ตอนที่ 10 แสงสว่างของพวกเรา 

 

“ช่วยอย่างไรหรือ” เสียงเอ่ยถามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันทำให้มู่ซียิ้มกว้างกว่าเดิม 

ปลาติดเบ็ดแล้ว 

“ก็ไม่ยากนี่คะ แค่หาบทละครวิทยุแบบใหม่เอาไปออกอากาศดู แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว”  

“โธ่เอ้ย! เด็กน้อย คำตอบกำปั้นทุบดินแบบนี้พวกลุงกับป้าก็คิดออก” เฉาอวี่ปินบ่นออกมาอย่างเสียดาย  

ด้วยตัวเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่า หลังจากที่ได้ยินเด็กหญิงตรงหน้าบอกว่ารู้วิธีแก้ปัญหา ลึก ๆ เขากลับเชื่อว่าเด็กคนนี้จะช่วยได้ แต่พอคิดไปคิดมาอีกที เด็กคนนี้เป็นแค่เด็กอายุไม่น่าถึงสิบขวบ จะไปเข้าใจเรื่องปัญหาจริงๆ ได้อย่างไร 

ท่าจะบ้า เฉาอวี่ปินบ่นให้ตัวเองในใจ 

“หรือว่าหนูน้อยมีบทละครวิทยุดีๆ ที่คิดว่าพวกพี่จะชอบ” อู๋กัง เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หลังจากที่ได้ยินเฉาอวี่ปินตอบกลับ 

“พี่ชายคนนี้ นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ยังฉลาดอีกด้วยนะคะ” มู่ซีหันไปเอ่ยชมอู๋กังเสียงใส 

“หา หนูน้อยมีบทละครวิทยุดี ๆ เหรอ มันจะเป็นไปได้อย่างไร หนูอายุเท่าไหร่เนี่ย” เป้าซูอี้เป็นคนเอ่ยถามขึ้นบ้าง 

“ซีซีคิดว่าป้าคงเป็นหัวหน้ากลุ่มใช่ไหมคะ ซีซีก็ไม่รู้หรอกว่าบทละครวิทยุของตัวเองมันจะดีหรือเปล่า พวกลุงกับป้าลองฟังดูก่อนดีไหมคะ ฟังจบแล้วก็บอกด้วยว่าบทละครนี้ดีหรือไม่ดี” มู่ซีส่งยิ้มออกมาเล็กน้อย 

เธอยังคงทำใบหน้าใสซื่อเหมือนเด็กน้อยไม่ประสา แต่ในสายตาของเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินนั้น เด็กน้อยตรงหน้า ไม่ได้ดูไร้เดียงสาตั้งแต่เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มของพวกตนแล้ว 

“ดี หนูน้อยลองเล่ามาให้ฟังหน่อยสิ ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรบ้าง” หูเหว่ยบอก 

“ซีซีจะบอกเรื่องย่อคร่าว ๆ ให้ ถ้ามันสนุกก็จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ถ้าไม่สนุกซีซีจะได้ไม่เสียเวลา ลุงกับป้าก็จะได้ไม่เสียเวลาด้วย ดีไหมคะ” มู่ซีเสนอทางออกให้กลุ่มคนทั้งห้า 

“ดี เล่ามาได้เลย” เป้าซูอี้เป็นพยักหน้า 

มู่ซีเห็นว่าปลาติดเบ็ดแล้วจึงไปลากเก้าอี้เล็กมา แต่ด้วยความตัวเล็กอู๋กังจึงไปช่วยยกเก้าอี้มาวางให้กับเด็กหญิง มู่ซีปีนขึ้นไปนั่งได้ก็ลงมือเริ่มเรื่องทันที 

“ไม่รู้ว่าคนฟังเขาชอบฟังละครแบบไหนคะ แก้แค้น เจียงซือ ตลก ละครรัก รักต่างชนชั้น หรือว่าความรักของเทพเซียน ปีศาจ” มู่ซียังไม่ได้ตัดสินใจเล่า เนื่องจากว่าเธอก็ไม่รู้ในยุคนี้  

บทละครวิทยุแนวไหนจะเป็นที่ถูกใจคนฟัง เธอพอรู้ว่าถึงแม้จะเปิดประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่รัฐก่อน 

“ก็ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักอยู่แล้ว บทละครของอาจารย์เหอ เรื่อง รถไฟสายที่ 85 เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวสองคนที่หนีขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ระหว่างเดินทางต้องหลบหลีกและการผจญภัยในเมืองหลวง ทำให้ทั้งสองคนต้องช่วยเหลือกันและกันจนก่อเกิดเป็นความรักขึ้น” อู๋กังอธิบายให้เด็กหญิงตรงหน้าได้ฟัง 

“แต่ว่ามีคนเอาบทละครนั่นไปแล้ว” ปินเสี่ยวจวนเอ่ยอย่างเสียดาย 

“ถ้าเรื่องความรัก จำเป็นต้องสมหวังไหมคะหรือว่าตัวละครเอกไม่ต้องสมหวังก็ได้ในตอนจบ” มู่ซีเอ่ยถามอีกรอบ ก่อนเล่าเรื่องเธอต้องรู้รายละเอียดพวกนี้ก่อนไม่อย่างนั้นจะไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้า 

