ผ่านไปห้าวันบาดแผลบนศีรษะของมู่ซีก็หายดี อาการไข้ก็ไม่มีแล้ว ทุกวันมู่เซียนจะลุกขึ้นมาช่วยยายหลี่ทำงานบ้านหลังจากนั้นจะตามไปแปลงนาช่วยปลูกข้าว ส่วนมู่ซียังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเพราะทุกคนคิดว่าหลานสาวคนเล็กของบ้านยังไม่หายดี แต่พอครบห้าวันมู่ซีก็ทนไม่ไหวที่ต้องนอนอยู่เฉย ๆ ในขณะที่คนอื่นต้องทำงาน
“แม่จ๋า วันนี้ให้ซีซีไปในเมืองกับแม่จ๋าได้ไหมจ๊ะ”
“เจ้าเด็กขี้อ้อนนี่ ลืมไปแล้วเหรอ วันนี้ทุกคนต้องเข้าเมือง เพราะต้องไปแจ้งชื่อเข้าทะเบียนบ้าน อีกอย่างแม่จะพาลูกสองคนไปซื้อชุดสวยๆด้วย” หลี่เยว่หรานเอ่ยออกมายิ้ม ๆ ในระหว่างที่นั่งกินข้าวมื้อเช้า
“จริงหรือจ๊ะ วันนี้พวกเราจะได้เข้าไปในเมือง” มู่เซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า หมู่บ้านที่มู่ซีอาศัยอยู่นี้เป็นหมู่บ้านแถบชนบท ชื่อว่าหมู่บ้านหลงเฉิง ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวยฟาง มณฑลซานตง ประมาณสิบกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง มีจำนวนสมาชิกเพียงสองพันคน
เมืองเวยฟางเป็นเมืองขนาดกลาง ไม่ใช่เมืองใหญ่หรือเมืองหลวงของมณฑล มีโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องผักและผลไม้ ที่กำลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งมีการคมนาคมที่สะดวกสบายในการเชื่อมต่อกับเมืองใหญ่อื่น ๆ
จากหมู่บ้านหลงเฉิงจะเข้าไปในเมืองเวยฟางต้องนั่งรถประจำทางซึ่งวิ่งระหว่างหมู่บ้านกับตัวเมืองวันละ 4-5 เที่ยว ชาวบ้านมักเข้าไปทำงานในโรงงานในเมืองเวยฟาง บางโรงงานก็มีสวัสดิการมีรถรับส่งระหว่างหมู่บ้าน เช่น มู่ซือกับมู่เทียนที่ทำงานในโรงงานในเมืองเวยฟาง
ส่วนหลี่เยว่หรานทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่ร้านอาหารฟางเจียนเว่ย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานต่าง ๆ เป็นร้านอาหารสำหรับกลุ่มคนมีฐานะ เพราะว่าส่วนมากลูกค้าที่มาใช้บริการจะเป็นเจ้าของโรงงาน หรือแขกของโรงงาน บางครั้งก็มีแขกชาวต่างชาติที่ต้องการลิ้มรสอาหารจีนแบบดั้งเดิม ร้านอาหารฟางเจียนเว่ยจึงตอบโจทย์ มีลูกค้าตลอดทั้งวัน
ร้านอาหารฟางเจียนเว่ยปิดเวลาสี่ทุ่ม ถ้าวันไหนหลี่เยว่หรานต้องทำงานเลิกดึก เธอจะกลับบ้านรถเที่ยวสุดท้าย เพราะโรงงานก็มีคนทำงานล่วงเวลาที่เลิกประมาณนี้เช่นกัน ใคร ๆ ต่างก็อยากได้เงินเพิ่ม
ตัวเมืองเวยฟางมีร้านอาหารต่างชาติอยู่หนึ่งร้าน ชื่อว่า บริสโท การ์เด้น เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารต่างชาติ ราคาแพงมาก ส่วนมากมีลูกค้าจะเป็นพนักงานต่างชาติที่มาทำหน้าที่ดูแลเครื่องจักรของแต่ละโรงงาน
