ตอนที่ 12 ไม่ได้ดั่งใจ 

 

รุ่งเช้าวันใหม่มาเยือน เสียงไก่ขันดังก้องไปทั่วทั้งหมู่บ้านหลงเฉิง ปลุกให้ชาวบ้านตื่นขึ้นมาเริ่มต้นวันใหม่ ควันจากปล่องไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามอย่างช้าๆ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของกิจวัตรประจำวันในทุกครัวเรือน

แต่ในบ้านมู่ เช้านี้กลับไม่เหมือนทุกวัน เสียงทะเลาะเบาะแว้งดังลั่นออกมาจากห้องครัว ทำให้บรรยากาศยามเช้าที่ควรจะสงบสุขกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อสะใภ้ใหญ่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับสะใภ้รองที่กำลังตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว 

"แม่ ฉันไม่ไหวแล้วนะ" เสียงของโม่ซิน สะใภ้ใหญ่ของบ้านมู่ดังขึ้นอย่างโมโห "สะใภ้รองแค่ท้องไม่ได้ป่วยหนัก ตอนที่ฉันท้องมู่กวง ฉันก็ต้องทำงานบ้านเหมือนกัน ไหนจะงานนอกบ้านอีก"

โม่ซินยืนกอดอกอยู่หน้าเตาไฟ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอจ้องมองไปยังสะใภ้รองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือกำลังแกะเมล็ดแตงโมใส่ปากอย่างสบายอารมณ์

ตั้งแต่เด็กสองคนบ้านสามออกจากบ้านมู่ไป งานทุกอย่างก็ตกมาเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะงานในบ้านหรืองานในแปลงนา แต่สะใภ้รองกลับได้อยู่บ้านเฉยๆ โดยอ้างว่าท้อง ความไม่พอใจสะสมมานานหลายสัปดาห์ จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาในเช้าวันนี้

“สะใภ้ใหญ่ ทนหน่อยไม่ได้เหรอ ตอนนี้ฉันท้องอยู่นะ ถ้าเกิดว่าลูกชายของฉันเป็นอะไรไป แบบนี้พ่อกับแม่ฉันคงไม่ยินดีแน่ๆ”

คำพูดของสะใภ้รองยิ่งทำให้โม่ซินโมโหหนักขึ้น เธอรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ ทั้งที่เธอเองก็เคยตั้งท้องและทำงานหนักมาก่อน แต่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้

 ย่ามู่เห็นสองสะใภ้เริ่มทะเลาะกันก็เลยต้องปรามเสียงดัง นางไม่อยากให้พ่อแม่ของสะใภ้รองไม่พอใจ ด้วยพ่อของสะใภ้รองตอนนี้กำลังจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกในโรงงาน ต่อไปอาจจะช่วยผลักดันมู่เทียนลูกชายคนรองของนางให้ก้าวหน้าตามไปด้วย ย่ามู่จึงยกมือขึ้นห้าม 

“เอาน่า สะใภ้ใหญ่ทนหน่อย พอสะใภ้รองคลอดลูกหล่อนก็ต้องกลับไปทำงาน” 

"แม่ทำไมพูดแบบนี้" โม่ซินตะโกนออกมาด้วยความโมโห "ไม่รู้ล่ะทุกคนต้องช่วยกัน ฉันทำงานในไร่แล้ว สะใภ้รองต้องทำงานที่บ้าน ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องมีใครได้กินข้าวกัน"

พูดจบโม่ซินก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องครัวไปอย่างโกรธจัด เสียงฝีเท้าของเธอดังกระทืบพื้นไม้เก่าๆ อย่างแรง ทิ้งให้ย่ามู่และสะใภ้รองยืนมองตามด้วยสีหน้าตกใจ

เสียงทะเลาะเบาะแว้งที่ดังไปทั่วบ้านทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านตื่นขึ้นมา มู่เทียน มู่ซือ และเด็กๆ อีกสามคนเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้างุนงง พวกเขามองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

"แม่ เมียผมเป็นอะไร" มู่ซือถามแม่ของเขาอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นภรรยาของตนโมโหขนาดนี้มาก่อน ปกติแล้วแม่ของเขามักจะตามใจภรรยาของเขาเสมอ "ทำไมถึงได้ทะเลาะกันขนาดนี้"

