เช้าวันรุ่งขึ้นเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินรีบเข้าไปที่สถานีฮวนเล่อจือเซิง เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับหนานกงเว่ยฟัง พร้อมกับนำเสนอเรื่องใหม่ที่เป็นบทละครสั้นแทนเรื่องจันทราซ่อนเงา หนทางแก้ไขที่ได้รับฟังมา ทำให้หนานกงเว่ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดว่าเด็กอายุแค่เจ็ดขวบจะสามารถช่วยพวกเขาได้ดีขนาดนี้
“ผมต้องการให้คุณทั้งสองไปจับคนทรยศให้ได้ เพราะผมไม่ต้องการให้กลุ่มของพวกเรามีพวกทรยศ ไม่ว่าจะทำแบบไหนต้องจับตัวมาให้ได้ พวกคุณสงสัยใครเป็นพิเศษไหม” หนานกงเว่ยถามเสียงเครียด
“ตอบหัวหน้าตามจริง ผมนึกไม่ออกเลยว่าใครจะทำแบบนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน” เฉาอวี่ปินตอบด้วยน้ำเสียงที่เครียดไม่ต่างกัน
“แล้วคุณล่ะ ซูอี้”
“ฉันก็คิดไม่ตกเหมือนกันค่ะ ว่าใครมันเป็นคนทรยศ” เป้าซูอี้จนปัญญาแล้วจริง ๆ เป็นไปได้ใครจะอยากให้คนในกลุ่มทรยศ
“คุณบอกว่ายัยหนูซีซีมีความคิดที่จะทำให้ละครเรื่องนี้เป็นที่รู้จักใช่ไหม วิธีอะไร” เมื่อไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับคนทรยศได้ หนานกงเว่ยจึงได้วนกลับมาเรื่องบทละครวิทยุเรื่องใหม่
“ใช่ค่ะ ยัยหนูซีซีไม่บอก ฉันคิดว่าคงกลัวว่าคนทรยศจะรู้ตัวหรือไหวตัวทันเสียก่อน แต่ถ้าหัวหน้าต้องการทราบรายละเอียด ให้ฉันไปตามยัยหนูซีซีมาพบหัวหน้าดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไร เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่บอกว่าเป็นเด็กที่ไม่ธรรมดา ในเมื่อยัยหนูซีซีบอกให้รอ พวกเราก็รอต่อไป ตอนนี้ผมอนุมัติเรื่องใหม่ พวกคุณไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าลืมว่ามีเวลาแค่เจ็ดวัน ผมขอบทละครที่สมบูรณ์ในวันที่ห้า ส่วนเรื่องการแข่งขันผมก็เสียดาย แต่ไม่เป็นไร ปีหน้าพวกเราจะลงสนามแข่งอีกครั้งหนึ่ง” หนานกงถอนหายใจหลังบอกแผนงานใหม่ของทีม
ทางด้านคนที่กำลังถูกเอ่ยถึงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย วันนี้มู่ซีขอหลี่เยว่หรานออกมาเดินสำรวจในเมือง โดยอ้างว่าเธอต้องการรู้เรื่องแผนผังเมืองให้ได้มากที่สุด เพื่อออกไปสำรวจตลาดเรื่องแนวทางการขาย พอยายหลี่กับมู่เซียนย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านในเมืองอย่างถาวร จะได้เริ่มลงมือทำการค้าทันที ซึ่งมันก็เหลือเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์แล้ว
ตอนแรกหลี่เยว่หรานไม่อนุญาต แต่ก็ทนเสียงอ้อนของมู่ซีไม่ได้ โดยที่เด็กหญิงสัญญาว่าไม่มีอันตรายแน่นอน เธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว สุดท้ายหลี่เยว่หรานจึงต้องยอม
สาเหตุนี้จึงทำให้มู่ซีกำลังยืนอยู่หน้าตลาดสินค้ารวม ด้วยเมืองเวยฟางเป็นเมืองขนาดกลาง ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าเหมือนเมืองใหญ่ ตลาดสินค้ารวมจึงเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าอย่างดี
มู่ซีอยากมาดูว่าในตลาดนี้มีสินค้าอะไรขายบ้าง เธอเดินไม่ได้ขึ้นรถโดยสาร ด้วยว่าบ้านกับตลาด โรงเรียน ร้านอาหารฟางเจียนเว่ยกับสำนักงานนักพากย์ ล้วนอยู่บริเวณเดียวกัน มู่ซีสามารถเดินไปจากที่บ้านได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ใช้เวลาน้อยกว่านั้น แต่เพราะเธอยังเป็นเด็ก ขาก็สั้น จึงใช้เวลาไปมากหน่อย
