ทุกคนนั่งลงเก้าอี้ในห้องประชุม โดยมีหนานกงเว่ยเป็นประธาน มู่ซีกับหลี่เยว่หรานนั่งไปทางซ้าย และเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินนั่งไปทางขวาแล้วไล่ลำดับไปตามอาวุโส เป้าซูอี้จึงเป็นฝ่ายเปิดการประชุม
“หัวหน้าหนาน รายงานเบื้องต้นก็เป็นไปตามที่ฉันได้รายงานไปแล้วเมื่อวานตอนเย็น ที่ประชุมกันในวันนี้ก็ต้องการพูดถึงเรื่องผลประโยชน์และสิ่งที่ทางนังหนูมู่ซีต้องการ รวมถึงการทำงานด้วย”
“ว่ายังไงล่ะ เด็กน้อยเธอต้องการอะไรตอบแทนในครั้งนี้” หนานกงเว่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เพราะเท่าที่ตัวเขาได้ฟังเรื่องราวคร่าว ๆ บอกได้เลยว่าสถานีวิทยุของเขาต้องชนะและผ่านการประเมินจากส่วนกลางแน่ เมืองเวยฟางไม่ใช่เมืองใหญ่ทรัพยากรอะไรก็ไม่ค่อยได้มากนัก ดังนั้นการจัดเก็บรายได้จากโฆษณาจึงเป็นหนทางหลักที่จะทำให้ผู้ใหญ่พอใจ แต่การจะได้ค่าโฆษณาก็ต้องมีรายการหรือบทละครวิทยุที่ตรึงใจชาวบ้าน
ยิ่งถ้าทำให้ชาวบ้านติดละครมากเท่าไร โอกาสที่เขาจะหารายได้จากค่าโฆษณาก็มากตามไปด้วย สถานีวิทยุที่เขาดูแลอยู่เป็นสถานีวิทยุ ฮวนเล่อจือเซิง หรือสถานีวิทยุเสียงแห่งความสุข นำเสนอรายการเพลง ละครวิทยุ ข่าวสาร เป็นหลัก มีคู่แข่งคือสถานีวิทยุเสวียนลี่ซือ หรือสถานีวิทยุเสียงแห่งท้วงทำนอง
ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเริ่มมีการแข่งขันกันระหว่างสองสถานีวิทยุนี้ ซึ่งผู้ที่ชนะจะได้รับเสนอชื่อเพื่อนำบทละครนี้เข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ เพื่อนำผลงานไปทำเป็นบทละครเพลง ที่จะมีการเล่นที่โรงละครแห่งชาติที่ปักกิ่งนั่นเอง
“ไม่รู้ว่าบทละครวิทยุของซีซีจะทำให้คุณลุงชนะการแข่งขันไหม แต่ซีซีจะทำให้ดีที่สุด ขอของรางวัลจากการทำงานนี้เป็นพันธมิตรการค้าได้ไหมคะ ซีซีมีความคิดที่จะขายอาหารเช้าในศูนย์อาหารของโรงงาน แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน คุณลุงลงทุนเงิน ซีซีลงทุนแรง กำไรแบ่งกันคนละครึ่ง ในอนาคตถ้าซีซีมีเงินมากพอจะขอซื้อร้านมาเป็นของซีซีทั้งหมด”
“อีกอย่างซีซีอยากให้คุณลุงช่วยหาบ้านเช่าให้กับครอบครัวของซีซีในเมืองด้วยค่ะ ยายของซีซีแก่แล้ว อีกไม่นานซีซีกับพี่สาวก็จะต้องเข้าโรงเรียน การอยู่ชนบทไม่สะดวกจริงๆ อีกอย่างแม่บุญธรรมก็ต้องมาทำงานที่ร้านอาหารด้วย แม่บุญธรรมต้องเลิกงานดึกกว่าจะถึงบ้านก็ดึกมาก การเดินทางทำให้กินเวลาและพลังงานมากเกินไปค่ะ ถ้าคุณลุงสามารถให้สิ่งเหล่านี้กับพวกเราได้ ซีซียินดีจะช่วยทำให้บทละครวิทยุของพวกคุณลุงสำเร็จได้แน่นอนค่ะ”
มู่ซีบอกความต้องการของตัวเองรวดเดียวจนต้องจิบน้ำเพราะคอแห้งและหายใจไม่ทัน เธอคิดมาดีแล้วเธอไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการทำตัวเด่น ต้องมีคนหนุนหลังถึงจะทำอะไรได้สะดวก เงินไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาในยุคสมัยนี้
