ตอนที่ 8 แป้งผักทอด 

 

“พี่ซูอี้ พวกเราจะทำอย่างไรดี ช่วงนี้รายการของเราไม่มีคนฟังเลย พวกนายทุนที่มาลงโฆษณาด้วยก็ไม่ต่อสัญญาตั้งหลายเจ้า หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราคงตายแน่” เฉาอวี่ปินผู้ชายอายุสี่สิบปีเอ่ยเสียงเครียดกับเป้าซูอี้ ซึ่งดูท่าแล้วจะเป็นหัวหน้าของทั้งกลุ่ม 

เป้าซูอี้เป็นผู้หญิงวัยประมาณห้าสิบปี เธอมีรูปร่างสวยงาม อ่อนวัยกว่าอายุมาก มู่ซีเห็นและแอบฟังคนกลุ่มนี้คุยกันมาสักพักใหญ่แล้ว จากบทสนทนาทำให้เธอรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ทำงานเป็นนักพากย์ละครวิทยุ  

ในความทรงจำที่ได้รับมาจากร่างนี้ยังอยู่ที่บ้านมู่ เวลาไปทำงานในแปลงนา ชาวบ้านมักจะฟังละครวิทยุกัน แล้วก็จะมีโฆษณาขายของระหว่างที่ละครกำลังเล่นอยู่ มันก็เหมือนในยุคที่เธอจากมาไม่ต่างกัน 

คนกลุ่มนี้มีกันห้าคน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นผู้หญิงสองคนและผู้ชายสามคน ทั้งหมดมานั่งกินอาหารที่นี่พร้อมกับคุยงานไปด้วย นี่เป็นความคิดของมู่ซีหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวมาเกือบหนึ่งชั่วโมง มู่ซีก็มองเห็นหนทางรวยอีกทางแล้ว แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา เพราะยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ตอนนี้เธอต้องการให้ยายของเธอมีอาชีพที่ไม่ต้องไปทำงานในแปลงนามากกว่า 

ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มหลี่เยว่หรานพามู่ซีไปกินข้าวมื้อเย็นในครัว หลี่เยว่หรานเอ่ยถามลูกสาวระหว่างกินข้าว “ซีซี เป็นอย่างไรบ้าง เบื่อไหมลูก” 

“ไม่เบื่อค่ะ เถ้าแก่ชวนซีซีคุยด้วย” มู่ซีส่ายหน้า ช่วงไม่มีคนคิดเงินและเถ้าแก่หนงว่างอีกฝ่ายจะหันมาสนนากับเธอเป็นช่วง ๆ 

“แม่ไปทำงานต่อก่อนนะ ถ้าง่วงก็นอนรอแม่ในห้องพัก อีกสามชั่วโมงแม่จะเลิกงานแล้ว” หลี่เยว่หรานกลับออกไปทำงาน  

มู่ซีด้วยความที่ยังมีร่างกายเป็นเด็กต่อให้วิญญาณและสมองจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ความง่วงก็เอาชนะทุกสิ่ง กินอิ่มหนังตาหย่อนจึงหาที่นอนหลับ รู้สึกตัวอีกทีตอนกำลังปิดร้านและพนักงานในร้านกำลังเก็บของกลับบ้าน 

“ง่วงมากหรือ แม่อุ้มซีซีก็แล้วกัน” หลี่เยว่หรานอุ้มมู่ซีขึ้นบนบ่าและเดินไปขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน ในรอบสุดท้ายของวัน 

 เมื่อไปถึงปากทางก็เดินเข้าหมู่บ้านไปกับคนอื่น ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้วแต่ก็ยังมีไฟและแสงจันทร์ส่องอยู่ตลอดทาง การอุ้มเด็กอายุแค่เจ็ดขวบที่ผอมแห้งมาตลอดทาง ไม่มีปัญหาสำหรับหลี่เยว่หรานที่มีร่างกายใหญ่โตเกินหญิงธรรมดา 

พอกลับมาถึงบ้านหลี่ มู่เซียนหลับไปแล้วเหลือแต่ยายหลี่ที่ยังจุดตะเกียงรอลูกสาวและหลานสาวอยู่ ถึงจะไม่มีหลานสาวเพิ่มมายายหลี่ก็ทำแบบนี้เป็นประจำ คนเป็นแม่อย่างไรก็ห่วงลูก 

“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ” หลี่เยว่หรานเปิดประตูเข้าบ้านเห็นแม่นั่งรออยู่ก็เอ่ยทัก  

ก่อนจะรีบเดินเข้าในห้องนอนของลูกสาวทั้งสองคน พามู่ซีเขาไปนอนข้างพี่สาวหลังจากที่ห่มผ้าให้กับมู่ซีแล้ว หลี่เยว่หรานก็กลับออกมานั่งคุยกับยายหลี่ต่อ 

