มู่ซีที่ปรับสภาพตัวเองยังไม่ได้จึงหลับลงไปอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า รู้สึกตัวอีกทีตอนพี่สาวเข้ามาเขย่าตัวเพื่อปลุกน้องสาวให้กินข้าว
“ซีซี ตื่นมากินข้าวก่อน วันนี้พี่แอบเอาข้าวต้มมาให้” มู่เซียนเขย่าแขนน้องสาวเบาๆ พอให้รู้สึกตัว แต่ต้องผงะตกใจ เมื่อลำตัวของมู่ซีนั้นร้อนราวกับไฟ มู่เซียนรีบเอามือไปแตะหน้าผาก ก็ต้องรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน
“ซีซี น้องตัวร้อนมาก! ต้องพาน้องไปหาหมอ” มู่เซียนรีบวิ่งเปิดประตูออกไปจากห้องเก็บฟืนเพื่อไปหาผู้เป็นย่าที่นอนเอนหลังอยู่ในห้องโถงของบ้านมู่
“ย่าจ๊ะ ย่า ซีซีตัวร้อนมาก ฉันขอเงินหน่อยได้ไหมจ๊ะ ฉันอยากพาน้องสาวไปโรงพยาบาล” มู่เซียนเข้าไปใกล้ผู้เป็นย่าก่อนนั่งลงข้างหน้า เด็กสาวเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ทว่ากลับได้รับคำด่าทอจากผู้เป็นย่ามาแทน
“มันจะเป็นอะไรนักหนา แค่เป็นไข้ ไปหายาต้มของหมอกุ้ยก็หายแล้ว จะไปหาหมอทำไมให้เสียเงินเสียทอง แกคิดว่าบ้านเรามีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ย่ามู่วางพัดในมือลงก่อนจะชี้หน้าด่าหลานสาวคนรองของบ้านมู่
“แต่ย่าจ๊ะ ฉันจำได้ว่าเจ้าของโรงงานให้เงินชดเชยของพ่อแม่กับย่าตั้งสามพันหยวน ฉันขอเถอะนะจ้ะ น้องสาวตัวร้อนมากฉันกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรไป” มู่เซียนยังไม่ยอมถอดใจเข้าไปเกาะขาของคนเป็นย่า พลางเอ่ยขอร้องออกมาน้ำตาคลอเบ้า
“เอ๊ะ นังเด็กนี่ ฉันบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ เงินแค่นั้นฉันจะเก็บเอาไว้เป็นค่าเรียนของหลานชายฉัน” ย่ามู่สะบัดขาออกจากมือของมู่เซียนอย่างไม่สนใจใยดี
“ย่าคะ ฉันขอร้อง ให้ฉันทำอะไรก็ได้ ซีซีเป็นน้องสาวคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ ถ้าน้องสาวเป็นอะไรไปฉันอยู่ไม่ได้แน่ ๆ” มู่เซียนถึงแม้ว่าจะถูกสะบัดออกมาแต่ก็ยังทำใจกล้า เข้าไปขอร้องอีกครั้ง
สองพี่น้องทำงานราวกับทาสรับใช้ให้บ้านมู่นอกจากอาหารที่ให้กินบ้าง ไม่ให้กินบ้าง สองพี่น้องมู่ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนและเงินสักเฟิน
“อยากไปหาหมอมากใช่ไหม ได้” ย่ามู่ว่าแล้วก็ลุกเดินออกจากบ้านมู่ นางเดินไปยังโรงเก็บฟืนที่สองพี่น้องใช้เป็นที่อาศัย แล้วตะโกนเรียกมู่ซีเสียงดัง
“นังหลานอกตัญญู ขี้เกียจตัวเป็นขน ไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ อย่ามาสำออย ฉันไม่เชื่อหรอกนะ” ย่ามู่พอมาถึงก็ถลาไปยังเตียงไม้ไผ่ที่มู่ซีนอนหลับด้วยพิษไข้
