หนานกงช่วยสมกับเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถ เขามีรายชื่อบ้านที่คิดว่าเหมาะสมกับความต้องการของมู่ซีอยู่ทั้งหมดสี่หลัง จากข้อมูลที่ได้รับมาพร้อมทั้งงบประมาณที่คิดว่าบ้านหลี่พอจ่ายค่าเช่าไหว ทำให้หนานกงช่วยตัดตัวเลือกเหลือเท่านี้
บ้านเช่าทั้งสี่หลังอยู่ภายในตัวเมืองเวยฟาง ห่างจากสำนักงานของสถานีฮวนเล่อจือเซิงและร้านอาหารฟางเจียนเว่ยไม่ไกล สามารถนั่งรถโดยสารไปมาได้สะดวก บ้านหลี่เน้นย้ำเอาไว้คือบ้านเช่าต้องอยู่ใกล้กับโรงเรียนชั้นประถม ที่เด็กทั้งสองคนสามารถเดินไปโรงเรียนได้ในแต่ละวัน
บ้านหลังแรกเป็นบ้านเช่าที่หนานกงช่วยคิดว่าดีสุด ตามความต้องการของมู่ซีได้อย่างลงตัว ที่สำคัญราคามากถึง 20 หยวนต่อเดือน ซึ่งถ้าเทียบกับรายได้ของหลี่เยว่หรานแล้วก็ถือว่าเกินครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่ว่ามันเป็นบ้านเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว ห้องครัว 2 ห้องนอน ยังมีห้องเก็บของเล็กๆ ให้ด้วย
มู่ซีดูแล้วก็ชอบมาก แต่คิดว่าค่าเช่าถือยังแพงเกินไปในตอนนี้เธอยังไม่สามารถเช่าบ้านในลักษณะนี้ได้ หนานกงช่วยจึงได้พาสองแม่ลูกไปดูที่บ้านหลังที่สอง ซึ่งจะว่าเป็นบ้านก็คงไม่ถูก ต้องเรียกว่าห้องเช่ามากกว่า มันเป็นตึกที่รู้จักกันดีว่า หลงถัง หรือบ้านรังนก
มันเป็นห้องเช่าขนาดเล็กในอาคารที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน มีพื้นที่ห้องแค่ 10-15 ตารางเมตรเท่านั้น ห้องน้ำ ห้องครัวก็ต้องใช้ร่วมกันกับผู้เช่าคนอื่น ข้อดีคือค่าเช่าแค่ 6 หยวนต่อเดือน
มู่ซีเห็นแบบนี้ก็ไม่ไหว ขอไปดูบ้านหลังที่สามและหลังที่สี่ ที่มีลักษณะเหมือนกับหลังที่สอง แต่ว่าดีขึ้นมาหน่อย ตรงที่ถึงแม้ว่าจะเป็นอาคารหลังใหญ่ แต่มีการแบ่งสัดส่วนชัดเจน ค่าเช่าต่อเดือน 12 หยวน มีพื้นที่ใช้สอยถึง 25 ตารางเมตร มีห้องน้ำ ห้องครัวเป็นส่วนตัว มู่ซีกับหลี่เยว่หรานเลือกบ้านหลังที่สาม
เพราะว่าใกล้โรงเรียนที่มู่ซีจะไปเรียนในปีหน้า ถึงแม้ว่าบ้านหลังที่สี่จะดีกว่าในทุกเรื่อง แต่ติดว่าต้องนั่งรถโดยสารไปโรงเรียน พอมู่ซีมาคำนวณค่ารถที่จะต้องจ่ายหลายปี ทำให้ตัดสินใจเลือกบ้านหลังที่สาม
ด้วยความช่วยเหลือของหนานกงช่วย มู่ซีไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำ โดยถ้ามีปัญหาหนานกงเว่ยจะรับผิดชอบให้เอง บ้านเช่าหลังนี้สามารถเข้าอยู่ได้เลย แต่หลี่เยว่หรานรอให้พ้นสิ้นเดือนไปก่อน เธอต้องการได้รับเงินเดือนแล้วถึงจะย้ายเข้าไปอยู่