“แม่หยุดงานมาหลายวันแล้ว วันนี้ต้องรีบไปจัดการแจ้งชื่อให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้เริ่มกลับไปทำงานเสียที” หลี่เยว่หรานบอกทุกคน
“รีบกินข้าว เดี๋ยวจะไม่ทันรถเที่ยวแรก” ยายหลี่เอ่ยยิ้ม ๆ
มู่ซีและมู่เซียนยิ้มแก้มปริ สำหรับมู่ซีเธอจะได้ไปสำรวจว่ามีทางไหนที่จะสามารถหาเงินได้บ้าง อีกอย่างเธอก็มาอยู่ในยุคนี้แล้วก็ต้องไปให้เห็นกับตา ทางด้านมู่เซียนก็ตื่นเต้นเพราะการได้เข้าไปในเมือง มันเป็นความฝันของเด็ก ๆ ทุกคนในหมู่บ้าน เธอเคยได้ยินกลุ่มเด็กคนอื่นอวดว่าได้เข้าไปในเมือง ได้ไปเห็นอะไรที่เจริญตา ได้กินขนมอร่อย ที่ไม่มีขายในหมู่บ้าน
หลังจากทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จก็พากันเดินมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเดินประมาณห้านาทีเท่านั้น ตรงป้ายรถประจำทางมีคนอยู่ประมาณเกือบห้าสิบคนที่ยืนรอรถอยู่ มู่ซีสังเหตุเห็นว่ามีบางคนยืนกินซาลาเปา หมั่นโถวระหว่างรอรถ มีรถเข้ามาเทียบป้ายเรื่อย ๆ
ซึ่งหลี่เยว่หรานก็อธิบายว่าเป็นรถรับส่งพนักงานที่มาจากแต่ละโรงงาน ใครทำงานที่โรงงานไหนก็จะขึ้นรถของโรงงานตนเอง คนจึงลดลงเรื่อย ๆ ส่วนพวกเธอต้องขึ้นรถโดยสารทั่วไป
รอไม่นานรถโดยสารสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานก็มาจอดเทียบท่า สี่คนบ้านหลี่ก็ขึ้นรถไป หลี่เยว่หรานจ่ายค่ารถไปคนละ 1เหมา 5 เฟิน ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบสี่สิบนาที รถโดยสารก็พาคนบ้านหลี่มาถึงท่ารถโดยสารในเมืองเวยฟาง
หลี่เยว่หรานพามู่ซีกับมู่เซียนไปที่ศาลาว่าการเมือง ทำการแจ้งชื่อทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว ก็พาไปที่ตลาดซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีสินค้าขายเกือบทุกอย่าง ทั้งสองคนได้ชุดใหม่มาคนละสามชุด กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ถึงเวลามื้อกลางวัน
หลี่เยว่หรานจึงได้พาทุกคนเดินไปที่ร้านอาหารฟางเจียนเว่ยที่ตนเองทำงานอยู่ หนึ่งจะได้ไปบอกให้เถ้าแก่ว่าพรุ่งนี้ตนเองจะกลับมาทำงานแล้ว สองคือจะได้พาทุกคนไปกินข้าวมื้อกลางวันที่นั้นด้วย เถ้าแก่เป็นคนที่ใจดีมาก เขาไม่เคยหวงของกินกับพนักงานในร้าน
และสุดท้ายสำคัญที่สุดคือหลี่เยว่หรานจะได้พาลูกสาวสองคนของตนเองไปแนะนำให้กับทุกคนได้รู้จักไว้ เผื่อในอนาคตมีเรื่องอะไรจะได้รู้จักกันไว้
