ตอนที่ 10. สำนึกเสียใจของไต้เว่ย

กลิ่นของสุราคละคลุ้งไปทั่วบริเวณห้องนอนของไต้เว่ย ไหเหล้าที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นนั้นล้วนว่างเปล่าไร้ซึ่งสุราสักหยด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ล้วนอยู่ในร่างกายของไต้เว่ยจนหมดสิ้น

บุรุษหนุ่มดื่มเหล้าเคล้าน้ำตามาแรมเดือนด้วยความคนึงหาภรรยาที่ตนนั้นขับไล่ออกไป ความเศร้าเสียใจวนฉายซ้ำอยู่ในอก

ไต้เว่ยนั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่าหานว่านอี้จะกล้าทำกับตนเช่นนี้ เขาเฝ้ารักและทะนุถนอมนางมาเนิ่นนาน การสวมหมวกเขียวให้แก่สามีเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก และสามีที่ถูกสวมหมวกเขียวนั้นก็มักจะถูกมองเป็นคนโง่เขลา ชื่อเสียงเขาอาจจะตกต่ำหากมีใครมารับรู้เรื่องนี้

ไต้เว่ยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำการขับไล่หานว่านอี้ออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ดีแล้วหรือไม่ เขายังคงชั่งใจว่าตนสมควรกระทำมันแล้วจริง ๆ หรือ แต่อีกใจก็นึกคับแค้นและคิดว่ามันอาจจะสมเหตุสมผลแล้ว

“ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินว่านอี้ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำร้ายข้าได้ถึงเพียงนี้”

เสียงทุ้มแหบแห้งจากการร้องไห้และดื่มสุรามายาวนานเอ่ยออกมา ดวงตาคู่คมเจือแววเศร้าโศกอยู่เป็นนิจ หนวดเคราหรือก็รกรุงรังขาดการดูแลตัวเองจนผู้คนในเรือนแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่านี่คือนายน้อยไต้เว่ย

ก๊อก ๆ ๆ

“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าขอเข้าไปนะเจ้าคะ”

เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอ่ยเรียกจากหยูจิวซือ ตั้งแต่ที่หานว่านอี้ออกไปจากตระกูลไต้ นางก็แทบไม่เห็นผู้เป็นสามีออกไปไหนเลย ดึกดื่นค่ำคืนก็ไม่ยอมมาหานาง สำรับอาหารหรือก็แทบจะไม่แตะ สั่งคนรับใช้หิ้วแต่สุรามาให้จนบิดามารดาทุกข์ใจกันไปหมด

นางล่ะไม่เข้าใจริง ๆ ว่าหานว่านอี้นั้นมีอะไรดีนักหนา ทั้งที่นางออกไปก็ควรจะเลิกสนใจได้แล้วแท้ ๆ หยูจิวซือตอนนี้มีสถานะเป็นฮูหยิน เอก แต่ก็เพียงแค่สถานะเท่านั้น ชื่อเรียกไม่ได้ช่วยให้สามีสนใจนางมากขึ้นเลยสักนิด นางจึงต้องมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อยว่าสามีของตนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

แอ๊ดด~

ทันทีที่ประตูเปิดออกกลิ่นสุราก็ลอยคละคลุ้งออกมากระแทกจมูกของหยูจิวซือในทันที นางถึงกับต้องยู่หน้าให้กับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดวงตาคู่เรียวกวาดมองหาผู้เป็นสามีก่อนจะพบร่างของไต้เว่ยนอนคุดคู้อยู่ที่ข้างเตียง

“ท่านพี่เจ้าคะ!! เหตุใดไปนอนอยู่เช่นนั้นเล่าเจ้าคะ มีใครอยู่หรือไม่!” หยูจิวซือเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ ครั้นจะให้นางไปประคองไต้เว่ยหรือก็ไม่กล้าพอ