ระหว่างที่ด้อมๆมองๆอยู่ตรงร้านขายผัก ด้วยตัวเล็ก แผงผักอยู่สูงพอสมควรทำให้มู่ซีต้องชะเง้อคอมอง ตรงหน้ายังมีคนอยู่สองสามคนที่กำลังเลือกซื้อผักอยู่ก่อนหน้าแล้ว บทสนทนาของทั้งสามคนทำให้มู่ซีถึงกับเอียงศีรษะฟัง
“คุณนายคะ พวกเราจะทำอาหารอะไรดีที่จะเอาไปต้อนรับภรรยาของท่านนายพลหยวน” เสี่ยวหมี่ สาวใช้ส่วนตัวของคุณนายกู้เอ่ยถามคุณนายของตนเองด้วยความหนักใจ
ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณนายกู้เป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างสมสัดส่วน ถือว่างดงามระดับหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดกี่เพ้าหรูหราสีน้ำเงินเข้ม ยังมีหญิงวัยสาวอายุไม่เกินสามสิบปียืนอยู่ข้างกายด้วย
“นั่นสิพี่เสี่ยวหมี่ คนอะไรแพ้อาหารไปทุกอย่าง ไอ้นั่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็แพ้ แม้แต่ผักกาดขาวก็แพ้” เสี่ยวจู สาวใช้รุ่นน้องบ่นเสียงดัง แต่พอหันไปสบตากับคุณนายกู้ก็รีบปิดปากเงียบทันที
“เสี่ยวหมี่ เสี่ยวจู ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่านินทาแขก”
“ขอโทษค่ะคุณนาย ว่าแต่พวกเราจะทำอาหารอะไรดีคะ หากพวกเราต้อนรับภรรยาของท่านนายพลหยวนไม่ดี นายท่านต้องเดือนร้อนแน่ค่ะ” เสี่ยวหมี่ทำหน้าสำนึกผิด
“ยังดีนะพี่เสี่ยวหมี่ ที่ภรรยาท่านนายพลมาแค่วันเดียว ถ้ามาอยู่หลายวันพวกเราแย่แน่”
“เสี่ยวจู ใช่ มันแย่แน่ ยังไม่ต้องไปคิดเรื่องอยู่หลายวันเลย เอาวันเดียวให้รอดก่อนเถอะ ท่านนายพลก็รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาตัวเองกินยาก ก็ยังจะพาไปโน้นไปนี้ ไม่เห็นใจเจ้าบ้านเลย”
“เสี่ยวหมี่ ครั้งที่สองแล้วนะ” คุณนายกู้เมื่อได้ยินเสียงบ่นของสาวใช้ก็เอ่ยปรามออกไป ทั้งที่ลึกๆแล้วตนเองก็เห็นด้วยกับคำของสาวใช้ตนเอง
“ขอโทษค่ะ ฉันจะไม่นินทาแล้ว”
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจสามเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ทั้งสามหันมามองหน้ากันและต่างหันหน้าหนีกันไปอย่างรวดเร็ว
มู่ซีนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนสะกิดด้านหลังของคนที่เป็นคุณนายกู้
หญิงวัยกลางคนเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมาสะกิดด้านหลังจึงได้หันหลังกลับไปมอง เมื่อเป็นว่าเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่ก็สะอาดสะอ้าน จึงได้เอ่ยปากถาม
“เธออยากคุยกับฉันหรือ”
"ซีซีต้องขอโทษที่เสียมารยาทแอบฟังพวกคุณป้ากับพี่สาวสนทนากันค่ะ แต่ซีซีคิดว่าซีซีอาจช่วยทุกคนได้" มู่ซีเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ เผยรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่มู่ซีคิดว่าอ่อนหวานที่สุดในยามนี้
“ช่วยฉันเหรอจ๊ะ”
มู่ซียิ้มเมื่ออีกฝ่ายถามต่อ “พวกคุณป้ากำลังคิดรายการอาหารที่จะทำขึ้นเพื่อต้อนรับแขก ซึ่งแขกคนนี้เป็นคนที่แพ้อาหารง่าย เรื่องมาก ซีซีขอโทษที่พูดตรง ๆ แต่คุณป้าก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสร้างความประทับใจให้กับแขกคนนี้ใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว เธอจะช่วยฉันได้อย่างไรล่ะ” คุณนายกู้เห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้ากล้าหาญเกินเด็กทั่วไป จึงให้ความสนใจกับอีกฝ่าย
“ซีซีถามได้ไหมคะ ว่าภรรยาของท่านนายพลที่เป็นแขก เป็นคนในประเทศเราหรือว่าเป็นคนต่างชาติคะ เขาอายุเท่าไร”