ย่ามู่ถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปตอบลูกชายคนโต "อาซือ ปรามเมียแกบ้าง" นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า "สะใภ้รองเพิ่งตั้งท้อง แม่ไม่อยากให้ทำงานหนัก"

มู่ซือมองหน้าแม่ของตนด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้เข้าข้างภรรยาของน้องชายมากขนาดนี้ ทั้งที่ปกติแล้วแม่มักจะเอาใจใส่ภรรยาของเขามากกว่า

ย่ามู่เดินหายเข้าไปในครัว ลงมือทำอาหารด้วยตนเองทั้งที่เมื่อก่อนตอนหลานสาวจากบ้านสามยังอยู่ นางไม่เคยต้องลำบากขนาดนี้

เสียงทะเลาะเบาะแว้งในบ้านมู่เงียบลงแล้ว แต่ความตึงเครียดยังคงอยู่ในอากาศ ย่ามู่ยืนอยู่ในครัว มือสั่นเทาขณะจับมีดหั่นผัก ความคิดของนางวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

หากสะใภ้ใหญ่ไม่ยอมทำงานบ้าน ภาระทั้งหมดก็จะตกมาอยู่ที่นาง ย่ามู่รู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือก เพราะยังต้องการเอาใจพ่อของสะใภ้รอง หวังว่าจะช่วยผลักดันอนาคตของมู่เทียน ลูกชายคนรอง

"โมโห มันน่าโมโห" ย่ามู่พึมพำ พลางฟาดมีดลงบนเขียงอย่างแรง ความโกรธและความขมขื่นผุดขึ้นในใจ นางนึกด่าทอสองพี่น้องลูกบ้านสามอย่างเกลียดชัง ทั้งที่พวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

 จะให้เหล่าหลานๆ มาช่วยงานก็คิดว่ายังเด็กเกินไป โดยที่ไม่ได้นึกเลยว่าสองพี่น้องมู่ซีกับมู่เซียนก็อายุพอกับหลานคนอื่น ที่สำคัญมู่ซียังอายุน้อยแต่ทำงานได้หลายอย่างแล้ว 

เสียงกระทะและหม้อดังกังวานไปทั่วครัว แต่ไม่มีใครมาช่วยย่ามู่เลย นางต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดเริ่มปรากฏบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นของนาง

ย่ามู่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ขณะที่นางมองออกไปนอกหน้าต่างครัว เห็นท้องฟ้าสดใสของวันใหม่ แต่ในใจของนางกลับมืดมนด้วยความโมโหให้กับหลานสาวบ้านสาม และความเศร้าที่คนในครอบครัวไม่มีใครมาช่วยเลย ทั้งที่ตนก็แก่มากแล้ว

แต่จะโทษใครได้!

 

ด้วยเถ้าแก่หนงต้องการประชุมเกี่ยวกับการประมูลรายการทำอาหารของกองทัพ บ้านหลี่จึงได้เข้ามาทำงานในเวลาตอนเช้า อีกอย่างมู่ซีก็มีนัดกับทางคณะนักพากย์ด้วย เช้านี้ก็เป็นอีกวันที่มู่ซีเดินผ่านศูนย์อาหารของโรงงาน ได้แต่มองตามตาละห้อย เพราะเธออยากมาขายอาหารเช้าที่โรงงานี้จริงๆ  

“เร่งเดินเถอะซีซี ตอนนี้เรายังไม่มีเงินมากพอที่จะมาเช่าบ้านในเมืองได้” หลี่เยว่หรานพูดปลอบใจลูกสาวคนเล็ก ต่อให้มีเงินพอเช่าแล้วยังต้องสำรองค่าใช้จ่ายอีกมาก 

มู่ซีพยักหน้ารับแล้วเร่งฝีเท้าตามแม่บุญธรรมของตนเองไป พอมาถึงร้านฟางเจียนเว่ยทุกคนก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หลี่เยว่หรานจึงเอ่ยขอโทษแล้วนั่งลงประชุมกันทันที โดยมีมู่ซีนั่งอยู่ด้วย 