“แม่ว่าพวกเราย้ายไปอยู่ในตัวเมืองดีไหม อีกหน่อยยัยหนูเซียนเซียนกับซีซีต้องไปเรียนหนังสือ ลูกก็ทำงานเลิกดึก เมื่อก่อนมีแม่คนเดียวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเรามีสองพี่น้องเข้ามาเพิ่ม ลูกกลับบ้านดึกแบบนี้คงไม่ดีเท่าไร” ยายหลี่แสดงความเห็นออกมา 

แต่ก่อนหญิงแก่กับหญิงเทื้ออยู่ด้วยกันสองคนไม่มีใครอยากคบหา แต่พอมีเด็กที่กำลังเป็นสาวเข้ามาอยู่ด้วยยายหลี่คิดว่าไม่ปลอดภัย คนในหมู่บ้านอยู่ด้วยกันมานานจนเห็นสันดานกันหมดแล้ว 

“แต่ค่าเช่าบ้านในเมืองแพงมากนะแม่ เงินเก็บที่เรามีก็จ่ายให้ป้าลี่ไปแล้ว ตอนนี้เงินเก็บที่มีเหลืออยู่ก็มีไม่กี่หยวน อีกอย่างข้าวที่เราปลูกไว้ก็อีกหลายเดือนกว่าจะเกี่ยวได้อีก” หลี่เยว่หรานส่ายหน้า เธอเห็นด้วยเรื่องย้ายเข้าไปแต่ที่บ้านยังมีค่าใช้จ่ายซึ่งเงินเดือนของเธอไม่น่าพอ 

“เอาล่ะ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ไปอาบน้ำแล้วนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที” ยายหลี่เอ่ยตัดบท สองแม่ลูกจึงได้แยกย้ายกันไปอาบน้ำและนอน โดยไม่รู้เลยว่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งไม่ได้นอนหลับเหมือนที่สองแม่ลูกบ้านหลี่คิด มู่ซียืนแอบอยู่หลังประตูห้องแล้วฟังบทสนทนาด้วยดวงตาวาวโรจน์ 

‘อดทนเอาไว้ซีซี นี่เพิ่งไม่กี่วันเธอจะต้องทำได้’ 

 

เช้าวันนี้ทุกคนบ้านหลี่ตื่นมาตามปกติ ยายหลี่กับมู่เซียนออกไปแปลงนา ส่วนหลี่เยว่หรานกับมู่ซีกำลังนั่งสนทนากันตรงโต๊ะกินข้าวกลางห้องโถง ถึงแม้ว่าหลี่เยว่หรานต้องไปทำงานทุกวันก็จริง แต่เวลาเข้างานต่างกัน ถ้าวันไหนเลิกดึกก็ไปเข้างานสาย จะทำอย่างนี้สลับกันทุก6 วัน หยุด 1 วัน พอกลับไปทำงานสัปดาห์ถัดไปก็เข้างานกะเช้า สลับกันไปแบบนี้ วันนี้หลี่เยว่หรานจึงเข้างานสายได้ 

“ซีซี ลูกบอกแม่ว่ามีอะไรจะปรึกษาใช่ไหม” หลี่เยว่หรานนั่งเก้าอี้ ในมือมีถ้วยน้ำขิงที่ยังมีควันลอยออกมาอย่างอ้อยอิ่ง 

“แม่คะ ซีซีเคยบอกแม่ว่าอยากหาอาชีพใหม่ให้ยายเมื่อวานที่ไปดูศูนย์อาหารในโรงงาน ซีซีมีความคิดที่จะขายอาหารเช้า เราขายแค่ตอนเช้าก่อนคนงานจะเข้าทำงานเท่านั้น” 

มู่ซีกล่าวต่อ “ตอนแรกคิดว่าจะไปตั้งขายที่ป้ายรอรถโดยสารลูกค้าก็มีน้อยนิดคงไม่พอให้มีรายได้เพียงพอ แต่ถ้าเราไปขายในศูนย์อาหารลูกค้ามีมากพอ ตอนแรกลูกค้าจะมีไม่เยอะแต่นานไปต้องมีลูกค้าแน่นอน”  

“เป็นความคิดที่ดีแต่พวกเราคงไม่สามารถหยุดงานในแปลงนาแล้วไปตายเอาดาบหน้าหรอกนะ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลดีหรือเปล่า อีกอย่างลูกไม่ได้ยินที่ผู้ชายสองคนนั้นพูดเหรอ หัวหน้าโรงงานไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปกินช่วงพักเช้า แล้วบ้านเราก็อยู่ไกล อย่างไรเราก็ไปไม่ถึงหรือทันขายก่อนที่คนงานจะเข้างานหรอกนะ” หลี่เยว่หรานยกน้ำขิงขึ้นจิบพลางออกความเห็น 

