ตอนที่ 16 ย้ายเข้าบ้านใหม่ 

 

วันนี้บ้านหลี่ทำพิธีย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ หลี่เยว่หรานเลือกหยุดงานหนึ่งวันแล้วทำพิธีเล็ก ๆ ในตอนเช้า เพราะมีคนงานรวมทั้งเถ้าแก่หนงจากร้านอาหารฟางเจียนเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย เสร็จงานพวกเขาก็ไปทำงานได้ตามปกติ ส่วนเหล่านักพากย์ก็มาร่วมแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน 

บ้านเช่าของมู่ซีอยู่ที่ชั้นสาม จากทั้งหมดเจ็ดชั้น แถมยังโชคดีเป็นห้องอยู่ริมสุดที่มีระเบียงยื่นออกไปด้วย ยายหลี่กับมู่เซียนก็มาถึงก่อนเวลามงคลเล็กน้อย เพราะต้องนั่งรถโดยสารจากหมู่บ้านหลงเฉิงเข้ามาในเมืองนั่นเอง 

“ยินดีด้วยนะยัยหนูซีซี” 

 เถ้าแก่หนงยื่นของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีแดงส่งให้กับมู่ซี ในวันนี้เธอแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่ได้รับมาจากเป้าซูอี้ตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อเป็นสิริมงคลในวันนี้ 

“ขอบคุณเถ้าแก่ค่ะ” มู่ซียิ้มรับเต็มใบหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปรับของขวัญ 

“ยินดีด้วยนะอาหราน” เป็นพ่อครัวหม่าที่ยื่นของขวัญให้กับหลี่เยว่หรานอีกคน 

“ยินดีด้วยนะคะพี่เยว่หราน” เสี่ยวชิงเป็นตัวแทนของกลุ่มพนักงานของร้านรวบรวมเงินกันซื้อของขวัญมาให้ หลี่เยว่หรานยื่นมือไปรับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณทุกคนก่อนเชิญเข้าไปในบ้าน 

หลังจากนั้นก็เป็นกลุ่มนักพากย์ที่วันนี้ก็มากันครบทั้งกลุ่ม หลังจากมอบของขวัญเรียบร้อย มู่ซีเชิญทุกคนรับประทานอาหาร วันนี้มู่ซีทำอาหารเลี้ยงทุกคนเป็นเหมือนซุ้มค็อกเทล ที่วางของกินตกแต่งน่ารัก ทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ มีจานใบเล็กวางไว้ให้ ใครอยากกินอะไรก็เลือกกินเอา ส่วนมากไม่มีน้ำ เป็นอาหารแห้ง แล้วทำน้ำสมุนไพรสีเหลือง แดง น่ากินไว้ด้วย 

สาเหตุที่มู่ซีเลือกทำแบบซุ้มค็อกเทล เพราะว่าห้องเธอคับแคบ คนมาร่วมแสดงความยินดีหลายคน การนั่งกินแบบเป็นกิจจะลักษณะไม่สะดวก แต่ถ้าทุกคนคุยกันไป ถือจานเล็ก ๆ ก็ถือว่าพอไหว  

“นังหนูซีซี ไปเอาความคิดการจัดเลี้ยงแบบนี้มาจากไหน มันสะดวกมาก” เถ้าแก่หนงผู้อาวุโสที่สุดของวันนี้นั่งอยู่โต๊ะชุดรับแขกเล็กกลางบ้านที่ถือว่าดูดีที่สุดของห้องแล้ว เอ่ยถามขึ้นหลังจากไปตักอาหารมาถือไว้ 

“ใช่ ๆ ฉันก็เห็นด้วย มันดูอบอุ่นและอาหารก็หน้าตาน่ารัก แถมยังอร่อยอีกด้วย” เป้าซูอี้ที่คุ้นเคยกันดีกับเถ้าแก่หนงเอ่ยสนับสนุนอีกคน 