เถ้าแก่หนงเล่าถึงข้อความในเอกสารอีกครั้งให้กับลูกน้องทั้งสี่คนฟัง เมื่อเล่าจบทุกคนต่างมีท่าทีตื่นเต้นกันอย่างมาก ร้านอาหารใดบ้างทีเข้าร่วมงานนี้แล้วจะไม่มีชื่อเสียง 

“เถ้าแก่ แต่ว่ามันจะดีแน่เหรอที่ร้านของพวกเราจะเข้าร่วมประมูล” พ่อครัวจินเอ่ยถามด้วยความกังวล อย่างที่รู้กันว่าร้านอาหารมีพ่อครัวสองคน และพนักงานอีกไม่กี่คน 

“อาเหมา ทำไมถึงคิดว่าไม่ดี” เนียนหวงผู้ช่วยจินเหมาเป็นคนตั้งข้อสงสัย 

“เพราะว่าทุกปีร้านใหญ่สองร้านนั้นก็ครองตำแหน่งมาตลอด พวกเราต่างเคยได้ยินกันหมดเพื่อต้องการให้เป็นผู้ชนะ ร้านใหญ่พวกนั้นทำอะไรไว้บ้าง ผมไม่อยากให้เถ้าแก่ต้องเอาชีวิตหรือร้านไปเสี่ยงแบบนั้น” พ่อครัวจินตอบ เขาเป็นพ่อครัวมานานหลายปีก่อนทำงานที่นี่ก็ทำงานร้านใหญ่มาก่อน 

“มันเป็นเช่นนั้นผมเคยได้ยินมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีหลักฐานแต่หลายคนต่างรู้ข้อนี้ดี ร้านของพวกเราถึงไม่ใช่ร้านใหญ่แต่มีลูกค้าไม่ขาด หากเข้าร่วมการประมูลไม่รู้จะได้คุ้มเสียไหม” พ่อครัวหม่าสนับสนุนอีกเสียง  

“มันเป็นอย่างไรหรือคะ” มู่ซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย บ้านเมืองมีขือมีแปยังมีคนกล้าทำอะไรอีก 

“ยัยหนูซีซีคงไม่รู้ว่าการประมูลรายการทำอาหารให้กับกองทัพ มีอยู่สองร้านที่ผลัดกันแพ้ชนะ ร้านหงเติ้งหลง กับร้านชุนหมั่นโหลว พวกนั้นเป็นกิจการของตระกูลหงกับตระกูลชุน ที่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองเวยฟางนี้ ถ้าเกิดพวกเราไปทำให้คนในตระกูลใหญ่พวกนี้ไม่พอใจ ชีวิตที่เหลือก็จบสิ้นแล้ว” พ่อครัวหม่าอธิบายให้เด็กน้อยเพียงคนเดียวได้ฟัง 

“แต่ถ้าเถ้าแก่ไม่เข้าร่วมประมูลก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติกองทัพ” มู่ซีเตือน 

“มันก็จริงของนังหนูซีซี ไม่ว่าทางไหนร้านฟางเจียนเว่ยก็ดูไม่มีที่ให้เดิน ปีนี้ยิ่งเป็นปีแรกที่ทางกองทัพให้มีการส่งแค่รายการอาหารไม่จำเป็นต้องลงมือทำ และยังเปิดโอกาสให้พวกเสือหมอบมังกรซ่อนได้เข้าร่วมการประมูลด้วย โอกาสแบบนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ แต่ก็อย่างที่บอก หากเข้าไปร่วมด้วยแล้วเกิดชนะ เห็นทีจะอยู่ยากเหมือนกัน” เถ้าแก่หนงถอนหายใจเมื่อพิจารณาถึงโอกาสและความเสี่ยงแล้วได้แต่ปลง 

“ฉันว่าพวกเราปฏิเสธกองทัพไปดีกว่าค่ะ พวกเราเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ถ้าปีนี้มีร้านอื่นเข้าร่วมแล้วไม่มีปัญหาอะไร ปีหน้าพวกเราก็ค่อยเข้าร่วมประมูลอีกที ดูลู่ทางลมไปก่อน” หลี่เยว่หรานเสนอความเห็นของตนเอง 

“จริงด้วย อาหรานสิ่งที่คุณพูดมีเหตุผล” เนียนหวงพยักหน้าเห็นด้วย 

“เฮ้อ เสียดายจัง”  

