สามเดือนผ่านมาแล้ว หลังจากวันอันเลวร้ายนั้นเกิดขึ้น...
สามเดือนนี้ฟ้าณดายังคงตั้งใจทำงานที่บริษัทต่อไปโดยไม่บอกเรื่องวันสุดท้ายก่อนกลับไทยให้ใครฟังทั้งนั้น แม้แต่ณิชาที่นั่งทำงานโต๊ะติดกัน
และศรัณย์ที่เดินหน้าจีบเธอแบบเห็นได้ชัด..
“น้องฟ้า ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ? พี่เห็นนั่งจุกอยู่ท่าเดิมมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้วนะ”
เพียงนึกถึงเท่านั้น ฟ้าณดาก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มในความคิดดังมาจากทางเข้าแผนก ซึ่งเธอก็จะทำเพียงหันกลับไปตอบนิ่ง ๆ “ฟ้ายังไม่หิวค่ะ”
ทีแรก ๆ ฟ้าก็มีรอยยิ้มส่งให้อยู่หรอก แต่พักหลัง ๆ มานี้เธอสังเกตว่าศรัณย์เริ่มเข้ามายุ่งกับชีวิตเธอมากไป ทั้งถามไถ่เรื่องกินข้าวกินน้ำบ้าง เร่งให้เธอไปพักผ่อนทั้งที่งานของเธอยังไม่เสร็จบ้าง
เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าถ้างานไม่เสร็จแล้วเขาจะมาทำให้เหรอ? ที่สำคัญคือถ้าพี่อรอุมาว่าเธอขึ้นมาจะทำยังไง
“แต่พี่ว่า..”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ แต่เอาไว้ฟ้าหิวแล้วจะหาอะไรกินเองค่ะ”
ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เธอก็ตัดบทชายหนุ่มไปเสียดื้อๆ
ท่าทางของศรัณย์ที่มีต่อฟ้าณดาเริ่มชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่ทำให้ฟ้าณดารู้สึกดีเวลาที่ได้รับความเป็นห่วงจากเขา
คงเพราะมุมมองของเธอที่มีต่อผู้ชายมันเปลี่ยนไปแล้วละมั้ง...
เธอไม่อยากจะเหมารวมหรอก แต่มันแค่รู้สึกเป็นความรู้สึกขยาดผู้ชายน่ะ
“ฟ้า แกอย่าใจร้ายกับพี่ศรัณย์นักสิ” ณิชาขยับเข้ามากระซิบ แต่ท่าทีที่ฟ้าณดาตอบกลับก็มีเพียงเสียงถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันแค่ไม่ได้รู้สึกดีที่เขามาทำดีด้วย”
“แต่ฉันว่าการปฏิเสธน้ำใจจากเขามันก็โหดร้ายอยู่ดีนะ”
“ไม่หรอก ฉันว่าทำแบบนี้ดีกว่าแกล้งเล่นตอบ ทั้งที่ความจริงไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย”
ฟ้าณดาตอบปัดอย่างไร้เยื่อใย แต่เธอมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องแล้ว
ตอนนี้เธอขอตั้งหน้าตั้งตาทำงานก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดแล้วกัน
อีกอย่าง..เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนในตอนนี้ มันก็มาจากความเครียดที่ฟ้าณดาได้รับมาตลอดสามเดือนด้วย
ตั้งแต่กลับจากอังกฤษคราวนั้น..ประจำเดือนของเธอยังไม่มาเลย
ฟ้าณดาพยายามปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะความเครียด ความกดดัน และเพราะว่าเธอกินอาหารน้อยลงมาก เลยทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ
แต่เธอไม่เคยมีช่วงที่ประจำเดือนเว้นไปนานขนาดนี้มาก่อน..
