หลายวันผ่านไป อีธานก็เริ่มจะทำตัวคล้ายสตอล์คเกอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ
นั่นเป็นในความคิดของโนอา เพราะเขาเห็นเพื่อนเอาแต่แอบตามดูความเคลื่อนไหวของสามแม่ลูกไปทุกที่
เรียกว่างานการแทบจะไม่สนใจทำแล้ว
แล้วงานพวกนั้น
ใครต้องเป็นคนสะสางแทนล่ะ... ก็โนอาเลขาคนดีคนนี้ไงครับ
“ท่านประธานครับ ไม่ทราบว่าจะเลื่อนลูกตามาดูเอกสารตรงนี้ได้หรือยังครับ?”
เสียงของเลขาหนุ่มว่าประชด
ขณะจดจ้องไปที่เพื่อนซึ่งตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็นเจ้านายเพราะทั้งคู่อยู่ในที่ทำงาน
อีธานถึงกับสะดุ้งเบา ๆ
เพราะเขากำลังใช้สมาธิไปกับการจดจ้องภาพจากกล้องวงจรปิดที่โชว์อยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่
แล้วสิ่งที่เขามองอยู่นั้น
จะเป็นอะไรไปได้ หากไม่ใช่ภรรยาคนสวยอย่างฟ้าณดา
วันนี้ฟ้าณดากลับมาที่บริษัทเพื่อเข้าประชุมเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าที่จะใช้ในงานแฟชั่นโชว์ครั้งหน้าที่จะจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส
ช่วงนี้ฟ้าณดาได้กลับมาที่ star
entertainment บ่อย ๆ เพราะว่าพอลูกเริ่มโต
เธอก็ไม่ค่อยได้รับงานแบบ work from home มากนัก
ความจริงอรอุมาก็เห็นใจฟ้าณดาอยู่หรอก
แต่เพราะว่าเธอได้รับคำสั่งจากประธานใหญ่มาอีกทีว่าให้ฟ้าณดาเริ่มกลับมาทำงานที่นี่สลับกับทำงานที่บ้าน
เวลามีการประชุมแต่ละทีฟ้าณดาเลยต้องมาเข้าร่วมอย่างช่วยไม่ได้
ที่อีธานสั่งอย่างนั้น จุดประสงค์ก็มีเพียงข้อเดียว
เขาจะได้แอบดูเธอผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แทบทุกมุมในตึกแห่งนี้อย่างไรเล่า
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
คนนั่งเก้าอี้ประธานกระแอมเบา
ๆ ก่อนจะทำเป็นตั้งใจเปิดดูแฟ้มเสนอเอกสารที่โนอาเอามากางไว้ตรงหน้า
แต่สุดท้ายดวงตาของเขาก็ยังไม่ละจากจอคอมอยู่ดี
ภาพนี้ทำเอาเลขาหนุ่มต้องถอนหายใจ
“เอาล่ะ ๆ ถ้านายเริ่มจะอ่านไม่ไหว
งั้นฉันจะขออนุญาตเล่ารายละเอียดเอกสารให้ฟังแล้วกัน
นายพิจารณายังไงฉันจะเขียนคอมเมนต์ไปตามนั้น”
ปกติเลขาก็มีหน้าที่สแกนดูความเรียบร้อยของเอกสารคร่าว
ๆ อยู่แล้ว ส่วนเรื่องอำนาจการตัดสินใจน่ะต้องให้เป็นไปตามที่อีธานพอใจอีกที
แต่เดี๋ยวนี้งานของโนอาเริ่มจะมากขึ้น
เพราะต้องเป็นคนช่วยประมวลผลทุก ๆ อย่าง
เรียกว่านอกจากทำหน้าที่เป็นมือเท้าให้แล้ว
ยังต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนหูตาจมูกปากแทนด้วย
แบบนี้จะไม่ให้เหนื่อยใจจนเผลอหลุดมาดเลขากลับมาเป็นเพื่อนธรรมดาได้อย่างไร
หากไม่เกรงใจกันยิ่งกว่านี้ โนอาคงจะเผลอด่าอีธานไปหลายยกแล้ว
สุดท้าย
กว่าจะเคลียร์งานเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมง ๆ เพราะอีธานไม่มีสมาธิเลย
แถมตอนประชุมกับบอร์ดบริหารช่วงบ่าย
เขาก็ยังเผลอใจลอยไปจนฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องอีก
กว่าจะหมดวันได้ก็ทำเอาโนอาเหมือนแทบลากเลือดเลยทีเดียว
ขอล่ะ..