มู่ซีถอนหายใจออกมาเสียงดัง เพราะเธอคิดถึงเรื่องนี้ทั้งคืน ว่าจะเสนอรายการอาหารให้เถ้าแก่เอาไปร่วมประมูล แต่ว่าเมื่อผลประชุมออกมาแบนนี้ก็คงต้องหาทางใหม่ 

หลังจากประชุมกันเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำงานอู๋กังมารับมู่ซีไปประชุมกับหัวหน้าของตนเอง หลี่เยว่หรานจึงได้เดินทางไปกับมู่ซีด้วย เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าลูกสาวคนเล็กของเธอไปทำงานที่ไหนนั่นเอง 

อู๋กังนั่งรถยนต์ของสถานีวิทยุมารับมู่ซี โดยมีคนขับรถยนต์ให้ เขาพามู่ซีกับหลี่เยว่หรานมาที่อาคารหลังหนึ่ง เป็นอาคารตึกสองคูหาจำนวนสามชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวยฟางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารฟางเจียนเว่ยมากนัก ขับรถยนต์เพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้น แต่ถ้าเดินเท้าก็ใช้เวลานานเหมือนกัน 

“มา ๆ นั่งลงกันก่อน”  

ปินเสี่ยวจวนเห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาใกล้จึงได้เอ่ยเชื้อเชิญเข้าไปนั่งในห้องหนึ่ง มู่ซีมองดูก็สันนิษฐานว่าเป็นห้องรับแขก พอได้ที่นั่งมู่ซีก็ลอบสังเกตและพิจารณาสถานการณ์อย่างคร่าวๆ 

ห้องตรงนี้เป็นห้องรับแขก มีสิ่งตกแต่งน้อย มองไปทางซ้ายขวาก็มีห้องย่อยแยกออกไปอีก นั่งไม่นานปินเสี่ยวจวนก็ยกน้ำมาให้สองแม่ลูก  

“รอสักครู่ หัวหน้ากำลังประชุมอยู่ที่สถานี อีกไม่ถึงสิบนาทีคงมาถึงแล้ว”  

“ค่ะ” มู่ซีรับคำแล้วก็นั่งรออยู่กับหลี่เยว่หรานอย่างสงบนิ่ง 

เวลาผ่านไปเพียงไม่นานมีกลุ่มคนเดินเข้ามายังห้องรับแขกหกคน สี่คนมู่ซีรู้จักดีเพราะเคยได้คุยกันที่ร้านอาหารฟางเจียนเว่ยมาแล้ว  

แต่อีกสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่งกายดูภูมิฐาน อีกคนมู่ซีเดาว่าอาจจะเป็นผู้ช่วยของหัวหน้าเป็นแน่ เห็นเป้าซูอี้เดินหลบทางด้านหลังนิดหนึ่งจึงคิดว่าจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา 

“ตอนแรกที่คุณเล่าว่าบทละครนี้มาจากความคิดของเด็ก ผมก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้ นี่คงเป็นมู่ซีใช่ไหม” หนานกงเว่ย หัวหน้าสถานีวิทยุของเมืองเวยฟางเป็นคนเอ่ยปากถาม 

“ใช่ค่ะ หัวหน้าหนาน เป็นนังหนูซีซีคนนี้แหละ” เป้าซูอี้พยักหน้า 

 มู่ซีกับหลี่เยว่หรานเมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นยืน 

“ซีซี คุณหลี่ นี่คือหัวหน้าหนานกงเว่ย เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุของพวกเรา หัวหน้าหนานฉันขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่มู่ซี และนั่นแม่ของเธอ หลี่เยว่หราน” เป้าซูอี้เอ่ยแนะนำให้คนทั้งสองได้รู้จักกัน  

มู่ซีกับแม่ทำการคารวะก่อน หัวหน้าหนานพยักหน้ารับคำหนึ่งก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจก่อนบอก “พร้อมจะประชุมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ”  

“เชิญทางนี้ค่ะ” 

 เป้าซูอี้ผายมือไปยังห้องประชุมใหญ่ที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน ทุกคนจึงได้เดินตามเข้าไปรวมทั้งมู่ซีกับหลี่เยว่หรานด้วย 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