“อะไรกัน ทำไมถึงมักน้อยกันเล่า ถ้าบทละครของเธอประสบความสำเร็จ มากกว่านี้ฉันก็ให้ได้” หนานกงเว่ยเอ่ยออกมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเด็กน้อย
“แค่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ให้ยายกับแม่มีชีวิตที่ดีขึ้นซีซีก็พอใจแล้วค่ะ” มู่ซียังยืนยันความต้องการเหมือนเดิม เพราะเธอมองว่าการแลกเปลี่ยนบางสิ่งหากไม่เท่าเทียมกันก็รู้สึกไม่ดี
“เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหา ฉันสามารถจัดการให้เธอได้ ฉันจะให้ผู้ช่วยทำเอกสารและจัดการให้เรียบร้อยไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ พวกเธอต้องการบ้านแบบไหนให้คุยกับผู้ช่วยของฉันได้เลย แต่ว่าในการทำงานเขียนบทละครพวกเราคงต้องให้เธอเริ่มทันที เพราะเวลาที่ผ่านไปหมายถึงโอกาสของเราที่หมดไปเช่นกัน”
“ที่นี่จะเป็นที่ทำงานและที่พักของเธอกับคนของฉันระหว่างที่รอย้ายเข้าบ้านใหม่ วันนี้กลับไปเก็บของมาให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้เริ่มทำงานได้เลย ส่วนบ้านของเธอมาอยู่ที่นี่ได้ ฉันจะให้รถที่สถานีไปส่งที่ร้านอาหาร พอย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ว่ากันอีกที แบบนี้พอใจไหม” หนานกงเว่ยสรุปแผนการทำงานให้ทุกคนในห้องได้รับรู้ โดยเฉพาะสองแม่ลูก
“พอใจค่ะ” มู่ซีตอบ หลังจากที่หันไปสบตากับหลี่เยว่หรานแล้วรู้ว่าแม่ของเธอไม่มีอะไรขัดข้อง
“ดี หากบทละครเสร็จภายในหนึ่งเดือน ทันกำหนด ฉันมีเงินพิเศษให้อีก 10 หยวน และถ้าสถานีฮวนเล่อจือเซิง ชนะการแข่งขัน ฉันจะมีเงินรางวัลให้เธอต่างหากอีก 50 หยวน เพราะฉะนั้นตั้งใจทำงานให้ดีล่ะ มีคำถามอะไรอีกไหม”
“หมายความว่าซีซีจะยังไม่สามารถไปขายอาหารได้จนกว่าจะเขียนบทละครวิทยุเสร็จก่อนใช่ไหมคะ”
“ใช่ ในเวลาหนึ่งเดือน ฉันจะหาบ้านเช่า และติดต่อขอขายอาหารที่ศูนย์อาหารของโรงงานให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็คงพอดีที่บทละครวิทยุเสร็จ ถึงตอนนั้นเธอก็มีอิสระแล้ว จะไปทำอะไรฉันก็ไม่ท้วงแต่ตอนนี้ฉันอยากให้ตั้งใจกับบทละครวิทยุแค่นั้น”
“ซีซีจะตั้งใจทำงานให้เสร็จเร็วและมีคุณภาพตามที่พวกลุงต้องการ”
“ดีมาก สำหรับเรื่องอาหารในระหว่างที่ทำงานให้ฉัน ไม่ต้องเป็นห่วง จะให้คนของฉันจัดการให้เรียบร้อยเอง” หนานกงเว่ยเอ่ยสรุป
“ขอบคุณค่ะ”
“สิ่งที่พวกเราคุยกันถือว่าทุกคนรับรู้แล้ว ซูอี้คุณจัดการตามที่ประชุมด้วยนะ” หนานกงเว่ยสั่งงานให้กับเป้าซูอี้เสร็จ เขากับผู้ช่วยก็กลับไป