“โอ้โห แม่จ๋าเมืองใหญ่มาก มีโรงงานเต็มไปหมด” มู่ซีอุทานขึ้นหลังจากที่เดินผ่านโรงงานต่าง ๆ มาตลอดเส้นทางตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวัน มีพนักงานออกมาซื้ออาหารตามร้านข้างทางที่ขายให้กับเหล่าพนักงาน มันเหมือนเป็นศูนย์อาหารในโลกปัจจุบัน
“ใช่ เวลาพักกลางวันแบบนี้พนักงานออกมาหาอะไรกิน ร้านค้าต่าง ๆ จะยุ่งหน่อย” หลี่เยว่หรานอธิบาย มู่ซีทดเรื่องนี้ไว้ในใจ เท้าก็เดินตามหลี่เยว่หรานที่เดินจูงมือมู่ซีไปด้วย
ส่วนมู่เซียนอาสาหิ้วของที่ซื้อมาจากตลาด เดินไม่นานก็มาถึงร้านอาหารฟางเจียนเว่ย หลี่เยว่หรานพาทุกคนเข้าไปทางหลังร้าน พวกเธอวางของทุกอย่างไว้ที่ห้องพักพนักงาน แล้วจึงพากันเดินเข้าห้องครัว
คิดว่าจะเข้าไปทักทายพ่อครัวกับเถ้าแก่ที่ชอบเข้าไปอยู่ในครัวเพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนจะไปหาอะไรกิน แต่ต้องหยุดชะงักเพราะมีเสียงเหนี่ยวรั้งเอาไว้ก่อน
เถ้าแก่ของร้านมีสีหน้าลำบากใจยืนอยู่กับลูกค้าที่คาดว่าจะเป็นคุณนายที่มีเงิน ดูจากการแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหรูหรา สิ่งของราคาแพง กระเป๋าใบใหญ่ อายุไม่ได้ถึงกับมากแต่ก็ไม่น้อยแล้ว ข้างกายมีเด็กน้อยร้องไห้งอแง
“คุณนายครับ คุณชายน้อยร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้ รบกวนลูกค้าคนอื่น ผมเกรงว่า....” เถ้าแก่ร้านยังพูดไม่จบ กลับถูกคุณนายตวาดกลับเสียงดัง
“เถ้าแก่ก็รู้ว่าฉันเป็นใคร ใครมันจะกล้ามาต่อว่าฉัน ไม่ใช่เพราะว่าร้านของเถ้าแก่มันไร้ประโยชน์ไม่ใช่เหรอ หลายชายของฉันถึงไม่ยอมกินอาหาร ทำมากี่อย่างกี่อย่าง ก็ไม่ถูกปากหลานชายฉันสักที ถ้าวันนี้เถ้าแก่ทำอาหารให้หลานชายฉันกินไม่ได้ เถ้าแก่คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เสียงของหญิงที่แต่งตัวหรูหราเอ่ยขึ้นเสียงดัง พร้อมกับปรายตามองไปทั่วทั้งร้าน ลูกค้าคนอื่นจึงได้แต่ก้มหน้า หลบสายตาเพราะรู้ว่าหญิงคนนี้เป็นใครนั่นเอง
“แม่จ๋า ป้าคนนั้นเป็นใคร คนถึงได้กลัวเขา” มู่ซีกระซิบถามหลี่เยว่หรานเสียงเบา
“ซีซี นั่นนะ คุณนายตงภรรยาท่านนายพล ส่วนเด็กชายคนนั้นก็เป็นหลานชายสุดที่รักของคุณนายตง ในเมืองเวยฟางมีใครไม่รู้บ้างว่าท่านนายพลตงกับภรรยาหลงหลานชายแค่ไหน แม่ได้ข่าวว่าคุณชายน้อยเป็นโรคเบื่ออาหาร หาหมอที่ไหนก็ไม่ดีขึ้น ดูสิ ถึงได้ร่างกายเล็กขนาดนั้น ทั้งที่อายุตั้งสี่ขวบแล้ว แม่ได้ข่าวว่าถึงขนาดไปรักษาตัวที่ปักกิ่งก็ไม่ได้ผลนะ” หลี่เยว่หรานกระซิบบอก
“แล้วป้าคนนั้นไม่ใช่เพิ่งบอกว่าถ้าร้านของแม่ยังทำอาหารที่ถูกปากคุณชายน้อยไม่ได้ เขาจะทำอะไรกับร้านของแม่เหรอจ๊ะ” มู่ซียังคงถามต่อ
