริ่มชวนคุย
“ตอนนี้ไอเดนกับอาเบลอายุกี่ขวบแล้วครับ?”
“ห้าขวบครับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพรียง
“อืม.. ลุงได้ยินว่าพวกเราทำงานช่วยคุณแม่ด้วย”
“ใช่ครับ เราไปถ่ายแบบ แล้วก็โฆษณาด้วย” ไอเดนเป็นคนตอบให้ ส่วนอาเบลเพียงพยักหน้า
“เก่งจังเลยนะ” ศรัณย์ชมพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “แล้วพวกเราไม่เหนื่อยเหรอ? เวลาทำงานน่ะ”
“ไม่ครับ” ไอเดนว่า อาเบลส่ายหน้า
“เหรอ.. แต่ลุงว่ามันน่าจะเหนื่อยมากเลยนะ ต้องช่วยแม่ทำงานหาเงินเนี่ย”
“มีคุณแม่กับพวกคุณน้าคอยดูแลตลอด เราแทบไม่ทำอะไรเลยครับ” คราวนี้เป็นอาเบลที่กล้าพูดขึ้นมาบ้าง
“อย่างนี้เอง”
ศรัณย์ก็เพียงพยักหน้ารับ นั่งมองเด็กทั้งสองกินขนมที่พึ่งถูกยกมาเสิร์ฟ
ระหว่างนั้นไอเดนกับอาเบลไม่รู้หรอกว่าในหัวของผู้ชายคนนี้มีความคิดแบบไหนอยู่ และก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรมากด้วย
จนกระทั่งได้ยินคำถามต่อมา..
“ถ้าพวกเรามีพ่อ ก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก”
คำพูดนี้ทำให้พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างงง ๆ
ส่วนทางชายหนุ่ม..เขายังทำเพียงส่งยิ้ม แบบที่หากเป็นผู้ใหญ่จะมองออกว่าไม่ใช่รอยยิ้มจริงใจสักเท่าไร
“พ่อเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ?” เป็นไอเดนที่ถามกลับ
“ก็ถ้ามีพ่อคอยช่วยหาเงินเลี้ยงเรา ทั้งเรา ทั้งแม่ก็จะได้ไม่ลำบากมากไง”
“แต่นี่ก็ไม่ลำบากอะไรนะครับ” อาเบลเสริม ศรัณย์ก็เพียงหัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าน้อย ๆ
“เป็นเด็กก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่รู้หรอกว่าแม่เราลำบากขนาดไหนกว่าพวกเธอจะโตมาได้ ซึ่งความจริงถ้าหากมีพ่ออีกสักคนมาช่วยดูแล ก็คงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้”
ฟังอย่างนี้แล้ว เด็กชายทั้งสองก็เงียบไป
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาพูดกับพวกเขาอย่างนี้ มันทำให้รู้สึกจุกข้างในอกอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
ด้วยความเป็นเด็ก พวกเขายังไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ และยังไม่ได้รู้เรื่องมากพอจะหาวิธีพูดโต้ตอบกับคนที่ว่าพวกเขาทางอ้อม
แต่แน่นอนว่าในใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกดีกับศรัณย์เลยสักนิด..
“เป็นลูกไม่มีพ่อมันก็แย่หน่อยนะ” ศรัณย์ยังจิบกาแฟต่ออย่างสบายอารมณ์ตอนกล่าวคำพูดทำร้ายจิตใจเด็กอย่างนั้น
“ถ้าหากเมื่อก่อนแม่ของพวกเธอเลือกฉัน ชีวิตก็คงจะดีกว่านี้มาก”
เขาพูดเรื่องอะไร..?
ในใจไอเดนกับอาเบลเกิดคำถาม ไม่ใช่ฟังไม่เข้าใจ แต่เพราะไม่รู้ว่าเจตนาของศรัณย์มันดีหรือร้ายต่างหาก
เย็นนั้น หลังจากที่กินขนมไม่ลงกันทั้งคู่แล้ว ศรัณย์ก็พาสองฝาแฝดกลับมาส่งตรงเคาน์เตอร์เหมือนเดิม ให้ทั้งคู่นั่งเงียบรอแม่อยู่แบบนั้น
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?