“เรื่องรายการอาหารที่เราจะนำไปขาย อันนี้ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะซีซีคิดรายการอาหารเอาไว้แล้ว กินอิ่ม ทำง่าย ไม่มีน้ำแกงให้เลอะเปรอะเปื้อนแน่นอน ที่สำคัญมีขนาดไม่ใหญ่ด้วยค่ะ ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงยังได้ 

วัตถุดิบก็หาง่าย เสียอย่างเดียวยังไม่รู้ว่าจะไปขายให้ทันได้อย่างไรนี่แหละคะ” มู่ซีอธิบายสิ่งที่เธอคิดให้กับหลี่เยว่หรานได้ฟัง แต่ก็ต้องหน้าเศร้าเมื่อคิดได้ว่าอย่างไรตนเองก็ไปไม่ทันขายอยู่ดี 

“เอาอย่างนี้ดีไหม ซีซีลองบอกแม่มาดูว่ารายการอาหารอะไรที่ลูกจะทำขาย แล้วเรามาลองทำกัน เสร็จแล้วเราก็เอาไปให้เถ้าแก่กับคนที่ร้านชิมดู” หลี่เยว่หรานเห็นลูกสาวคนเล็กหน้าเศร้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นจึงได้เอ่ยแนะนำให้ทำสิ่งอื่นแทน 

“มันมีหลายอย่างค่ะ เหมาะแก่การเป็นอาหารเช้า ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่เยอะ แล้วยังมีหลายรายการเพียงแต่เราเปลี่ยนวัตถุดิบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกินตอนร้อนๆด้วยค่ะ”  

“น่าสนใจ แม่สักอยากรู้แล้วสิว่ามันจะหน้าตาเป็นแบบไหน” 

“พวกเราไปกันเลยดีไหมคะ ซีซีอยากรู้ว่าพวกเรามีวัตถุดิบอะไรบ้าง” 

“ไปสิ” หลี่เยว่หรานว่าแล้วก็วางถ้วยน้ำขิงไว้ เดินตามลูกสาวคนเล็กออกจากห้องโถงของบ้าน 

“เสียดายบ้านเราไม่ค่อยมีอะไรมาก ถ้าอยู่ที่ร้านฟางเจียนเว่ยซีซีคงทำได้หลายรายการเลย แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราทำเท่าที่มีก่อนก็ได้ โอ้ ดีจริงมีกะหล่ำด้วย งั้นวันนี้พวกเราทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ กันเถอะค่ะ”  

“ลูกต้องการวัตถุดิบอะไรบ้างล่ะ” หลี่เยว่หรานถามขึ้นพลางหันไปหยิบกะหล่ำจากในตะกร้าผักออกมาวางไว้บนโต๊ะที่ไว้สำหรับทำอาหาร 

“กระหล่ำ แคร์รอต ไข่ แม่หั่นผักเป็นเส้นเล็ก ๆ เราทำครึ่งหัวก็พอ แคร์รอตใส่หนึ่งส่วนสามของกะหล่ำนะคะ หลังจากนั้นตอกไข่สักสี่ใบค่ะ ลงไปคลุกกับผักทั้งสองอย่าง”  

หลี่เยว่หรานจัดการเอาผักไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่มู่ซีบอก เมื่อได้แล้วก็นำลงไปคลุกชามผสม ด้วยหลี่เยว่หรานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวอยู่แล้ว การทำเช่นนี้จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ 

“ตอนนี้ใส่ไข่ที่ตีไว้ลงไปในชามได้เลยค่ะ แม่อย่าลืมคลุกเคล้าก่อนนะคะ ต่อไปก็ใส่แป้งสาลีลงไปค่ะ เอาแค่พอให้มันทำให้ผักจับตัวกันนะคะ” มู่ซีเกาะโต๊ะอธิบายวิธีการทำอาหารให้กับหลี่เยว่หรานด้วยน้ำเสียงร่าเริง 

“นี่ก็คงเป็นวิธีการทำอาหารตอนที่ลูกไม่ได้สติตอนนั้นใช่ไหม” 