“ซีซีคิดว่าบ้านมันก็แคบนิดเดียว พอทุกคนมานั่งรวมกันก็แทบไม่มีที่ให้เดิน จะนั่งกินกันดี ๆ ก็ไม่มีพื้นที่ ซีซีเลยคิดว่าแบบนี้สะดวกมากกว่าค่ะ” 

“นังหนูซีซีนี่ฉลาดจริง ๆ” เถ้าแก่หนงเอ่ยชม 

งานเลี้ยงผ่านไปแค่หนึ่งชั่วโมง ทุกคนต่างแยกย้ายกลับเพราะมีหน้าที่ต้องทำ อีกทั้งรบกวนเพื่อนบ้านห้องอื่นด้วย วันนี้หลี่เยว่หรานไม่ต้องไปทำงาน หลี่เยว่หรานนำอาหารเล็กน้อยนำไปฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็จัดการทำความสะอาดทุกอย่าง  สี่คนแม่ลูกก็มานั่งคุยกันอย่างมีความสุข 

“พี่เซียนเซียน มาดูนี่เร็วเข้า” มู่ซีทั้งจูงทั้งลากมู่เซียนเพื่อเข้าไปดูห้องนอนของพวกเธอทั้งสองคน 

 ซึ่งมันมีฟูกนอนอันใหม่วางอยู่สองอัน ด้านข้างยังมีตู้เก็บเสื้อผ้าหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้วย และที่ทำให้มู่เซียนชอบมาก ด้วยข้างตู้เสื้อผ้ามีโต๊ะเครื่องแป้งวางอยู่ด้วยเช่นกัน 

“ซีซี ใจเย็น ๆ ไม่ต้องลากพี่แรงขนาดนั้น” หลี่เยว่หรานเอ่ยเตือนลูกสาวคนเล็ก พร้อมกับประคองยายหลี่เดินตามเด็กทั้งสองคนเข้าไปในห้องนอนด้วย 

“พี่เซียนเซียน ชอบไหมคะ” 

 มู่ซีพาพี่สาวมาในห้องแล้วรีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญมู่เซียนให้ดูห้องที่เธอตั้งใจตกแต่ง พูดง่าย ๆ ก็อวดพี่สาวนั่นแหละ 

“ซีซี พี่ชอบมากเลยจ้ะ” มู่เซียนเดินไปดูตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ และยังทดลองนั่งโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความตื่นเต้น 

 ชีวิตนี้เธอไม่เคยคิดว่าจะได้นั่งอะไรแบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้ามาอยู่ในเมืองเลย มู่เซียนขอเพียงเธอกับน้องมีอะไรให้กินในแต่ละวันก็พอแล้ว 

“โต๊ะตัวนี้น่าจะแพง ทำไมน้องถึงเสียเงินซื้อมาล่ะ” มู่เซียนเอ่ยถาม มือลูบไปตามรอยแกะสลักของโต๊ะ  

“ใครว่าซีซีเป็นคนซื้อมา นี่เป็นของขวัญจากหัวหน้าหนานต่างหากล่ะคะ เขาบอกว่าซีซีโตเป็นสาวน้อยแล้ว ต้องมีโต๊ะเครื่องแป้งดี ๆ สักอัน”  

“โตเป็นสาวน้อย สรุปหลานยายโตเป็นสาวหรือยังจ๊ะ” ยายหลี่เอ่ยเย้าหลานสาวคนเล็ก ทำให้ทุกคนหัวเราะตาม 

“โธ่ ยายจ๋า ซีซียังเป็นเด็กอยู่เลยค่ะ พี่เซียนเซียนต่างหากที่อีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้ว แถมยังเป็นสาวสวยเสียด้วยสิคะ” มู่ซีเดินไปกอดแขนยายหลี่เอ่ยตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน  