“ต้องสมหวังสิ แต่ว่าทุกตอนจะต้องให้คนฟังลุ้นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แบบนี้โฆษณาจึงจะเข้าสถานีของเรา แต่ตอนนี้พวกเราก็ยังหาบทละครที่น่าสนใจแบบนั้นไม่ได้ ที่มีอยู่ก็เป็นเรื่องเก่า ๆ แถมล้าสมัยมาก” หูเหว่ยบ่น บทละครที่กลุ่มของเขาต้องการนั้นไม่อยากให้ล้าสมัย  

มู่ซียังไม่ทันได้พูดอะไร เสี่ยวชิงเดินเอาอาหารมาให้ลูกค้า ก่อนเอ่ยกระซิบถามมู่ซีเสียงเบา “ซีซี ทำไมถึงมานั่งกับลูกค้า รบกวนลูกค้าหรือเปล่า”  

“ไม่เป็นไร ฉันเรียกหนูน้อยมานั่งคุยด้วยเอง” เป้าซูอี้บอกพนักงาน 

“หากซีซีดื้อสามารถแจ้งพนักงานได้เลยนะคะ” เสี่ยวชิงพยักหน้าให้ลูกค้าและก่อนจากไปยังไม่ลืมบอกลูกค้าเอาไว้ด้วย 

“ลุงกับป้าลองฟังเรื่องของซีซีดูนะคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า....” มู่ซีเมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มลงมือคีบอาหารแล้ว เลยลองเล่าเรื่องที่เธอคิดว่ามันจะสามารถเอามาทำเป็นบทละครวิทยุและแก้ปัญหาให้กับกลุ่มคนบนโต๊ะนี้ได้ 

ละครวิทยุที่มู่ซีเล่าให้ทุกคนฟังเป็นเรื่องราวของเทพเซียน เกี่ยวกับมารและเทพ มีการแก่งแย่งและชิงดีชิงเด่นกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ก็ในเมื่อยุคที่เธอจากมาเป็นซีรีส์แห่งปี มียอดคนดู เรตติ้งอันดับหนึ่งอยู่ตั้งหลายเดือน การที่จะทำให้มันดังระเบิดในยุคนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว  

อีกหนึ่งเหตุผลที่เธอไม่เลือกนิยายยุคนี้เพราะว่ามันยังไม่เปิดกว้างมากขนาดที่จะต้องยอมรับนิยายยุค ซึ่งมันอาจจะมีเกี่ยวกับความเลื่อมล้ำทางสังคมเหมือนกับของอาจารย์เหอ เพราะถือว่าสุ่มเสี่ยงเกินไป ทว่าละครที่เกี่ยวกับเทพ เซียน ปีศาจ เป็นเรื่องเล่าที่มีตั้งแต่อดีตอย่างไรก็ปลอดภัยกว่า 

“อะไรต่อ นางเอกเปลี่ยนชะตาพระเอกได้ไหม” อู๋กังรีบถาม เมื่อมู่ซีหยุดเล่าเพื่อจิบน้ำชาหลังคอแห้ง 

“นั่นสิ นางเอกได้พลังคืนมาไหม” หูเหว่ยลุ้นกับเรื่องราวที่ได้ฟัง 

“โธ่ พระเอกนางเอกก็ต้องทำสำเร็จสิคะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นพระเอกนางเอกได้อย่างไร แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ครองรักกันนะ เพราะวิญญาณพระเอกดับสลาย เราแค่บอกว่าพวกเขาจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง” มู่ซียู่ปากเมื่อได้ฟังคำถามของผู้ใหญ่ทั้งสองคน 

“อะ อ้าว พวกลุงกับป้าไม่กินข้าวกันเหรอคะ ดูสิ ผัดผักเย็นหมดแล้ว” มู่ซีเล่าเรื่องย่อของซีรีส์สุดดังจบก็เอ่ยถามคนทั้งกลุ่ม เพราะเธอไม่เห็นอาหารพร่องไปเลยแม้แต่น้อย 

“จริงด้วย ฟังเรื่องเล่าเพลินลืมกินข้าวไปเลย” เป้าซูอี้พูดออกมาแก้เก้อ  

“พี่ซูอี้ ผมชอบเรื่องเล่านี้มาก พวกพี่มีความเห็นแบบไหนบ้าง” อู๋กังถาม 

“อือ พี่ชอบเรื่องเล่านี้ที่สำคัญถ้าพวกเราเอามาทำเป็นบทละครวิทยุมันต้องดังแน่ๆ” ปินเสี่ยวจวนเป็นคนตอบ ส่วนคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย 

“ว่าแต่นังหนูชื่ออะไร” เฉาอวี่ปินหันมาถามเจ้าตัวที่เล่าเรื่องให้ฟัง 

“มู่ซี หรือเรียกว่า ซีซีก็ได้ค่ะ”  