“แม่ว่าเรื่องนี้เถ้าแก่คงได้เดือนร้อนแน่ แม่เคยได้ยินมาว่า ท่านนายพลสั่งปิดร้านอาหารในเมืองไปสองสามร้านเพราะทำให้คุณชายน้อยกินอาหารไม่ได้นี่แหละ ตายล่ะ แบบนี้เถ้าแก่จะทำอย่างไร” หลี่เยว่หรานหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที ซึ่งต่างกับมู่ซีที่สมองทำงานหนัก
ถ้าร้านอาหารของที่ทำงานแม่ปิดตัวลง นั่นหมายถึงว่าแม่ของเธอก็ต้องตกงาน ถ้าตกงานก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงิน เธอกับพี่สาวก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
ดังนั้นจะทำให้ร้านของแม่จ๋าปิดตัวลงไม่ได้
“แม่จ๋า ถ้าเราทำอาหารที่คุณชายน้อยยอมกิน ร้านนี้ก็จะไม่ต้องถูกปิดใช่ไหมคะ” มู่ซีเอ่ยถามหลี่เยว่หรานอีกครั้ง
“แม่ก็หวังไว้แบบนั้น แต่ดูท่าแล้ว พี่หม่า คงทำไปทุกอย่างแล้ว” หลี่เยว่หรานเอ่ยเสียงเบาพลางถอนหายใจ
ทั้งหมดยังไม่ได้ทำอะไรต่อ เถ้าแก่ร้านก็เดินกลับเข้ามาในครัว เจอกลุ่มของบ้านหลี่ตรงทางเดิน ก็ทักทายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ด้านนอกสถานการณ์ไม่ค่อยดีแต่เถ้าแก่ของร้านเดินกลับเข้ามาด้านใน เจอกลุ่มคนบ้านหลี่ที่ยืนหน้าประตูก็ได้แต่ทักทายด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี
“อาหราน ที่บ้านเรียบร้อยแล้วเหรอ ฉันคงอยู่ช่วยอะไรไม่ได้มีเรื่องอะไรก็บอกคนในร้านก็แล้วกัน ต้องไปทำอาหารใหม่ให้คุณชายน้อยตง” เถ้าแก่หนง หนงผิงชาน ผละตัวเดินเข้าครัวไป บ้านหลี่ก็เดินตามไปด้วย
“อาหม่า พอจะมีรายการอาหารอะไรอีกไหม คุณชายน้อยไม่ยอมกินเลย” เถ้าแก่หนงถามพ่อครัวหม่า ที่ทำงานกันมาหลายปีจนจะกลายเป็นเหมือนครอบครัวไปแล้ว
“เถ้าแก่ ผมก็ทำทุกอย่างที่เด็กวัยนี้กินแล้ว ตอนนี้ก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน” หม่าเค่อ พ่อครัวของร้านฟางเจียนเว่ยเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ทำอย่างไรดี ถ้าคุณชายน้อยไม่กินอาหารวันนี้ ฟางเจียนเว่ยไม่รอดแน่” เถ้าแก่หนงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
คุณนายตงก็รู้ว่าหลานชายเป็นอะไรและไม่ค่อยกินอาหาร แต่ยังพาหลานชายไปร้านอาหารต่าง ๆ พอไม่ได้ดั่งใจก็สั่งปิดร้านนั้น ร้านนี้ แต่ร้านที่ไม่มีคนหนุนหลังอย่างพวกเขาจะไปสู้ท่านนายพลตงที่มีเส้นสายมากได้แบบไหนกัน
“เราก็ทำอาหารที่คุณชายน้อยจะชอบสิคะ” มู่ซีเอ่ยออกมาเสียงดังท่ามกลางความเงียบของห้องครัว ทำให้ทุกคนหันไปมองเด็กหญิงเป็นตาเดียว
“ซีซี น้องพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า” มู่เซียนรีบเข้าประชิดตัวน้องสาว เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา
“พี่เซียนเซียน ฉันรู้ตัวว่ากำลังพูดอะไรออกมา”
“เด็กคนนี้เป็นใคร” เถ้าแก่หนงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เถ้าแก่ นี่คือมู่เซียนคนพี่ ส่วนคนนี้มู่ซีคนน้อง เป็นลูกสาวบุญธรรมของฉันเองค่ะ วันนี้มาแจ้งชื่อเข้าบ้านหลี่ เลยถือโอกาสพามาแนะนำให้ทุกคนในร้านได้รู้จักไว้ค่ะ เด็กๆ นี่คือเถ้าแก่หนง เจ้านายของแม่เอง ส่วนพ่อครัวหม่า เป็นหัวหน้าแม่” หลี่เยว่หรานเอ่ยแนะนำทุกคนให้รู้จักกัน
สองพี่น้องมู่จึงได้ทำความเคารพ
“อาหราน ไม่ได้แต่งงานก็มีลูกซะแล้ว ว่าแต่เมื่อกี้นังหนูซีซี ใช่ไหม พูดว่าอะไรนะ” เถ้าแก่หนงยกมือขึ้นลูบศีรษะของมู่ซีอย่างเอ็นดู ตัวเล็ก ๆ แต่น่าจะฉลาดไม่เบาก่อนจะเอ่ยถามประโยคสุดท้าย
“ซีซีบอกว่า พวกเราก็แค่ทำอาหารให้คุณชายน้อยชอบก็เท่านั้นเองค่ะ”
“จะทำอาหารแบบไหนหรือ อาหารขึ้นชื่อของร้านเราเขาก็กินไม่ได้” เถ้าแก่หนงถอนหายใจ อาหารขึ้นชื่อเป็นหน้าตาของร้านและมันทำให้ร้านของเขามาได้ไกลถึงขนาดนี้ แต่พอมีเด็กคนหนึ่งบอกว่าไม่อร่อยความมั่นใจมาตลอดก็ลดลง
“ซีซี นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” หลี่เยว่หรานเอ่ยเตือนลูกสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล คุณนายตงนั้นโมโหร้ายมาก คนที่นี่ต่างรู้ชื่อเสียงกันดี วันไหนไปร้านอาหารไม่พาร้านชายไปด้วยเหมือนว่าร้านนั้นได้ทำบุญ
“แม่จ๋า ซีซีไม่ได้ล้อเล่น แม่จ๋าเชื่อใจซีซีไหม”
“นังหนูซีซี ฉันทำอาหารมาเกือบครึ่งชีวิต คุณชายน้อยยังไม่สนใจสักอย่าง แล้วนังหนูซีซีอายุเท่าไรกันเชียว” หม่าเค่อเอ่ยเตือนออกมาอีกคน เขาไม่ได้พูดในน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม แต่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี มู่ซีรับรู้ได้
“ลุงหม่า ลองดูก็ไม่เสียหายนี่คะเพราะลุงหม่าก็ลองมาทุกอย่างแล้วในเมื่อเราไม่มีอะไรจะเสีย ลองทำตามที่ซีซีบอกสักครั้ง อาจจะได้ผลก็ได้ ถูกไหมคะ”
“อ้าว ได้ ไหนลองบอกฉันมา ว่านังหนูคนเก่งจะทำอะไรให้คุณชายน้อยกิน” เถ้าแก่หนงเมื่อคิดตามคำบอกของเด็กน้อยอายุแค่เจ็ดขวบก็เห็นว่าเป็นจริงจึงได้ตกลงทำตามคำแนะนำทันที
“เถ้าแถ่ครับ” หม่าเค่อกำลังจะเอ่ย ก็ถูกเถ้าแก่หนงยกมือห้ามเสียก่อน
“อาหม่า ก็อย่างที่นังหนูซีซีว่า ไหนๆเราก็ลองมาหมดแล้ว ลองอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ว่าแต่ ไหนล่ะ อาหารที่จะทำให้คุณชายน้อยชอบ”
“ซีซีตัวนิดเดียวทำไม่ได้หรอกค่ะ แต่ซีซีสามารถบอกลุงหม่าให้ทำตามได้ ไม่ยากและทำไม่นานค่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?