สภาพของผู้เป็นสามีตอนนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด กลิ่นกายมีแต่กลิ่นสุรา หนวดเครารกครึ้ม เสื้อผ้าเองก็มอมแมมดูไม่ต่างจากขอทานในเมืองเลยสักนิด นี่เขาเสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“พวกเจ้าน่ะ!! มีใครได้ยินข้าหรือไม่! เข้ามาดูนายน้อยไต้เว่ยเดี๋ยวนี้”

นางพยายามตะโกนเรียกคนรับใช้ที่อยู่ภายในเรือนซ้ำไปซ้ำมาจนในที่สุดก็มีคนได้ยิน ต้องใช้คนรับใช้ถึงสามคนในการพาตัวไต้เว่ยไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ ทั้งยังต้องทำความสะอาดห้องนอนที่สกปรกและกองสุมไปด้วยไหสุรากับจอกสุราที่แตกกระจายอีก

หยูจิวซือนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมพ่อแม่สามี ทั้งสามคนมีสีหน้าทุกข์ใจระคนเคร่งเครียดกับสภาพของไต้เว่ย จนเมื่อไต้เว่ยได้สติดีแล้วเขาก็เดินออกมาพร้อมข้ารับใช้ที่คอยประคอง

“ลูกเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความเป็นห่วงท่วมท้นจิตใจของนาง ยิ่งต้องมาเห็นบุตรชายมีสภาพทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นนี้ก็ยิ่งเสียใจ

“นั่นสิ สภาพเจ้าดูไม่ได้เลยสักนิด” ผู้เป็นบิดาเอ่ยเสริม

“มานั่งตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะท่านพี่ ตงเล่อ ไปเอาน้ำมา!” หยูจิวซือจัดที่ทางให้สามีนั่งก่อนจะสั่งคนรับใช้ไปเตรียมน้ำมาให้ไต้เว่ย

“ข้าปกติดี” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ย

“ปกติ! นี่ปกติหรือเจ้าคะท่านพี่”

“นั่นน่ะสิ แม่รู้นะว่าเจ้าเสียใจเรื่องหานว่านอี้ แต่นางก็จากไปได้สักพักแล้ว เจ้าควรจะอยู่กับความเป็นจริงได้แล้วนะ” ผู้เป็นมารดากล่าว

“ข้า...ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีขอรับ ยามหลับก็ฝันถึงเรื่องของนาง ลำพังเพียงแค่หลับตาเฉย ๆ ใบหน้าของนางยังลอยเข้ามารบกวนข้าไม่เลิก” ไต้เว่ยระบาย

ทั้งน้ำเสียงอ้อนวอนและคำขอร้องที่จะอธิบายในตอนนั้นดังวนซ้ำอยู่ในจิตใจของเขาจนทำให้เขานั้นอยู่ไม่เป็นสุข ชีวิตที่ไร้หานว่านอี้ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก

“อุ่บ! นั่นอะไรน่ะ!” หยูจิวซือเอามืออุดปากและจมูกของตนเองพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเมื่อยามที่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์มาจากถาดสำรับที่คนรับใช้ยกมา

“น้ำกับข้าวต้มหมูเจ้าค่ะฮูหยิน” คนรับใช้เอ่ยตอบ

“ข้าเหม็น! เจ้าคิดจะเอาของเหม็น ๆ แบบนี้ให้คนป่วยกินหรืออย่างไร เอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้!” ยิ่งเมื่อยามที่สำรับถูกเปิดหยูจิวซือก็ยิ่งรู้สึกเหม็นเป็นทวีคูณ กลิ่นของมันจวนเจียนจะทำให้นางสำรอกอยู่รอมร่อ

“แม่ว่ามันก็ไม่ได้เหม็นนะจิวซือ”

“ข้าก็ว่าปกติ”

ทั้งบิดาและมารดาของไต้เว่ยเอ่ย อันที่จริงกลิ่นของมันไม่ได้เหม็นอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ ออกจะหอมน่ากิน แต่มีแค่หยูจิวซือเพียงคนเดียวที่พะอืดพะอม

“สงสัยต้องเรียกหมอมาแล้วกระมัง ทั้งลูกสะใภ้ทั้งลูกชายป่วยทั้งคู่เช่นนี้” ผู้นำตระกูลไต้เอ่ย