อู๋กังจึงไปส่งหลี่เยว่หรานที่ร้านอาหาร ปินเสี่ยวจวนขอตัวไปเตรียมห้องสำหรับให้มู่ซีกับแม่มาพักในระหว่างที่ทำงานนี้ ที่เหลือได้แก่ เป้าซูอี้ เฉาอวี่ปิน กับหูเหว่ยก็พามู่ซีไปอีกห้องหนึ่งเพื่อเริ่มทำงาน
การทำงานนั้นง่ายมาก โดยที่พวกเขาจะนั่งคุยกันเกี่ยวกับการเขียนบทละคร ซึ่งมีมู่ซีเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แล้วผู้ใหญ่จะทำการจดบันทึกเรื่องราวอย่างละเอียด พวกเขาจะทำการจำแนกตัวละครออกมา แบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนรับผิดชอบแต่ละตัวละคร และทำการเขียนเป็นบทละครออกมา
มู่ซีบอกว่าเธอยังเด็กเขียนยังไม่คล่อง แต่เธออ่านได้เร็ว สร้างความแปลกใจให้กับเหล่านักพากย์ละครวิทยุมาก เนื่องจากในสมัยนี้เด็กอายุแค่นี้รู้ตัวอักษรไม่กี่ตัว แต่มู่ซีกลับอ่านได้คล่องมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอู๋กังกับปินเสี่ยวจวนก็มาร่วมสมทบการทำงาน
วันนั้นก็เหมือนวันก่อนหน้าที่มู่ซีเริ่มทำงานร่วมกับกลุ่มนักพากย์ พอถึงเวลากลับบ้านอู๋กังก็จะไปส่งมู่ซีที่ร้านอาหาร สองแม่ลูกก็จะกลับบ้านไปในเวลาสี่ทุ่มกว่า ทว่าวันนี้ระหว่างที่เดินกลับเข้าบ้านจากปากทางเข้าหมู่บ้าน หลี่เยว่หรานก็บอกข่าวดีกับมู่ซีว่า รายการอาหารที่ทางร้านฟางเจียนเว่ยเอาออกมาขายได้รับผลตอบรับที่ดีตั้งแต่วันแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำหรับเด็กหรือผัดมะเขือม่วงซอสกระเทียม
“ซีซี ลูกรู้ได้อย่างไรว่าผัดมะเขือม่วงราดซอสกระเทียมจะขายดีกว่าผัดมะเขือม่วงหมูสับ” หลี่เยว่หรานเอ่ยถามลูกสาวขณะเปิดประตูเข้าบ้าน
ด้วยวันนี้มู่ซีนอนหลับมาบนรถประจำทางไปแล้ว อีกอย่างร่างกายก็ปรับสภาพได้บ้าง มู่ซีไม่อยากให้ตนเองเป็นภาระให้คนเป็นแม่ เพราะตอนกลางวันก็ทำงานเหนื่อยแล้ว เดินเข้าบ้านยังมาอุ้มเธออีก มู่ซีจึงบอกให้หลี่เยว่หรานปลุกเธอเพื่อเดินเข้าบ้านเอง
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ซีซีแค่คิดเอาเท่านั้น อีกอย่างบางทีคนก็ไม่ได้ชอบอะไรที่ซับซ้อน” คำตอบของมู่ซีถึงกับทำเอาหลี่เยว่หรานหน้าเหวอ ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบง่าย ๆ แบบนี้
“ซีซี มานั่งตรงนี้ก่อนพวกเราต้องคุยกันจริงจังแล้ว” หลี่เยว่หรานเมื่อเข้ามาในบ้านได้แล้ว ก็เรียกลูกสาวคนเล็กให้ไปนั่งคุยที่เก้าอี้กลางบ้านสำหรับกินอาหาร
“ดึกแล้ว ไว้คุยพรุ่งนี้ได้ไหมคะ” มู่ซีรู้สึกว่าเรื่องที่แม่ของเธอต้องการคุยด้วยอาจจะเป็นคำถามที่เธออธิบายได้ยาก จึงต้องการไปคิดหาเหตุผลเอาไว้ก่อน
“มาเถอะ แม่ถามลูกแค่สองสามข้อเท่านั้น”
“ค่ะ แม่มีอะไรจะถามซีซีเหรอคะ” มู่ซีเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับผู้เป็นแม่บุญธรรม