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด และพอยิ่งเครียดก็ยิ่งเบื่ออาหาร เธอคงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้คนรอบตัวต่างพากันเป็นห่วงเพราะสภาพร่างกายที่ดูซูบลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด
เย็นนั้น ฟ้าณดากลับหอพักของเธอ เหมือนเช่นเคยที่จะซื้ออาหารถุงเข้ามากิน ซึ่งถึงแม้ความจริงหอนี้จะมีโซนครัวเล็กๆ และเมื่อก่อนตัวเธอก็ชอบใช้ทำอาหารง่าย ๆ กินบ่อยครั้ง แต่หมู่นี้เพราะว่าเหนื่อยและเครียดเลยแทบไม่มีกะใจจะลุกมาทำอะไร ต้องพึ่งพากับข้าวสำเร็จเสมอ
ทว่า..เมื่อแกะแกงใส่ชามเท่านั้น เธอก็กลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เสียรึเปล่าเนี่ย?”
ฟ้าณดานึกสงสัยว่าแม่ค้าเอาของเก่าจนบูดมาขายให้เธอหรือเปล่า เพราะกลิ่นของมันไม่ดีสุด ๆ จนถึงขั้นที่เธอต้องเททิ้งด้วยซ้ำ
ปกติเธอไม่ใช่คนเลือกกินเลย ยิ่งเป็นตอนที่ไม่มีอะไรจะกินอย่างนี้ด้วย
แต่วันนี้มันไม่ไหวจริง ๆ นอกจากเททิ้งแล้วเธอถึงขั้นต้องวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำเลยทีเดียว
แต่แค่เหม็นแกง มันถึงขั้นต้องอาเจียนเลยเหรอ?..
ที่สำคัญ นี่มันก็แค่แกงส้มธรรมดา ไม่มีกะทิเลยไม่น่าจะเสียง่าย ๆ ด้วย
สัญญาณนี้เริ่มบ่งบอกความไม่ปกติทางร่างกาย ทำให้ฟ้าณดาวิตกกังวลไปสารพัด เธอหน้าซีดมือสั่น เวียนหัวเหมือนจะเป็นลมอย่างนั้น
คงไม่ใช่หรอก... ใครมันจะไปซวยขนาดนั้นได้เล่า!
ในตอนที่หญิงสาวกำลังนั่งให้เหงื่อผุดซึมเต็มตัว เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกของใครบางคน
“ฟ้า! แกอยู่หรือเปล่าน่ะ!”
เสียงนี้ เธอจำได้ว่าเป็นของนัทธมลเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ ฟ้าณดาจึงรีบหอบสังขารอันไม่ค่อยสมบูรณ์นักไปเปิดประตู
“เซอร์ไพรส์...เอ่อ.. แกเป็นอะไรน่ะฟ้า?”
ทีแรกนัทธมลตั้งใจจะพูดคำว่า ‘เซอร์ไพรส์’ เสียงดัง ๆ พร้อมกับยื่นกล่องพิซซ่าหน้าโปรดของฟ้าณดาไปให้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนดูไม่ค่อยดี หญิงสาวก็กลับกลายเป็นต้องขมวดคิ้วกังวลตาม
“ฉันไม่เป็นอะไร แค่..รู้สึกเหม็นอาหารนิดหน่อย”
เหม็นอาหาร..?
ได้ยินเพื่อนบอกอาการ เพียงคำนี้คำเดียวเท่านั้น นัทธมลก็เริ่มหน้าซีดลงทันที
“ฉันขอเข้าไปข้างในก่อนนะ” เธอบอก ฟ้าณดาก็พยักหน้าก่อนเดินนำเข้าไป
“เอ่อ..ฉันซื้อพิซซ่ามา แกกินได้ไหม?” นัทธมลถาม ฟ้าณดาก็มีรอยยิ้มบาง “อื้อ พอดีเลย ฉันพึ่งเทแกงส้มทิ้งไปเมื่อกี้”
เหม็นถึงขั้นเททิ้ง? ปกติฟ้าณดาไม่เคยทำแบบนี้เลยถ้าอาหารไม่บูด เพราะเธอเติบโตมาอย่างยากลำบาก มักมีความคิดว่ามีอาหารให้กินก็นับว่าดีเท่าไร
ฟังอย่างนี้นัทธมลถึงได้มีสีหน้าเครียดหนักกว่าเดิม ยิ่งตอนที่เห็นฟ้าณดาหันมากินพิซซ่าอย่างรวดเร็ว ยังกินเข้าไปหลายชิ้นกว่าปกติก็ยิ่งแปลกใจ
“ฟ้า..อาการแกแปลก ๆ นะ”
“อือ.. ฉันก็ว่าอย่างนั้น” ฟ้าณดาเองก็ไม่ใช่จะไม่สังเกตตัวเอง “เป็นมาสักพักแล้ว”
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ..ประจำเดือนแกมาปกติไหม?”
