ช่วงบ่ายสองแม่ลูกเดินทางเข้ามาทำงานที่ร้านฟางเจียนเว่ยเหมือนกับทุกวัน เพียงแต่วันนี้ไม่ปกติตรงที่หลี่เยว่หรานกับมู่ซีได้นำแป้งผักทอดที่ทำกันตอนเช้ามาให้พนักงานในร้านได้ชิมดู ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันอร่อย
“นี่ไม่ใช่ฝีมือยัยหนูซีซีคนเก่งของพวกเราอีกหรอกนะ” พ่อครัวหม่าเอ่ยขึ้นหลังจากชิมแป้งผักทอดไปคำแรก
“พี่หม่าพูดไม่ผิดค่ะ เป็นฝีมือของซีซีจริงๆ” หลี่เยว่หรานยิ้มรับด้วยอิ่มเอม ลูกสาวของเธอมีความสามารถทั้งที่มีอายุเพียงเท่านี้
“คงไม่ได้ทำเพื่อเอามาให้ทดลองชิมเฉยๆ หรอกใช่ไหม” พ่อครัวหม่ากัดแป้งผักทอดอีกคำแล้วถามอีกรอบ
“ซีซีคิดอยากจะทำอาหารเช้ามาขายศูนย์อาหารในโรงงานค่ะก็เลยลองทำดู จึงเอามาถามทุกคนว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พอจะทำขายได้ไหม” หลี่เยว่หรานเป็นคนตอบคำถามนี้
พ่อครัวหม่าพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดีนะ แต่ว่าเท่าที่พี่รู้มาไม่มีใครขายอาหารเช้าก็ไม่เพราะว่ามาตั้งร้านไม่ทันหรอกเหรอ”
“ใช่ค่ะ พวกเราสองคนคิดมาตลอดว่าถ้าไม่พักในเมืองก็คงเปิดร้านไม่ได้ เพราะกว่าจะนั่งรถเข้าเมืองกว่าจะทำอาหารออกมา มันก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย” หลี่เยว่หรานถอนหายใจออกมาเบา ๆ เนื่องจากพวกเธอรู้วิธีการหาเงินแล้ว แต่ก็มีอุปสรรคบางอย่างอยู่
“นอกจากจะมาหาบ้านเช่าในเมืองก็พอจะเป็นไปได้อยู่” ตู้เทียนหยู ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานดูแลข้างนอกที่ไม่มีลูกค้าเดินเข้ามาในห้องครัว ลองหยิบแป้งผักทอดขึ้นมาชิม ออกความเห็น
“แต่ว่าบ้านเช่าในเมืองก็แพงมาก แพงเกือบเท่าเงินเดือนของพี่ทั้งเดือนเลย คงไม่ไหว” หลี่เยว่หรานบอก
“ว่าแต่ช่วงนี้ร้านของเราก็ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ เลย ยัยหนูซีซีมีรายการอาหารอะไรที่พอจะเอามาขายที่ร้านได้ไหม” เถ้าแก่หนงหลังจากที่ได้ชิมแป้งผักทอดแล้วเกิดมีความคิดดีๆ ขึ้น จึงได้เอ่ยปากถามเด็กหญิง
“เถ้าแก่หนงแน่นอนว่าซีซีย่อมมีรายการอาหารค่ะ แต่ว่าเถ้าแก่คงไม่ได้ให้ซีซีบอกสูตรอาหารเปล่า ๆ หรอกใช่ไหมคะ” มู่ซีเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อุบ๊ะ นังหนูซีซี อยากได้อะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนล่ะ ถ้ารายการอาหารมันอร่อยจริง เถ้าแก่หนงคนนี้ย่อมยินดีเป็นอย่างมาก”
“เถ้าแก่หนงจำไม่ได้เหรอคะว่ารายการอาหารเกือบสิบรายการที่เราทำให้คุณชายน้อยนั่น เราเพียงทำออกมาขาย มันเหมาะกับลูกค้าที่มากินเป็นแบบครอบครัว ผู้ใหญ่ก็กินตามปกติ เด็กก็กินของเด็ก”