ก่อนจะใช้มือที่ใหญ่และหนาดั่งคีมเหล็ก หิ้วคอเสื้อของมู่ซีแล้วลากร่างของมู่ซีออกไปยังลานบ้าน ปากก็พร่ำด่าตลอดทาง มู่เซียนเห็นย่าตนเองลากน้องสาวออกมารีบเข้าไปห้าม ปากเอ่ยขอร้อง มือก็พยายามแกะมือของย่ามู่ให้ออกจากร่างของน้องสาว
กลายเป็นภาพที่น่าสงสารสำหรับชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา ด้วยย่ามู่ไม่ได้พูดเสียงเบา รวมทั้งเสียงร้องไห้ของมู่เซียนก็ทำให้ชาวบ้านหยุดยืนมองแล้วซุบซิบกัน
“อีกแล้ว แม่เฒ่าบ้านมู่รังแกหลานสาวอีกแล้ว โธ่ เด็กน้อยช่างน่าสงสาร กำพร้าพ่อแม่ยังไม่พอ ยังมาถูกรังแกอีก”
“นั่นสิ บ้านมู่ก็เหลือเกิน ได้เงินจากเถ้าแก่โรงงานไปตั้งเยอะ แต่กับทำกับลูกของอาหานถึงขนาดนี้ สงสัยคงนอนตายตาไม่หลับ ถ้ารู้ว่าลูกๆตนเองถูกรังแกขนาดไหน”
“อย่าพูดเสียงดังไป พวกหล่อนไม่รู้เหรอ ว่าแม่เฒ่าบ้านมู่ร้ายกาจขนาดไหน”
“ฉันละสงสารเด็กสองคนนั้นจริงๆ”
“สงสารแล้วทำอะไรได้ หล่อนจะเข้าไปช่วยหรือ แค่ทุกวันนี้ครอบครัวเราก็ไม่พอกินอยู่แล้ว”
เสียงซุบซิบดังไปทั่วบริเวณของชาวบ้านที่พากันหยุดดูเรื่องราวของบ้านมู่ ไม่ได้ทำให้ย่ามู่สำนึก นางยังหันไปตะคอกให้กับชาวบ้านที่เข้ามามุงดูด้วยซ้ำ
“อย่ามายุ่ง สารแนไม่เข้าเรื่อง บ้านของฉันเป็นอย่างไรพวกแกอย่ามาทำเป็นรู้ดี ถ้าสงสารพวกมันสองพี่น้องมากก็เอาไปเลี้ยงเลยสิ เป็นภาระของฉันจริง ๆ”
ชาวบ้านเมื่อได้ยินย่ามู่ด่าออกไปแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า โชคดีที่มีชาวบ้านบางคนไปแจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านทราบ ฉงหาน เป็นชายร่างสูงใหญ่ อายุราวห้าสิบปี รีบวิ่งเข้ามายังลานบ้านมู่
เขาต้องแหวกทางจากชาวบ้านที่มามุงเข้าไปด้านใน และเห็นย่ามู่กำลังตบตีให้มู่ซีที่นอนหลับใหลไม่ได้สติรู้สึกตัว มีมู่เซียนคอยกันท่าอยู่ใกล้ๆ
“ย่า น้องสาวเจ็บ ย่าอย่าตีน้องเลยจ้ะ” มู่เซียนห้ามอย่างไรย่ามู่ก็ยังคงตบตีมู่ซีอยู่อย่างนั้น
“แม่เฒ่า นี่กะจะฆ่าแกงหลานตัวเองเลยหรือไง เด็กมันก็ตัวเท่านั้น” เป็นเสียงของฉงหานที่ตวาดขึ้น