“นังหนูซีซี เรื่องที่เล่ามามันยังไม่จบใช่ไหม มันมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังไม่ได้เล่าให้ลุงฟังใช่หรือเปล่า” เฉาอวี่ปินหรี่ตามองเด็กน้อยพร้อมถามเสียงเข้ม 

“แฮะ แฮะ  ทำไมลุงรู้ล่ะคะ”  

“ว่าแล้วเชียว” เฉาอวี่ปินตบเข่าตัวเองเสียงดังฉาด “ลุงเป็นนักพากย์ละครวิทยุมากี่ปี เรื่องที่เล่ามามันสนุกก็จริง แต่มันยังขาดอะไรบางอย่างนะสิ” 

เป้าซูอี้นั่งซึมซับบทละครอย่างสนใจ บทละครเรื่องนี้ต้องเป็นของกลุ่มเธอ “บทละครนี้ยังมีต่ออีกไหม ป้าอยากได้” 

“แน่นอนค่ะ ซีซีสามารถเล่าเรื่องให้พวกลุงกับป้าฟังแบบละเอียดได้เลย แต่ว่าวันเดียวมันไม่น่าจะทันต้องใช้เวลาครึ่งเดือน เพราะซีซีไม่เก่งเรื่องหนังสือ” มู่ซีจิบน้ำชาอีกรอบแล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างซีซีเขียนบทละครวิทยุไม่เป็น”  

“ที่มาคุยแบบนี้ คงต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนใช่ไหม” เฉาอวี่ปินสมกับเป็นผู้อาวุโสของกลุ่มรองลงมาจากเป้าซูอี้ เขามองเหตุการณ์ออก 

“แฮะ ซีซีปิดบังไม่ได้เลยสินะคะ ซีซีต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ นั่นแหละคะ บ้านของซีซีฐานะไม่ค่อยดีถูกแม่บุญธรรมรับเลี้ยงซีซีกับพี่สาวเอาไว้ แม่บุญธรรมของซีซีไม่มีสามีอาศัยอยู่กับยายที่อายุเยอะแล้ว ซีซีอยากตอบแทนบุญคุณของแม่และยาย” 

“ตอบแทนอะไรล่ะ” 

“ซีซีอายุไม่กี่ปีกว่าจะโตยายคงรอไม่ไหวแล้ว ก่อนหน้านี้ซีซีเห็นกลุ่มพวกลุงมาที่ร้านจึงเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้ ซีซีช่วยเรื่องบทละครวิทยุแลกกับสถานที่ในศูนย์ขายอาหาร” มู่ซีทำหน้าเศร้า “บ้านของพวกเราอยู่ไกลหากมาขายอาหารเช้าคงไม่ทัน จึงอยากเช่าบ้านสักหลังในเมืองราคาไม่แพง พวกเรามีกันสี่คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด”  

มู่ซีไม่อยากรอแล้วอีกไม่นานพี่สาวและเธอต้องเรียนหนังสือ แม่ต้องทำงานกว่าจะกลับบ้านตอนดึกยายต้องทำงานในแปลงนาไหนจะอยู่บ้านคนเดียวอีก 

การอยู่ชนบทไม่สะดวกจริง ๆ อีกอย่างการค้าขายอะไรก็ไม่สะดวก แต่เธอก็ไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าได้ 

“เธอต้องการเช่าบ้านในเมืองเพื่อไปขายอาหารที่ศูนย์อาหารในโรงงาน แล้วทำไมไม่ไปหาเช่าเองมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หูเหว่ยไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะยาก 

“สำหรับบ้านซีซีมันยากมากค่ะ เพราะต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งเดือนบ้านของเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น อีกอย่างแม่บอกว่าต้องมีคนรับรองให้ว่าจะจ่ายค่าเช่าบ้านได้ เพื่อนร่วมงานของแม่ต่างมีภาระแม่ไม่กล้าขอให้ช่วย” มู่ซีถอนหายใจ เรื่องนี้เธอได้คุยกับแม่มาบ้างแล้ว ต่อให้มีเงินใช่ว่าจะสามารถเช่าได้ 

เป้าซูอี้ยกน้ำชาขึ้นจิบ “แล้วทำไมถึงคิดว่าพวกป้าจะช่วยได้”  

“พวกป้ากับลุงช่วยซีซีไม่ได้หรือคะ” 

“นังหนู พวกลุงกับป้าก็คนธรรมดา ไม่ได้มีเงินมากมาย เงินเดือนก็เท่ามด จะไปมีปัญญาช่วยอะไรคนอื่นได้” เสียงบ่นของหูเหว่ยมาพร้อมการถอนหายใจ เงินเดือนน้อยยังดีกว่าจะโดนปลดเพราะไม่มีงานทำ 

“ฉันรู้แล้ว!” เฉาอวี่ปินเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางคนอื่นที่กำลังคิดกันอยู่ 

“อย่างไรหรือ” 

 ทุกเสียงเปล่งออกมาพร้อมกันทำให้เฉาอวี่ปินยิ้มร้ายตอบทุกคน 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