“ซีซี บอกแม่ได้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม่รู้สึกว่าซีซีไม่เหมือนเดิมแต่ก็บอกไม่ถูก” หลี่เยว่หรานเห็นความเป็นไปของพี่น้องมู่ตั้งแต่เพื่อนของเธอเสียชีวิตไป ทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นคนอย่างไร
หากมู่ซีเป็นเด็กกล้าหาญตั้งแต่แรกเธอจะไม่แปลกใจ ทว่าหลังจากที่ป่วยหนักตอนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แล้วจะไม่ให้เธอสงสัยได้หรือ รวมทั้งเรื่องการคิดรายการอาหาร การทำบทละครวิทยุด้วย
เธอเป็นเพียงผู้หญิงในชนบทที่ความสามารถในการทำอาหารได้นิดหน่อย ความรู้อะไรก็ไม่มีที่จะไปสอนลูก ๆ เธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวบุญธรรมสองคนนี้ต้องถูกคนในเมืองหลอก การกระทำที่เกินตัวของลูกสาวคนเล็กจึงทำให้เธอเป็นห่วงไม่น้อย
มู่ซีลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างหลี่เยว่หรานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ มู่ซีมีร่างกายเล็กแกรนไม่สมอายุจึงยื่นใบหน้าเสมอกันพอดี
“แม่คะ ต่อไปนี้ซีซีจะทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ ยาย กับพี่เซียนเซียนมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ขอแค่แม่กับทุกคนเชื่อใจซีซีก็พอแล้ว แม่ยังจำได้ไหมคะว่าซีซีเคยเล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ฝันตอนที่ป่วยหนักๆ ก่อนที่จะมาอยู่กับแม่ ในความฝันนั้นซีซีจำมันได้ทั้งหมด”
“ซีซีได้ไปใช้ชีวิตในโลกนั้นมาหลายสิบปี นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมซีซีถึงรู้หนังสือทั้งที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเลย ในโลกนั้นซีซีมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้วค่ะ ประสบการณ์ที่นั่นทำให้ซีซีมีความคิดมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีร่างกายเป็นเด็กแต่ในนี้มันมีความรู้อยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรซีซีก็เป็นลูกสาวของแม่ เป็นหลานสาวของยาย และเป็นน้องสาวของพี่เซียนเซียนเหมือนเดิม” มู่ซียกมือของหลี่เยว่หรานขึ้นมากุมไว้ พร้อมกับเอามืออีกข้างชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง
“เอาล่ะ แม่เชื่อซีซี ต่อไปนี้แม่จะไม่ถามจะทำตามที่ซีซีบอก ขอเพียงลูกบอกแม่มา แม่พร้อมจะสนับสนุนลูกเสมอ วันนี้เหนื่อยแล้ว พวกเราไปนอนกันเถอะ” หลี่เยว่หรานว่าแล้วก็ลุกขึ้นจูงมือมู่ซีไปที่ห้องนอน ซึ่งตอนนี้มีมู่เซียนนอนอยู่ก่อนแล้ว
ช่วงนี้มู่เซียนจะตัวติดกับยายหลี่เพราะต้องทำงานร่วมกัน ส่วนมู่ซีก็ตัวติดกับหลี่เยว่หรานทำให้สองพี่น้องไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก เพราะตอนที่มู่ซีกลับบ้านมู่เซียนก็หลับไปแล้ว ตอนที่มู่เซียนเข้าแปลงนาพร้อมยายมู่ซีก็ยังไม่ตื่นนอนนั่นเอง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?