มู่ซียิ้มร้าย แต่ในสายตาคนอื่นกลับมองเธออย่างเอ็นดู “คิดว่าแบบนี้ก็เรียกลูกค้าได้แล้ว แต่ว่ามันเป็นความคิดซีซี ซีซีขอส่วนแบ่งรายได้จากการขายจานละ 1 เหมา ก็พอค่ะ เถ้าแก่หนงจ่ายเงินตรงนี้ให้กับแม่ของซีซีทุกสิ้นเดือนพร้อมเงินเดือนของแม่เลยค่ะ”
“ส่วนรายการอาหารสำหรับผู้ใหญ่รายการใหม่นั้น ซีซีคิดว่าพอมีนะคะ มันเรียกว่าผัดมะเขือม่วงค่ะ แต่อาหารจานนี้เป็นอาหารจานหลัก ราคาแพงกว่าของเด็กขอ 1.5 เหมาค่ะ เพราะรายการอาหารประเภทผักของร้านราคาประมาณ 3 หยวนแล้ว ”
“นังหนูซีซี ฉันว่าผัดมะเขือม่วงบ้านไหนก็ทำกินกัน ใครจะมาซื้อที่ร้าน ของบ้าน ๆ แบบนั้น” เถ้าแก่หนงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“แต่ว่าผัดมะเขือม่วงของซีซีมันไม่เหมือนกับของคนอื่นนะคะ”
“ไม่เหมือนอย่างไรหรือ” พ่อครัวหม่าเช็ดมือให้สะอาดแล้วหันมาถาม
“คนอื่นทำมะเขือม่วงผัดเนื้อสับใช่ไหมคะ แต่ว่าผัดมะเขือม่วงของเรานั้นแตกต่างออกไป ขั้นตอนก็คล้ายกัน แต่ว่ามีแตกต่างกันนิดหน่อย การทำมะเขือม่วงไม่ให้มีสีคล้ำ ลุงหม่าคงรู้อยู่แล้ว เราก็แค่หั่นเป็นเส้นทางยาวเล็ก ๆ แล้วนำแช่น้ำเกลือไว้ก่อน วิธีการทำก็ไม่ได้ยากแค่ตั้งกระทะเจียวกระเทียมให้เหลืองหอม นำมะเขือม่วงลงไปผัดใช้ไฟแรงได้เลยตอนนี้ แล้วจึงเติมพริกหวานสีเขียว สีแดง ลงไป ปรุงรสตามปกติ รายการอาหารชนิดนี้เราไม่ใส่เนื้อสัตว์ค่ะ เราเน้นที่มะเขือม่วงผัดซอสกระเทียม”
“ฟังดูแล้วไม่น่าจะทำยาก” พ่อครัวหม่าพยักหน้า เขาทำงานในครัวมานานหลายปี วิธีการทำอาหารต่าง ๆ เขาย่อมต้องรู้
“ลุงหม่าลองทำดูเลยค่ะจะได้ไม่เสียเวลา”
“ดีเลย ถ้าวันนี้มีคนสั่งมะเขือม่วงผัดฉันจะไปบอกเสี่ยวชิงกับเทียนหยูเอาไว้ แต่ทำไมถึงไม่ใส่เนื้อสัตว์ล่ะ มันจะขายได้เหรอ” เถ้าแก่หนงพยักหน้าและถามด้วยความสงสัย ก่อนหันไปบอกเทียนหยูที่ยืนอยู่ด้วยในวงสนทนาเทียนหยูก็ออกปากรับคำจะบอกเสี่ยวชิงให้อีกทีด้วย
“เพราะว่าเนื้อสัตว์มันอร่อยก็จริง แต่บางทีก็ทำให้ท้องอืด ลูกค้าบางคนไม่กินเนื้อ ซอสกระเทียมจะช่วยดึงและกลบกลิ่นมะเขือม่วง ทำให้มันอร่อยได้โดยไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์แถมมีสีสันสวยงาม จะขายได้ไหมซีซีก็ไม่รู้ค่ะ แต่ว่าอย่าลืมข้อตกลง หากขายได้ซีซีต้องได้จานละ 1.5 เหมา”
“เจ้าเด็กขี้งก ขอให้ลูกค้าชอบก่อนเถอะ” เถ้าแก่หนงยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากของมู่ซีเบา ๆ
เขาต้องยอมรับว่าตั้งแต่รู้จักเด็กหญิงมาไม่ถึงห้าวัน ร้านของเขาก็รอดพ้นจากวิกฤตมาหลายครั้ง ทั้งยังได้ความคิดในการเปลี่ยนรายการอาหารอีกด้วย และเขาเชื่อว่าความรู้ของเด็กน้อยตรงหน้าต้องมีมากกว่านี้แน่