ทำให้ย่ามู่ต้องหยุดมือ นางสะบัดมือออกจากมู่ซีทำให้มู่เซียนต้องรีบไปรับร่างน้องสาวเอาไว้ ทางด้านมู่ซีเธอรู้สึกตัวตั้งแต่ที่ย่ามู่ลากเธอออกมาลานบ้านแล้ว แต่ด้วยร่างกายยังเป็นเด็ก และยังมีไข้ ทำให้การลืมตาขึ้นมาเป็นเรื่องยาก ทว่าสมองกลับจดจำทุกคำพูดของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“หัวหน้าหมู่บ้านฉงคุณก็พูดเกินไป ฆ่า เค่อ อะไร ฉันแค่จะตบเรียกให้ฟื้นเท่านั้นเอง” ย่ามู่เอ่ยแก้ตัวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แม่เฒ่ามู่ นังหนูซีซีก็เป็นหลานแม่เฒ่ามู่เหมือนกัน เวทนาเด็กมันหน่อยเถอะ สองพี่น้องมู่ไม่มีพ่อแม่แล้วมีแต่บ้านมู่เท่านั้น” ฉงหานเอ่ยเตือน
“อะไร ทุกวันนี้บ้านมู่ก็เลี้ยงดูอยู่นี่ มีอะไรที่ข้าทำเกินไปเหรอ ที่ซุกหัวนอนก็มีให้ อาหารก็มีให้กิน ดีแค่ไหนที่ฉันไม่ไล่พวกมันออกจากบ้าน” ย่ามู่เถียงข้างๆ คูๆ
“นี่แม่เฒ่ามู่ ถ้าไม่รักไม่สงสารเด็กสองคนนี้ก็ปล่อยเด็กมันไปเถอะ” มีเสียงของชาวบ้านตะโกนเข้ามาร่วมวงด้วย
ทั้งสองเป็นเด็กขยัน กตัญญูตั้งแต่พ่อแม่ยังอยู่ มีอะไรช่วยที่บ้านทำงานเสมอ ไม่ปริปาก ไม่บ่น ไม่งอแงเหมือนหลานคนอื่น ต่อให้ออกไปข้างนอกคงไม่อดตาย แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต้องอดตายแน่ ๆ
“เหอะ เด็กสองคนนี้เป็นคนบ้านมู่ยังไม่ได้แต่งงาน ตายไปก็เป็นคนบ้านมู่ ทำไมฉันต้องปล่อยไปด้วย” ย่ามู่ชี้หน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
พวกมันเป็นผู้หญิง โตขึ้นก็ต้องได้ค่าสินสอด อีกอย่างนางก็รับเงินค่าสินสอดจากคนนั้นไว้แล้ว แค่รออีกแค่สองสามปีก็แต่งงานได้แล้ว อีกอย่างเกิดปล่อยพวกมันสองคนพี่น้องไป ใครจะมารองมือรองเท้าลูกหลานคนโปรดของนางกันล่ะ
“ฉันนี่แหละกล้า”
เสียงที่ดังขึ้นมาจากเหล่าชาวบ้าน ทำให้ทุกคนหันไปมอง เป็นผู้หญิงสองคนที่ปรากฏตัวขึ้น คนหนึ่งอายุประมาณหกสิบปีคนในหมู่บ้านเรียกว่ายายหลี่ หลี่เยว่หมิง อีกคนเป็นลูกสาวของยายหลี่ หลี่เยว่หราน อายุสามสิบกว่าปี
หลี่เยว่หรานมีรูปร่างสูงใหญ่คล้ายผู้ชาย หน้าตาไม่ได้สวยงามแต่หากมองดี ๆ จะเห็นว่ามีความงามอยู่บ้าง แต่เพราะมีร่างกายที่ไม่เหมือนผู้หญิงจึงไม่มีแม่สื่อเข้ามาทาบทาม และครองตัวเป็นสาวเทื้ออาศัยอยู่กับแม่
“อ้อ นึกว่าใคร ตัวอัปลักษณ์ของหมู่บ้านนี่เอง” ย่ามู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เนื่องจากทุกคนในหมู่บ้านมักไม่ได้สุงสิงกับคนบ้านหลี่ ด้วยกลัวว่าจะเป็นเสนียดถ้าไปติดต่อหรือมีความสัมพันธ์ด้วย
ใครจะอยากให้ลูกหลานบ้านตัวเองต้องอยู่เป็นสาวเทื้อ นั่นคือความคิดของชาวบ้าน
“ป้าลี่ ฉันจะเป็นตัวอัปลักษณ์หรืออะไรก็ตาม แต่ใจฉันไม่ได้อัปลักษณ์เหมือนกับป้า หัวหน้าหมู่บ้านฉงคะ ฉันอยากจะขอรับเด็กสองคนนี้เป็นลูกบุญธรรม ฉันต้องทำอย่างไรบ้างคะ” หลี่เยว่หรานตอกกลับย่ามู่ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามหัวหน้าหมู่บ้านฉงหานด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ
“ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอม เด็กสองคนนี้เป็นลูกหลานบ้านมู่ บ้านหลี่มีสิทธิ์อะไรจะมาเอาตัวเด็กไป” ย่ามู่เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะสูญเสียคนจึงรีบหันไปตวาดใส่สองแม่ลูกบ้านหลี่
“จะว่าไป เด็กสองคนนี้ก็ยังถือว่าเป็นเด็ก จะทำอะไรก็ต้องให้ผู้ใหญ่บ้านมู่เห็นชอบเสียก่อน” หัวหน้ามู่บ้านฉงเอ่ยออกมาแบบนี้ ทำให้สองแม่ลูกบ้านหลี่ถึงกับหน้าถอดสี
“หัวหน้าหมู่บ้านฉง ท่านทำถูกต้องแล้ว” ย่ามู่หันไปพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับหัวหน้าหมู่บ้าน พลางปรายตามองไปยังสองแม่ลูกบ้านหลี่อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ทว่ายังยิ้มดีใจไม่เต็มใบหน้าก็รีบหุบยิ้มลงโดยพลัน เมื่อได้ยินคำพูดถัดมา
“แต่ว่าเมื่อครู่แม่เฒ่ามู่ไม่ได้บอกชาวบ้านหรอกหรือ ว่าถ้าใครสงสารก็รับสองพี่น้องมู่ไปดูแล ตอนนี้บ้านหลี่ออกตัวว่าจะรับเป็นลูกบุญธรรม ดังนั้นแม่เฒ่ามู่ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่คิดจะผิดคำพูดใช่ไหม ทุกคนที่นี่ต่างได้ยินกันหมด” หัวหน้าหมู่บ้านฉงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดัน พลางหันไปเอ่ยถามเหล่าชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น
ความจริงแล้วหากบ้านมู่ไม่ให้ความยินยอมเด็กทั้งสองคนก็ไปจากบ้านมู่ไม่ได้ ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านฉงรู้สึกสงสารเด็กสองคนนี้มาก ในเมื่อมีคนมาช่วยแล้ว เขาก็เลยถือโอกาสสนับสนุนเสียเลย
“ขอบคุณหัวหน้าฉงมากค่ะ” หลี่เยว่หรานโค้งคำนับหัวหน้าหมู่บ้านแล้วรีบเข้าไปดูอาการของมู่ซีกับมู่เซียนทันที
“เดี๋ยวก่อน ถ้าจะเอาเด็กสองคนนี้ไปก็ต้องจ่ายเงินมา” ย่ามู่ยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อมีสายตาของเหล่าชาวบ้านกดดันขนาดนี้ นางจึงทำอะไรไม่ได้ ทว่าขิงแก่อย่างไรก็ไม่ทิ้งลาย
“นี่ป้าลี่จะขายลูกหลานเลยเหรอ” หลี่เยว่หรานเงยหน้าขึ้นมามองย่ามู่หลังสำรวจเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แล้วอย่างไร ฉันตกลงรับเงินสินสอดมาแล้ว ถ้าอยากได้พวกมันมาก ก็จ่ายเงินมา”
“ลี่เจิน ให้มันน้อยหน่อย” ยายหลี่เอ่ยขึ้นบ้างหลังให้ลูกสาวพูด
“จ่ายมา 100 หยวน”