หลังจากนั้นเพียงไม่นานหมอก็ถูกเรียกมาถึงจวนเพื่อดูอาการของทั้งสองคน ไต้เว่ยนั้นมีเพียงแค่อาการอ่อนเพลียและขาดสารอาหารนิดหน่อย จากการอดข้าวอดปลาดื่มแต่สุรา

แต่ที่น่าตกใจคือหยูจิวซือ แทนที่จะตรวจแล้วเจอว่านางนั้นเจ็บป่วย กลับไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เจอนั้นทำให้อาการของไต้เว่ยแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง

“ฮูหยินตั้งครรภ์ได้สิบสัปดาห์แล้วขอรับท่านไต้” หมอที่ทำหน้าที่ตรวจร่างกายของสองสามีภรรยาอย่างละเอียดเอ่ยออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม

“ท้อง... ท้องงั้นหรือ แต่ข้าเป็นหมันนะ เจ้าแน่ใจแล้วหรือไม่ว่าตรวจอย่างละเอียด ข้าเป็นหมันแล้วซือเอ๋อร์จะท้องได้เช่นไร!” ไต้เว่ยถาม อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

“แน่ใจขอรับ อีกทั้งครานี้ข้ายังมีเรื่องจะเรียนนายน้อยไต้อีกด้วย คิดว่าน่าจะเป็นข่าวดีเรื่องที่สอง” เขาเอ่ยพร้อมกับเงียบไปชั่วอึดใจ

ในตอนนี้หูของไต้เว่ยแทบจะอื้อสนิท ยังมีเรื่องอะไรดีอีกหรือ หาก หยูจิวซือตั้งครรภ์เช่นนี้ก็แปลว่าเขาโดนทั้งหานว่านอี้และหยูจิวซือสวมเขาให้ไม่ใช่หรือไร คิดได้ดังนั้นดวงตาคู่คมที่ฉายแววผิดหวังก็กวาดมองไปยังหยูจิว ซือที่ได้แต่นั่งหน้าซีด

“เจ้าว่ามาเถอะ” บิดาของไต้เว่ยเอ่ย

“นายน้อยไต้เว่ยไม่ได้เป็นหมันขอรับ คราที่แล้วผลการตรวจนั้นผิดพลาด อาจจะเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุมาเลยทำให้ผลตรวจนั้นคลาดเคลื่อน รอบนี้ข้าตรวจอย่างดีแล้วและพบว่านายน้อยไต้ยังสามารถมีบุตรได้ตามปกติขอรับ”

ดั่งมีสายฟ้าฟาดลงมากลางเรือน ครอบครัวไต้ถึงกลับนิ่งอึ้งชะงักค้าง เรื่องราวที่ได้รับรู้นี้ดีแก่หยูจิวซือก็จริง เพราะเท่ากับว่านางนั้นไม่ได้ท้องกับชู้ แต่ก็เสียเช่นกันเนื่องจากหานว่านอี้ถูกขับไล่ออกไปอย่างไม่เป็นธรรม

“ไม่จริง...งั้นว่านอี้ก็...”

เมื่อไต้เว่ยลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดดูแล้วเขาก็เอ่ยถ้อยคำอันใดไม่ออกอีกเลย นี่เขากล่าวหาภรรยาผู้บริสุทธิ์ของตนเองไม่พอ ยังขับไล่นางไปอย่างไม่เป็นธรรมอีกหรือ

“เจ้ากลับไปได้แล้ว ส่วนเจ้าจิวซือ เจ้าใส่ร้ายว่านอี้อย่างนั้นหรือ!”

เสียงเข้มตวาดกร้าวทั้งที่ในครานั้นเขาควรจะตรวจอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจก่อนแท้ ๆ แต่เขากลับเชื่อคำพูดของหยูจิวซือที่เสี้ยมสอนอยู่ข้างหูจนพลาดพลั้งทำสิ่งที่ผิดมหันต์ลงไปเสียได้ เขาจะทำอย่างไรดีกับเรื่องในครานี้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