คำถามนี้จี้ตรงจุดเสียจนมือของฟ้าณดาต้องถึงกับชะงักไป
ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ...
“แกอยากให้ฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาให้ไหม?”
ถึงรู้ว่าคำถามนี้จะทำให้เพื่อนยิ่งเครียด แต่ในความคิดของนัทธมล การอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้อะไรเลยมันอาจจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีกก็ได้
แล้วสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาก็คือน้ำตาของเพื่อน..
“แกว่าฉันจะซวยขนาดนั้นเลยเหรอแนท”
เสียงของฟ้าณดาสั่นเครือ เธอสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง โดยที่นัทธมลทำได้เพียงเข้ามาลูบหลังปลอบเท่านั้น
“ไม่เป็นไรนะแก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะอยู่ข้างแกเอง”
เธอได้เพียงให้กำลังใจเพื่อนอย่างนั้น และรออย่างใจเย็น จนกระทั่งฟ้าณดาหยุดร้องไห้ถึงจะไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาให้
นัทธมลเลือกหยิบมาสามอันสามยี่ห้อ เพื่อความมั่นใจ
และเพียงไม่นาน..เมื่อผลตรวจครรภ์ออกมาแล้ว เสียงร้องไห้คร่ำครวญของเพื่อนเธอก็จะยิ่งดังกว่าเดิม
“ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย!!”
ฟ้าณดาคงนึกโทษโชคชะตาที่ทำให้เธอต้องแบกรับในสิ่งที่ไม่ต้องการ ในตอนนี้แค่ตัวเธอเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอด ถ้าต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกอีก แล้วจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร
นี่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ทั้งสภาวะความกดดันต่าง ๆ และความไม่มั่นคงทางอารมณ์ที่เธอจะต้องเผชิญนับจากนี้จึงดูเป็นปัญหาใหญ่มาก ชนิดที่ฟ้าณดาคิดว่าคงไม่มีทางก้าวข้ามไปได้
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะฟ้า ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว แกต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งเอาไว้ก่อนนะ”
นัทธมลได้เพียงปลอบอย่างนั้น และสัญญากับเพื่อนว่าเธอจะคอยหาทางช่วย
“แต่ฉันกลัว..ค่าใช้จ่ายต่อจากนี้ฉันจะทำยังไง? ไหนจะต้องลางานไปคลอดลูก ไหนจะค่าเล่าเรียน..ลำพังเงินเดือนของพนักงานบริษัทธรรมดาที่ต้องใช้ทุนเรียนมันไม่พออยู่แล้ว”
“ฉันรู้ แต่มันต้องมีทางออกสิฟ้า”
นัทธมลเค้นสมองแทบระเบิด ขณะเดียวกันนั้นเธอก็ต้องคอยปลอบใจเพื่อนที่เริ่มฟูมฟายเพราะความหวาดกลัวต่ออนาคตที่เรียกว่าราวกับตกนรกทั้งเป็น
แต่ไม่หรอก..ชีวิตของเพื่อนเธอจะต้องไม่อาภัพ นัทธมลตั้งใจแล้วว่าจะช่วยก็ต้องช่วยให้เต็มที่!
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?