“ใช่ค่ะ ซีซีเห็นวิธีการทำอาหารเยอะแยะเลยค่ะ ถึงบอกว่าเราสามารถทำได้หลายอย่างเลย เพียงแค่เปลี่ยนวัตถุดิบเท่านั้น เราอาจจะเปลี่ยนเป็นเห็ดกับแคร์รอตแทน หรือผักกาดขาวกับเห็ดแบบนี้ค่ะ แต่ขั้นตอนและวิธีการทำ รวมทั้งส่วนผสมก็ยังคงเดิม อาจจะปรับอัตราส่วนให้เหมาะสมกับวัตถุดิบแต่ละอย่างเท่านั้นค่ะ”  

“ลูกของแม่เก่งจริงๆ ไหนแม่คลุกเสร็จแล้ว เราต้องทำอย่างไรต่อ”  

“ ต่อไปใส่เครื่องปรุงค่ะ ปรุงรสด้วยเกลือหรือน้ำตาลเล็กน้อย คลุกเคล้าให้มันเข้ากัน ต่อไปตั้งกระทะแม่เลือกเอากระทะที่มีขนาดเท่านี้นะคะ เพราะเราทำเสร็จแล้วจะเอามาตัดเป็นชิ้น ๆ เสร็จแล้วเอาน้ำมันทาลงไปแค่เพียงไม่ให้แป้งผักติดกระทะเท่านั้น เพราะเราไม่ใช่การทอด แต่เราจะใช้การอบด้วยความร้อนแทนค่ะ อ้อ แม่อย่าลืมโรงงาดำลงไปด้านหน้าด้วยนะคะ เพราะว่าเวลากินจะได้อร่อยมาก” 

หลี่เยว่หรานจัดการตั้งกระทะขนาดตามที่มู่ซีบอก แล้วทำตามขั้นตอนเมื่อเอาผักลงไปใส่ในกระทะก่อนเอาฝามาปิดไว้ เธออบอยู่ประมาณด้านละสามนาที เมื่อลองตรวจดูปรากฎว่ามีกลิ่นหอมและสีสันน่ากินมาก 

“มันหอมมากเลยนะ” หลี่เยว่หรานเอ่ยขึ้นหลังจากที่กลับด้านผักทอดเป็นอีกด้านแล้ว  

“แน่นอนค่ะ พอสุกแล้วรสชาติอร่อยด้วย ที่สำคัญซีซีว่าพอเราตัดออกมาเป็นชิ้น ๆ แล้วขายให้คนงานที่โรงงาน พวกเขาสามารถเอาเข้าไปกินตอนพักเช้าได้” 

หลังจากที่รอไปอีกสามนาที หลี่เยว่หรานก็ตักแป้งทอดผักออกมาวางไว้บนจานใบใหญ่ แล้วใช้มีดตัดออกเป็นชิ้น ๆ ตามคำบอกเล่าของมู่ซี ซึ่งการตัดนั้นมู่ซีใช้หลักการตัดพิซซ่ามาใช้นั่นเอง 

“แม่ลองชิมดูค่ะ” 

“โอ้ อร่อย แป้งก็นุ่ม แต่แม่ว่ามันจืดไปหน่อย” หลี่เยว่หรานร้องอุทานออกมาหลังจากที่กัดแป้งทอดผักไปคำแรก 

“นี่เป็นการทำครั้งแรก อัตราส่วนอาจจะต้องค่อย ๆ ปรับไปค่ะ แต่แม่เก่งมากทำตามได้สบายเลยค่ะ ในฝันนั้นพวกเขากินกับซอสนะคะ แต่ซีซีว่าถ้าเราปรับสูตรให้คงที่ก็กินเฉย ๆ ก็น่าจะได้ เพราะถ้ากินกับซอสคงเลอะเทอะ หัวหน้าพนักงานโรงงานคงไม่ชอบ แม่ว่าเราสามารถทำขายเป็นอาหารเช้าได้ไหมคะ” มู่ซีแสดงความเห็นพร้อมกับทิ้งคำถามในตอนท้าย 

“แม่ว่าคนงานคงชอบแน่ อีกอย่างมันทำง่ายมาก ใช้เวลาไม่นานด้วย วัตถุดิบก็ไม่ได้เยอะเหมือนที่ลูกบอก แม่ชอบมากก็ตรงที่เราปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปได้ในแต่ละวัน แบบนี้คนงานก็จะไม่รู้สึกเบื่อ ลูกแม่เก่งจริงๆ” หลี่เยว่หรานเอ่ยชมลูกสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

“นี่เป็นแค่เพียงหนึ่งรายการเท่านั้น หนูยังมีอีกเยอะเลยค่ะ” 

โชคดีที่แม่ของเธอทำงานในร้านอาหารที่เจ้าของร้านสนิทกับลูกน้อง ทำให้เวลาเปลี่ยนกระทะหรืออยากได้สิ่งของในครัวเถ้าแก่หนงก็อนุญาต 

 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