ขอให้คุณฟ้าตอบรับความรู้สึกของอีธาน อย่าให้เธอปฏิเสธเขาเลย
ไม่อย่างนั้นโนอาคนนี้ต้องได้ตายเพราะโดนงานทับร่างแน่ ๆ
โนอาว่าในใจขณะจัดการเอกสารกองพะเนินที่เพื่อนอ่านทิ้งไว้
ส่วนเจ้าตัวน่ะหรือ..ตอนนี้แอบแวบลงไปข้างล่างเรียบร้อยแล้ว
เพราะมองกล้องวงจรปิดไปเห็นว่าหญิงสาวที่ชื่อนัทธมลพาลูกชายฝาแฝดมาส่งที่บริเวณเคาน์เตอร์เซอร์วิสเหมือนเคย
ทางฝั่งของไอเดนกับอาเบล...เมื่อเช้าแม่ของเขาบอกว่าต้องเข้าบริษัท
และวันนี้จีจี้กับนัทธมลก็ไม่ว่าง เลยจำเป็นต้องให้ลูกมานั่งรอเหมือนเดิม
ฟ้าณดาบอกกับลูก ๆ
ว่าไม่อยากให้พวกเขามาเลย เพราะกลัวว่าจะได้เจอกับคนไม่หวังดี ทำให้ลูก ๆ
รู้สึกแย่ แต่มันเป็นเหตุจำเป็น เด็กน้อยทั้งสองก็เข้าใจ
“อืม..หิวจัง”
ไอเดนเริ่มบ่นขึ้นมาเบา ๆ
พร้อมกับเสียงท้องร้องให้น้องชายได้ยิน อาเบลก็หันมาตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “อาเบลก็หิวนิดหน่อย”
เด็ก ๆ อยู่ในวัยกำลังโต
เวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้ ปกติฟ้าณดาจะต้องรีบพากลับบ้าน
และมีอาหารกินเล่นหรือขนมรออยู่เสมอ แต่เพราะวันนี้อยู่ข้างนอก
เลยทำให้ทั้งคู่ไม่ได้กินของว่างตรงเวลา
ด้วยความเป็นเด็กดี
พวกเขาจะไม่กล้าบอกพนักงานที่ช่วยดูแล เพราะไม่อยากไปรบกวนการทำงานของใคร
“อ้าว! เจอกันอีกแล้ว”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเด็ก
ๆ ให้ดวงตากลมใสสองคู่เลื่อนไปมอง
ก่อนจะกลายเป็นฉายแววผิดหวังออกมา...เพราะคนที่เข้ามาทักทาย
คือคนที่สองแฝดไม่อยากเจอมากที่สุด
ศรัณย์นั่นเอง
แต่ด้วยความที่ฟ้าณดาสอนไอเดนกับอาเบลให้เป็นเด็กมีมารยาท
รู้จักไปลามาไหว้ พวกเขาจึงยกมือไหว้ “สวัสดีครับลุงศรัณย์”
“มารอแม่เหรอ?” เขาถาม
ไอเดนกับอาเบลก็พยักหน้าตอบแบบไม่ค่อยกล้าสบตามากนัก
“แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง? อยากให้ลุงพาไปกินขนมเหมือนเดิมไหม”
ศรัณย์ย่อเข่าลงมาคุยด้วย
ทำให้ไอเดนกับอาเบลตกใจ เผลอก้าวถอยไปก้าวเล็ก ๆ
ท่าทางอย่างนี้บ่งบอกว่าเด็กชายทั้งสองไม่อยากเจอ
และไม่อยากเข้าใกล้ศรัณย์สุด ๆ ในใจพวกเขาภาวนาว่าขอให้แม่มาหาเร็ว ๆ
หรืออย่างน้อยเป็นใครก็ได้ที่มาพาพวกเขาไปให้ไกลจากชายคนนี้
“ไอเดน อาเบล”
ในตอนที่ทั้งสามเผชิญหน้ากันนั้นเอง
ราวกับว่าสวรรค์จะได้ยินคำขอของเด็กชายทั้งสอง
เพราะมีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเท่าไรเอ่ยเรียกจากทางด้านหลังศรัณย์อีกที
ทว่าเมื่อชะเง้อมองแล้ว
ทั้งไอเดนกับอาเบลก็ต้องเผยรอยยิ้มกว้าง “ลุงอีธาน!”
อีธานปรากฏตัวอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
และนั่นทำให้ศรัณย์ตกใจเล็กน้อย
เมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดแล้ว
เขาก็ต้องมีเข้าประชุมกับพวกผู้บริหารบ้างเป็นครั้งคราว และมีบางครั้งที่จะได้พบกับท่านประธานใหญ่อย่างอีธานด้วย
ถึงแม้จะน้อยครั้งมากแต่เขาก็ยังจำหน้าอีกฝ่ายได้แม่น
“คุณอีธาน ยังอยู่ที่เมืองไทยเหรอครับ
ผมนึกว่ากลับประเทศอังกฤษไปแล้วเสียอีก”
ศรัณย์ทักทายพร้อมส่งรอยยิ้มประจบ
อีธานก็ตอบรับเพียงไม่มาก ยังคงมาดนิ่งขรึมอยู่เหมือนเดิม “พอดีช่วงนี้งานที่ไทยมีเยอะกว่าที่บริษัทแม่น่ะ”
เมื่อก่อนเขาก็มีบินไปบินมาอย่างนี้บ้าง
แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าจะมาอยู่นานเป็นพิเศษ นั่นทำให้ศรัณย์นึกแปลกใจ
อีธานไม่ได้สนใจจะคุยกับศรัณย์มากนัก
เขาเพียงหันมาสนใจเด็กชายทั้งสองต่อ “หิวไหม
ลุงจะพาไปทานข้าว”
“คุณอีธานไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ เด็กสองคนนี้เป็นลูกพนักงาน
เดี๋ยวผมดูแลให้เอง”
ศรัณย์คงตั้งใจจะประจบคนใหญ่คนโตเหมือนเคย
แต่นั่นทำให้อีธานไม่ค่อยพอใจนัก
“ไม่เป็นไร ผมอยากอยู่กับเด็ก ๆ อีกอย่าง คุณน่าจะมีงานเหลือให้ทำอยู่นะ”
เมื่อเขาเตือนเรื่องงานขึ้นมา
ศรัณย์ก็ไม่กล้าที่จะแย้งอะไรต่อ ได้เพียงตอบรับอย่างสุภาพเท่านั้น “ครับคุณอีธาน”
ส่วนอีธาน
เขาย่อเข่าลงมาข้างหนึ่งเพื่อคุยกับลูก “ไปหาอะไรกินกับลุงไหม
เสร็จแล้วเดี๋ยวลุงพามาส่งที่นี่”
“ครับ”
ไอเดนกับอาเบลไม่ปฏิเสธ
ถึงทั้งคู่จะไม่ได้รู้จักอีธานมากนัก แต่ก็ยังรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วยมากว่าตอนอยู่กับศรัณย์
ชายหนุ่มร่างสูงจูงมือเด็กน้อยทั้งสองคนละข้างก่อนพาเดินออกจากบริษัท
ตอนนั้นไอเดนกับอาเบลก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมทุกคนถึงมองอีธานอย่างตะลึงอย่างนั้น
“คุณลุงอีธานทำงานที่นี่ด้วยเหรอครับ?”
ไอเดนถาม
อีธานก็หันมาส่งยิ้มอบอุ่น “ใช่ครับ
แต่ลุงไม่ค่อยได้เข้ามาหรอก นาน ๆ ทีเวลามีเรื่องสำคัญถึงจะได้มาน่ะ”
“เหมือนคุณแม่เลยครับ” คราวนี้เป็นอาเบลที่ว่าขึ้นมา
ยังเงยหน้ามองด้วยแววตาเปล่งประกาย
“งั้นเหรอ”
อีธานเพียงตอบรับเสียงนุ่มทุ้ม
ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องของฟ้าณดามาก่อน
แต่ความจริงเขาตามสืบจนรู้หมดทุกอย่างแล้วนั่นแหละ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?