“ได้ ฉันกับลูกจะให้เงินค่าชีวิตของเด็กสองคนนี้ ฉันมีให้แค่ 50 หยวนเท่านั้น จะเอาก็เอา ไม่เอาฉันจะไปฟ้องทางการ อ้อ รบกวนหัวหน้าฉงคัดชื่อแยกบ้านให้เด็กสองคนนี้ด้วยนะ” ยายหลี่ไม่สนใจ
“ได้ครับ ผมจะทำเรื่องให้ ส่วนหนังสือแยกบ้านผมจะกลับไปร่างให้” หัวหน้าหมู่บ้านฉงรีบตอบรับ
สองแม่ลูกหลี่ถึงจะถูกชาวบ้านรังเกียจแต่ก็เป็นลูกบ้านของเขาเอง อีกทั้งเขาเชื่อว่าสองพี่น้องมู่ไปอยู่กับบ้านหลี่ชีวิตจะดีขึ้นกว่านี้
“ทุกท่านเป็นพยานให้บ้านหลี่ด้วย ต่อไปนี้มู่เซียนกับมู่ซีเป็นคนบ้านหลี่ เป็นลูกสาวของหลี่เยว่หราน เป็นหลานสาวของฉัน หลี่เยว่หมิง” ยายหลี่เอ่ยขึ้นเสียงดัง พร้อมกับหันหน้าไปหาชาวบ้านทุกคน
“เซียนเซียน ไปกันเถอะ ไปอยู่กับป้า” หลี่เยว่หรานเอ่ยขึ้นพลางก้มลงช้อนร่างของมู่ซีเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ป้าหลี่ ฉันขอไปเก็บของก่อนจ้ะ” มู่เซียนรีบบอกอย่างรวดเร็ว ถ้าพวกเธอได้ออกไปจากบ้านมู่น้องสาวก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานหนักจนล้มป่วยแบบนี้
“ไม่ได้ แกสองคนพี่น้องไปได้แค่ตัวเท่านั้น” ย่ามู่ตวาดเสียงขึ้นทันที
“ย่าจ๊ะ ฉันขอแค่เอารูปพ่อแม่ของฉันไปด้วยแค่นั้นเองจ้ะ” มู่เซียนขอร้องอย่างน่าสงสาร ของส่วนตัวเธอกับน้องสาวไม่มีอะไร แต่สิ่งที่อยากได้คือรูปถ่ายของพ่อแม่พวกเธอ
“แม่เฒ่ามู่ คุณก็อย่าใจร้ายให้มันมากเกินไปเลย ให้เด็กมันเอาไปเถอะ” หัวหน้าหมู่บ้านฉงเมื่อเห็นว่าย่ามู่ทำเกินไปจึงได้เอ่ยปากแย้ง
“แกรออยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะไปเอามาให้เอง ไม่รู้ให้ไปหยิบเอง จะหยิบอะไรไปบ้าง” ย่ามู่ว่าแล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไปไม่นานก็ออกมาพร้อมกับรูปของลูกชายคนเล็กกับสะใภ้ ก่อนจะโยนลงบนพื้น มู่เซียนเห็นอย่างนั้นก็ถลาจะเข้าไปหยิบ แต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยยายหลี่
“นังหนูเซียนเซียน ระวังแก้วจะบาดมือ รออยู่ตรงนี้ ยายจะทำให้” ยายหลี่ว่าแล้วก็ไปจัดการเอารูปของมู่หานกับจิ่วหงมาถือไว้
มู่เซียนหันหมอบกราบคำนับย่ามู่ครั้งสุดท้าย ก่อนเดินตามยายหลี่กับป้าหลี่ที่อุ้มมู่ซีออกจากบ้านมู่ไปไม่หันหลังกลับมาอีก
ชาวบ้านเมื่อเห็นว่าเรื่องสงบลงแล้วจึงได้แยกย้ายไปทำกิจวัตรประจำวันของตนเอง ย่ามู่ก็กลับเข้าบ้านไป อาละวาดฟาดงวงฟาดงาในโรงเก็บฟืน ที่สองพี่น้องเคยอาศัยอยู่
วันนี้มีเพียงย่ามู่อยู่บ้านคนเดียวจึงไม่มีคนในบ้านเห็นเหตุการณ์หรือช่วยย่ามู่พูด
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?