แต่เถ้าแก่หนงก็ยังไม่วางใจในรายการผัดมะเขือม่วงซอสกระเทียม ใครจะไม่ชอบเนื้อสัตว์ เพียงแค่เปลี่ยนวัตถุดิบนิดหน่อย มันจะอร่อยต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทำงานแล้ว หลี่เยว่หรานเข้าไปทำงานในครัว มู่ซีไปนั่งเล่นที่ประจำของตน ในหัวครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะสามารถขายอาหารเช้าในศูนย์อาหารของโรงงานไปด้วย แต่ก็จนหนทางเพราะเธอไม่มีคนรู้จัก
ส่วนลุงใหญ่ ลุงรอง มู่ซีไม่หวังพึ่งพาอยู่แล้ว ต่อให้ไปขอให้ช่วยอีกฝ่ายก็ปฏิเสธ หรือบางทีอาจหาให้แต่พอร้านมีรายรับก็จะเข้ามาขอเงิน
ลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ยุ่งมาก เท่าที่มู่ซีนั่งดูลูกค้าของร้านอาหารฟางเจียนเว่ย ส่วนมากจะเป็นลูกค้าระดับกลาง ส่วนคุณนายตงเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าคุณนายตงพาหลานชายไปมาหมดทุกร้านอาหารแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าโดยปกติแล้วระดับคุณนายตงคงไม่มานั่งกินอาหารที่ร้านฟางเจียนเว่ยเป็นแน่
คุณนายตง ใช่แล้ว! ทำไมเธอคิดไม่ถึงว่าคุณนายตงติดสัญญาเธอไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าเธอไปเสนอพันธกิจการค้าบางทีคุณนายตงอาจจะสนใจก็ได้ แต่ว่าคนระดับนั้นเขาคงไม่มาทำงานชั้นแรงงานแบบนี้
“เฮ้อ!” มู่ซีถอนหายใจออกมาเสียงเบาเมื่อคิดว่าตนเองหาทางออกได้แล้ว แต่ก็กลับเป็นว่าใช้ไม่ได้
ระหว่างที่ความคิดในหัวตีกันวุ่นวายไปหมด สายตาน้อย ๆ ก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนประมาณห้าคน เดินเข้ามานั่งโต๊ะตรงหน้าของเธอ รอบนี้ทำให้มู่ซีถึงกับต้องสะบัดหัวออกจากความคิดฟุ่งซ่านแล้วจดจ่ออยู่กับบทสนทนาของคนทั้งห้าแทน
เสี่ยวชิงกำลังจะนำแผ่นรายการอาหารส่งให้ลูกค้า กลับถูกลูกค้าที่นั่งหัวโต๊ะโบกมือปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยสั่งอาหารทันทีโดยไม่ดูรายการอาหารด้วยซ้ำ
“วันนี้เอาอาหารจานผัก 1 เนื้อ 2 ข้าวเปล่า 5 ขอน้ำด้วยนะ เท่านี้แหละ”
ร้านอาหารทั่วไปจะมีเพียงน้ำชาให้ลูกค้าล้างปากเท่านั้น หากลูกค้าอยากดื่มต้องสอบถามกับทางพนักงานเอา และร้านอาหารฟางเจียนเว่ยมีน้ำดื่มเตรียมพร้อมเสมอ
“โปรดรอสักครู่ค่ะ” เสี่ยวชิงจดคำสั่งซื้อแล้วเดินเข้าไปในครัวเพื่อสั่งอาหารให้ลูกค้า
บทสนทนาคนทั้งห้าจึงเริ่มต้นขึ้น “พี่ซูอี้ เราต้องรีบแล้วนะครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราแย่แน่” เฉาอวี่ปิน คนที่นั่งทางฝั่งขวาของเป้าซูอี้เอ่ยเปิดประเด็นการสนทนา