หลังจากที่ได้บ้านเรียบร้อยแล้ว หนานกงช่วยจึงพาหลี่เยว่หรานกลับไปทำงานที่ร้านอาหาร แล้วแวะไปส่งมู่ซีที่สำนักงาน ส่วนตัวเองก็กลับไปรายงานหนานกงเว่ยถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา
บ่ายวันนั้น งานเกี่ยวกับบทละครก็ก้าวหน้าไปมาก ถ้าความเร็วยังระดับนี้คิดว่าไม่น่าเกินอีกสองสัปดาห์ บทละครคงเสร็จก่อนกำหนดแน่นอน แล้วเป็นดังที่ทุกคนคาดการณ์เอาไว้
ปินเสี่ยวจวนทำหน้าที่เป็นเหมือนฝ่ายสนับสนุนในเรื่องของปากท้องมากกว่าทำบทละครอย่างจริงจัง ได้เรียนรู้รายการอาหารใหม่ๆ ในทุกวัน
เมื่อท้องอิ่ม คนทำมีความสุข คนกินมีความสุข งานจึงเดินไปได้มาก รวมทั้งกลุ่มคนเหล่านี้คลุกคลีกับการทำบทละครวิทยุมาหลายปี ถึงแม้บางครั้งในเนื้อหาบทละครที่มู่ซีเล่าออกไป จะฟังดูสนุก แต่พวกเขาก็ปรับบทใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัย และให้ตรงกับความชอบของประชาชนคนฟังในยุคสมัยนี้
มู่ซีไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้เล่าเรื่องผ่านการที่ดูซีรีส์ในยุคปัจจุบันมาตลอดหลายปีเท่านั้นเอง อย่างไรก็สู้คนในยุคสมัยนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
บทละครเรื่อง จันทราซ่อนเงา เสร็จสมบูรณ์ในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ถือว่าเสร็จเร็วกว่ากำหนดถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำให้วันนี้เป้าซูอี้จึงเสนอให้เลี้ยงฉลองกัน มู่ซีจึงนำเสนอรายการอาหารเป็นหม้อไฟหมาล่า
“พี่ซูอี้ ผมนะหายใจโล่งเลยครับ” อู๋กังที่กำลังหยิบผักกาดขาวหย่อนลงไปในหม้อไฟ เอ่ยออกมาเป็นคนแรก หลังจากที่ทุกคนเริ่มลงมือกินหม้อไฟกันแล้ว
“อากัง อย่าใส่แต่ผัก วันนี้หัวหน้าเลี้ยงทั้งทีกินแต่ผักทำไม” หูเหว่ยส่ายหน้าให้กับเพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้จักกินของอร่อย
อู๋กังโอดครวญ “โธ่ พี่เหว่ย ผมกำลังลดน้ำหนักต้องกินผักก่อนสิครับ คำแรกกินเนื้อเลยท้องก็อืดกันพอดี”
“ตามใจ แล้วอย่ามาโอดครวญทีหลังละกัน” หูเหว่ยไม่สนใจคำตอบของเพื่อนร่วมงาน เขาจัดการคีบเนื้อหมูสามชั้นลงไปใส่ในหม้อฝั่งของตนเองทันที
“หัวหน้า ต้องไปส่งบทละครให้คณะกรรมการวันไหนครับ” เฉาอวี่ปินปล่อยหน้าที่หยิบผักและเนื้อให้รุ่นน้องทำ ส่วนตนเองก็ยกแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นจิบพลางเอ่ยปากถามหัวหน้ากลุ่มอย่างเป้าซูอี้
“อีกสองวันน่ะ ว่าแต่ยัยหนูซีซี ดีใจไหมที่จะได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่แล้ว” เป้าซูอี้ตอบคำถามของเฉาอวี่ปินก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยเพียงคนเดียวของบ้านที่นั่งถัดตนเองไปทางขวามือ