“ซีซีพูดอะไรไม่รู้ ว่าแต่เซียนเซียนยังไม่เห็นห้องนอนของแม่กับยายเลยค่ะ” มู่เซียนลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้ง เดินเข้าไปหาทุกคน 

“มาเถอะ ไปดูห้องนอนของแม่กับยายกัน”  

ทุกคนเดินออกจากห้องของเด็ก ๆ แล้วไปที่ห้องนอนของหลี่เยว่หรานกับยายหลี่ ซึ่งก็เหมือนกับห้องของมู่ซีและมู่เซียน แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย บ้านนี้ไม่มีเตียงนอนทุกคนนอนกับพื้น ไม่เหมือนบ้านในหมู่บ้านหลงเฉิงที่ยังมีเตียงไม้ไผ่ แต่ที่นี่เป็นเขตเมือง การนอนกับพื้นจึงเป็นเรื่องปกติมาก 

“โชคดีนะคะ ที่พวกเรามีห้องน้ำส่วนตัว ไม่อย่างนั้นลำบากแย่” มู่เซียนเอ่ยหลังจากที่ทุกคนเดินกลับมารวมตัวกันในห้องโถง 

“ซีซีไม่ชอบใช้ห้องน้ำรวมกับคนอื่น อีกหน่อยพี่เซียนเซียนก็โตขึ้น เกิดไปอาบน้ำ ใครอาจจะคิดไม่ดีก็ได้” มู่ซีบอก สิ่งที่เธอคำนึงถึงมากที่สุดในการเลือกที่อยู่คือพี่สาว 

“วันนี้แม่กับเซียนเซียนก็นอนที่ในเมืองก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่บ้าน แม่แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะยังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่” หลี่เยว่หรานหันไปถามยายหลี่ 

“แม่ว่าจะรอให้อากุยย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเสียก่อน มันอีกแค่สองอาทิตย์เองค่อยย้ายมาอยู่ที่นี่ อากุยตกลงจะเกี่ยวข้าวให้แม่แล้วนะ แม่จะแบ่งข้าวให้อากุยสองส่วนสำหรับค่าจ้าง ส่วนข้าวที่เหลือแม่ว่าจะขายทั้งหมด เพราะเราเอามาที่นี่ไม่ได้ ไม่มีที่เก็บ สู้เอาเงินมาไว้ซื้อดีกว่า”  

“เซียนเซียนก็จะอยู่เป็นเพื่อนยายจ้ะ”  

“อดทนหน่อยนะลูก อีกแค่นิดเดียวพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว” หลี่เยว่หรานเอ่ยขึ้นพลางลูบศีรษะมู่เซียนอย่างอ่อนโยน เธอรู้ว่าตัดสินใจไม่ผิดที่รับเลี้ยงเด็กบ้านมู่สองคนนี้  

มู่เซียนก็เป็นเด็กดีตัวติดยายหลี่อย่างกับตังเม เธอรู้ว่ามู่เซียนไม่อยากให้ยายหลี่ต้องทำงานหนัก ส่วนมู่ซีก็ช่วยเธอในการหาเงินเข้าบ้าน ในอนาคตเธอกับแม่สามารถฝากชีวิตตอนแก่ไว้กับเด็กสองคนนี้ได้อย่างแน่นอน  

เย็นวันนั้นบ้านหลี่เลี้ยงฉลองย้ายเข้าบ้านใหม่ด้วยหม้อไฟหมาล่า พวกเขาหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข และเป็นคืนที่มู่ซีและมู่เซียนนอนหลับอย่างเป็นสุขอีกวัน นับจากย้ายออกจากบ้านมู่ 

 ผ่านไปสองวันเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินหอบบทละครที่เตรียมไว้เข้าไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการลงทะเบียนการแข่งขันของสถานีวิทยุ ตรงจุดลงทะเบียนยังได้พบกับคนของสถานีวิทยุเสวียนลี่ซือด้วย  