“พี่รู้ แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อบทละครดี ๆ ถูกที่อื่นเอาไปแล้ว เหลือแต่อะไรไม่รู้ต่อให้เราเอามาทำละคร คงไม่มีใครสนใจฟังหรอก ใครมันจะไปฟังเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ได้ตั้งหลายปี” เป้าซูอี้ หัวหน้ากลุ่มนักพากย์บทละครวิทยุเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลไปอีกคน
“หรือว่าเราจะไปขอซื้อบทละครวิทยุ ของอาจารย์เหอ มาเล่นดีครับพี่” อู๋กัง นักพากย์ชายอายุน้อยที่สุดของกลุ่มแสดงความเห็น
แต่พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกเฉาอวี่ปินตบหลังไปหนึ่งที“อากัง นายลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนแต่ก่อน ระดับบทละครของอาจารย์เหอต้องจ่ายเงินไปมากเท่าไรถึงจะได้มันมา”
“โธ่ พี่อวี่ปินผมก็แค่เสนอความเห็น ไม่น่าต้องทำร้ายกันขนาดนี้” อู๋กังบ่นอุบอิบ
“พอ ๆ ทั้งสองคนนั่นแหละ ในเมื่อระดับอาจารย์เหอพวกเราทำไม่ได้ แล้วระดับนักเขียนที่รองลงมาล่ะ” หูเหว่ย เป็นนักพากย์ชายอีกคน อายุประมาณ 30 ปี เอ่ยขึ้นมาบ้าง
“พี่เหว่ย ต่อให้เป็นระดับรองลงมา พวกเราก็ไม่ทันคนอื่นอยู่ดี” ปินเสี่ยวจวน นักพากย์หญิงของกลุ่มเอ่ยค้านให้ทุกคนได้หดหู่ใจ
“ไอ้นั่นไม่ได้ ไอ้นี่ไม่ดี แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นจะถึงการประเมินงานแล้ว ถ้าเรายังไม่มีบทละครดีๆไปเสนอ งานนี้หัวหน้าเอาพวกเราตายแน่” อู๋กังบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แล้วนายจะบ่นไปทำไม” เฉาอวี่ปิ่นตบหลังอู๋กังอีกครั้ง
“พี่อวี่ปิน ผมเจ็บนะตบอยู่ได้” อู๋กังเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเป็นคนที่อายุน้อยสุดในกลุ่มทำให้ถูกแกล้งบ่อยที่สุด เดือนร้อนให้เป้าซูอี้ต้องห้ามเอาไว้
“พอแล้ว ทุกคนก็เครียดเหมือนกันหมดนั่นแหละ ดื่มชา ดื่มน้ำกันก่อน จะได้ใจเย็นลง อวี่ปินนายก็เพลาๆ แกล้งอากังน้อยลงหน่อยเถอะ” เป้าซูอี้ว่าแล้วก็รินน้ำชาบนโต๊ะให้ทุกคน
ทว่ามือที่กำลังจะยกจอกชาขึ้นดื่ม ก็ต้องเกือบปล่อยจอกชาหลุดมือ เพราะหางตาของเธอดันเหลือบไปเห็นอะไรแว็บ ๆ อยู่ทางขวามือของเธอเสียก่อน
“ขอโทษค่ะ ซีซีขอโทษที่เสียมารยาทแอบฟัง แต่ว่าปัญหาของลุงของป้า ซีซีคนนี้สามารถช่วยได้แน่นอนค่ะ” มู่ซีเดินมาหยุดข้างเป้าซูอี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้คนทั้งกลุ่มที่มองมา
เพราะเสียงเด็กที่น่าจะยังไม่ถึงสิบขวบทำให้ทุกคนหันมามอง และเป็นไปตามที่ทุกคนคิด เด็กผู้หญิงอายุประมาณเจ็ดขวบกำลังเอ่ยพูดกับพวกเขา
“ช่วยอย่างไรหรือ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?