“ดีใจค่ะป้าซูอี้ ซีซีรอให้ยายกับพี่เซียนเซียนทำงานในแปลงนาเสร็จก่อน ยายไม่ยอมย้ายเข้ามาในเมืองเพราะยังห่วงข้าว ซีซีบอกแล้วว่าตอนนี้เหลือแค่เก็บเกี่ยวเท่านั้น ถึงเวลาก็ไปทำก็ได้” มู่ซีหยุดตะเกียบที่คีบผักจากหม้อพักไว้บนถ้วยเล็กตรงหน้าตนเอง หันไปตอบคำถามด้วยน้ำเสียงยินดี
“บ้านก็ได้แล้ว เลยเวลาย้ายเข้าบ้านใหม่ไปตั้งหลายวัน เสียดายค่าเช่าแย่เลยนะ” เป้าซูอี้รู้ว่าบ้านเช่านั้นพร้อมเข้าอยู่ได้เลย แต่สองแม่ลูกรอให้ถึงต้นเดือนก่อน
พอถึงเวลาบทละครยังไม่เสร็จ รวมทั้งยายหลี่กับมู่เซียนก็เป็นห่วงข้าวในแปลงนา คนบ้านหลี่จึงยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่เสียที ทว่าหลี่เยว่หรานก็ได้เริ่มซื้อของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไปไว้ที่บ้านใหม่บ้างแล้ว
สองแม่ลูกอาศัยว่าคนเป็นแม่ทำงานตอนสาย ตอนเช้าจึงไปตลาด หาซื้อของใช้ไปไว้ที่บ้านเช่าหลังใหม่ เพราะของใช้ที่บ้านเดิมในหมู่บ้านหลงเฉิงเก็บเอาไว้ เพราะมู่ซีได้แนะนำให้ปล่อยเช่าให้กับคนที่มาเช่าที่นา เงินค่าเช่ายังเอามาจ่ายค่าเช่าบ้านในเมืองได้อีกด้วย
ดังนั้นยายหลี่กับมู่เซียนจะย้ายมาอยู่บ้านใหม่ในเมืองในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านั่นเอง
“ซีซีไม่ได้จ่ายเองค่ะ ลุงผู้ช่วยบอกว่า หัวหน้าหนาน ยินดีออกค่าเช่าเดือนแรกนี้ให้เพราะอยากให้ซีซีตั้งใจทำบทละครให้เสร็จ ดังนั้นเงินในกระเป๋าของแม่ยังอยู่ครบค่ะ” มู่ซีตอบคำถามพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า เธอถูกใจมากเพราะอย่างน้อยเดือนแรกก็ประหยัดค่าเช่าไปตั้ง 12 หยวนเชียวนะ
“หัวหน้าหนานนี่เป็นคนดีจริงๆ พวกป้าก็ได้หัวหน้าหนานนี่แหละช่วยเหลือเวลาที่เดือดร้อน พอได้บทละครดี ๆ มาก็เลยตั้งใจกันทำงานอย่างเต็มที่” เป้าซูอี้ยกถ้วยใบเล็กยื่นส่งให้กับหูเหว่ยที่ยื่นมือมาขอถ้วยของเธอเพื่อตักเนื้อและผักให้
“ขอบใจนะอาเหว่ย”
“ยินดีให้บริการครับ ไหน ใครอยากได้อะไรอีก” หูเหว่ยหันไปถามคนในกลุ่ม
“ผม รอบนี้ขอเนื้อหมูสามชั้นนะ” อู๋กังยื่นถ้วยใบเล็กให้เป็นคนแรก แต่ถูกหูเหว่ยเมิน
“รอไปก่อน นายต้องกินผักให้หมดก่อนสิ” คำตอบของหูเหว่ยเรียกเสียงหัวเราะของคนที่ร่วมฉลองกันอย่างสนุกสนาน
มู่ซีก็ยิ้มตามไปด้วย คืนนี้เธอจะอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้ได้เวลาย้ายเข้าบ้านใหม่แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีพิธีเล็ก ๆ เหล่านักพากย์ก็จะไปร่วมงานด้วย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?