หลังจากส่งมอบบทละครเรียบร้อย ทุกคนที่เป็นตัวแทนของแต่ละสถานีต้องนั่งรอเพื่อรับฟังผลการพิจารณาเบื้องต้น ซึ่งในห้องนี้ก็มีประมาณเกือบห้าสถานีวิทยุที่เข้าร่วมแข่งขัน พวกเขาฉากหน้าก็แย้มยิ้มให้กันดุจเพื่อนรัก ทว่าลับหลังก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด 

“หัวหน้าเป้า คิดว่าบทละครของสถานีฮวนเล่อจือเซิงจะชนะไหมปีนี้”   

เจียงหยู่เหมิง เป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายเรียบหรูตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าถึงแม้ว่าอายุของเธอจะพอๆกับเป้าซูอี้ก็ตาม ทว่าไม่ได้ทำให้เธอดูมีอายุแม้แต่น้อย เจียงหยู่เหมิงเป็นหัวหน้ากลุ่มนักพากย์ของสถานีวิทยุเสวียนลี่ซือ ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย  

ด้วยทั้งคู่ต่างก็เป็นหญิงงาม แข่งขันกันมาหลายสิบปี ทั้งยังมาทำงานสายงานเดียวกันแต่คนละสถานีแบบนี้ ยิ่งทำให้ทั้งคู่เป็นคู่แข่งกันที่กินกันไม่ลงเลยทีเดียว 

เจียงหยู่เหมิงเดินเข้ามาพร้อมกับซูเสียง ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าเกินสามสิบปี ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ เขาสวมสูทสีเทาดูดีเลยทีเดียว ทั้งคู่เดินเข้ามาหาเป้าซูอี้ที่นั่งอยู่กับเฉาอวี่ปินพลางเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ  

เป้าซูอี้หันกลับไปตามเสียงจึงเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมสายงานเดียวกัน ก็ลุกขึ้นยืนทำให้เฉาอวี่ปินลุกขึ้นยืนตามไปด้วย 

“ไม่รู้เหมือนกันนะคะ แต่ว่าปีนี้ทางฮวนเล่อจือเซิงค่อนข้างมั่นใจพอสมควร”  

“ได้ยินแบบนี้ ฉันก็โล่งใจหน่อยค่ะ เพราะหลายปีมานี้ เสวียนลี่ซือชนะมาตลอด บางทีก็น่าเบื่อนะคะ” เจียงหยู่เหมิงเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ 

คำพูดของเจียงหยู่เหมิงทำให้เฉาอวี่ปินถึงกับทนไม่ไหวจะเอ่ยปากตอบโต้ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมือซ้ายของเขาถูกกระตุกไว้ด้วยมือของเป้าซูอี้ 

“ค่ะ มันน่าเบื่อมากจริง ๆ แต่อย่างน้อยปีนี้ทางฮวนเล่อจือเซิงก็น่าจะพอมีหวัง เพราะเรามีบทละครวิทยุแบบใหม่ ที่คาดว่าคนฟังคงต้องร้องว้าวแน่ ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะ คือว่าต้องการการทำสมาธินะคะ เผื่อตอนเสนองานจะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด” เป้าซูอี้เอ่ยขอตัวออกมาด้วยน้ำเสียงราบนิ่ง 

“เชิญค่ะ แต่ว่าอย่าพึ่งหวังอะไรให้มากนะคะ บางทีอาจจะไม่ต้องนำเสนองานเลยก็ได้” เจียงหยู่เหมิงเอ่ยไล่ตามหลังคนจากสถานีวิทยุฮวนเล่อจือเซิงไปด้วยเสียงดัง 

เป้าซูอี้ไม่แม้แต่จะชะงักตัวหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เธอลากเฉาอวี่ปินออกไปนอกห้องหวังเพื่อไปสงบสติอารมณ์ ทว่ายังไม่ทันได้พ้นประตูก็ต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับไปตามเสียงเรียกของใครบางคน 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