“เป็นผู้หญิงประเทศของเรา เธอมีอายุไม่เกินสี่สิบปี เป็นคนรักสวยรักงาม และที่สำคัญเป็นภรรยาที่ท่านนายพลหยวนรักมาก สามีของฉันจึงต้องการสร้างความประทับใจให้กับภรรยาของท่านนายพลน่ะ” คุณนายกู้หนักใจเรื่องนี้มาก
หากไม่แพ้อาหารยังพอมีวิธีอื่น ๆ แต่หากซื้อข้างนอกเข้าไปในบ้านแล้วเกิดอะไรขึ้นมา สุดท้ายคุณนายกู้ก็ต้องเป็นคนดูแลเรื่องนี้
“ไม่ยากเลยค่ะ ทำไมเราไม่ทำรายการอาหารที่เป็นของต่างชาติแต่ก็ไม่ใช่ต่างชาติเสียทีเดียว ที่สำคัญอาหารนี้ยังช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ทำให้ไม่อ้วน เหมาะกับแขกของคุณป้าที่สุดเลยค่ะ”
“อาหารต่างชาติ แต่ก็ไม่ใช่ต่างชาติเสียทีเดียว มันเป็นแบบไหนหรือ” คุณนายกู้เอ่ยถามด้วยความสงสัยในคำอธิบาย
“ในตอนที่เลี้ยงรับรอง คงเป็นการเลี้ยงรับรองแบบส่วนตัว ที่มีเพียงครอบครัวของคุณป้ากับแขก ซึ่งก็คงมีแค่สองคนคือท่านนายพลกับภรรยา ท่านนายพลคงมีอายุบ้างแล้ว อาหารของท่านก็ควรจะเป็นอะไรที่ย่อยง่าย ปลาเป็นอะไรที่เหมาะสมค่ะ”
“โธ่เอ้ย อาหารที่ทำจากปลา พวกเราก็รู้จักกันหมด มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนะเด็กน้อย” เสี่ยวหมี่ที่ได้ฟังมู่ซีเฉลยรายการอาหารแนะนำถึงกลับร้องออกมาด้วยความเสียใจ
“แต่รายการปลาของซีซีมันเรียกว่าสเต๊กราดซอสโหระพา ทำง่าย ใช้วัตถุดิบน้อย ถ้ากินตอนร้อน ๆ อร่อยมากค่ะ หลังจากที่กินสเต๊กแล้วควรมีผลไม้หวานอมเปรี้ยวไว้ให้ล้างปาก แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“สเต๊กปลาเหรอ ฟังดูแล้วน่ากิน” คุณนายกู้เอ่ยออกมา ทำให้สองสาวใช้รีบเอ่ยดักทาง
“คุณนายคะ เด็กตัวแค่นี้จะทำได้จริงหรือเปล่า ไว้ใจได้แน่หรือคะ” เสี่ยวหมี่สะกิดเจ้านายตนเอง
“แล้วหล่อนมีรายการอาหารที่คิดว่าจะทำได้ไหมล่ะ”
เสี่ยวหมี่ เสี่ยวจู พร้อมกันส่ายหน้าจนผมเปียที่ถักไว้กระจายไปทั้งสองข้าง
“ยัยหนูไปรู้วิธีทำอาหารแบบนี้มาจากไหน”
“แม่ของซีซีเป็นผู้ช่วยพ่อครัวอยู่ที่ร้านฟางเจียนเว่ยค่ะ หลายวันก่อนซีซีก็ไปสอนคนครัวที่บ้านคุณนายตงเป็นรายการอาหารให้คุณชายน้อยค่ะ” มู่ซีตอบ
“โอ้ ร้านอาหารฟางเจียนเว่ย ฉันรู้จัก เป็นเธอเองเหรอ คุณนายตงเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง จุดไต้ตำตอเสียจริง” คุณนายกู้อุทานออกมาด้วยความยินดี
เนื่องจากเธอรู้เรื่องหลานชายของเพื่อนสนิทที่กินอาหารยาก ถ้าเด็กน้อยตรงหน้าสามารถแก้ปัญหาหลานชายเพื่อนได้ ดังนั้นคุณนายกู้จึงไม่รีรอที่จะเชื่อมู่ซีอย่างไร้ข้อกังขา
“ใช่ค่ะ ถ้าคุณนายไม่เชื่อสามารถไปถามคุณนายตงได้ ฉันมู่ซีค่ะ หรือซีซี”
“เอาล่ะ ฉันเชื่อคำแนะนำของเธอ พวกเรารีบไปซื้อวัตถุดิบกันเถอะ มู่ซีเธอไปสอนพ่อครัวที่บ้านฉันทำหน่อยได้ไหม แขกจะมาตอนหนึ่งทุ่มตอนนี้เพิ่งเก้าโมงเช้า คิดว่าพ่อครัวฉันคงมีเวลาเรียน ต้องการใช้อะไรบ้าง เลือกได้เลย ฉันไม่เกี่ยงเรื่องราคา” คุณนายกู้ออกปากอย่างใจป้ำ
มู่ซีได้ยินเธอยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะพาทั้งสามคนเดินไปซื้อของตามที่เธอคิดว่าต้องใช้ ในบางครั้งก็หันมาถามว่าที่บ้านมีวัตถุดิบอันนี้ไหม คุณนายกู้ไม่แน่ใจจึงให้ซื้อไปทั้งหมด
หลังจากที่ซื้อของเสร็จแล้ว มู่ซีก็ตามคุณนายกู้กลับคฤหาสน์ตระกูลกู้ ระหว่างที่กำลังจะลงมือสอนพ่อครัวของบ้านกู้ก็ต้องหันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคน
“คุณแม่ ทำอะไรอยู่ครับ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?