ตอนที่ 17 บทประพันธ์เหมือนกัน 

 

“ตัวแทนสถานีวิทยุฮวนเล่อจือเซิง”  

เสียงเรียกชื่อสถานีวิทยุของตนเอง ทำให้เป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินต้องหยุดฝีเท้าที่ก้าวจะออกจากห้องไป ทั้งคู่รีบหันหลังกลับมาเดินเข้าไปหาคนเอ่ยเรียก 

“ฉันเป็นตัวแทนของฮวนเล่อจือเซิงค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ” เป้าซูอี้แจ้งให้กับคนตรงหน้าทราบถึงสถานะตนเอง 

“ผมขอเชิญที่ห้องคณะกรรมการหน่อยครับ” คนออกมาแจ้งผายมือนำทั้งสองคนไปที่ห้องดังกล่าวทันที 

เป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปินมาถึงก็พบกับเหล่าคณะกรรมการเกือบสิบคน นั่งอยู่ในห้องที่จัดโต๊ะเป็นรูปสี่เหลี่ยนผืนผ้าตามทางยาว ทั้งคู่ไปนั่งตรงที่ชายคนแรกพามาบอกให้นั่งลง 

“คุณสองคนเป็นตัวแทนของฮวนเล่อจือเซิงใช่ไหม” ผู้ชายคนหนึ่งที่คิดว่าเป็นหัวหน้าของคณะกรรมการเอ่ยถามขึ้น 

“ใช่ค่ะ” 

“คุณรู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงเชิญคุณเข้ามาพบแบบนี้” เขาเอ่ยถามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง 

“ไม่ทราบค่ะ” 

“คุณลองดูนี่นะ” เขาพยักหน้าให้กับผู้ช่วยของเขาครั้งหนึ่ง ผู้ช่วยลุกขึ้นถือเอกสารมาสองชุด เดินมาถึงเก้าอี้ที่เป้าซูอี้นั่งอยู่พร้อมกับยื่นเอกสารสองชุดนั้นให้กับเป้าซูอี้ 

เป้าซูอี้รับเอกสารมาเปิดดู เอกสารชุดแรกเป็นบทละครของฮวนเล่อจือเซิงซึ่งเธอเห็นมันมาก่อนแล้ว จึงเปิดผ่านคร่าว ๆ แล้วจึงหยิบเอกสารอีกชุด ที่หน้าเอกสารระบุว่าเป็นของสถานีเสวียนลี่ซือ เมื่อได้อ่านหน้าข้างในเพียงหน้าแรกและหน้าถัดไป เป้าซูอี้ก็ถึงกับอุทานออกมาเสียงดัง พร้อมกับลุกขึ้นยืน 

“นี่มัน เป็นไปไม่ได้”  เสียงของเป้าซูอี้ทำให้เฉาอวี่ปินสงสัยจึงเอ่ยถามหัวหน้าของเขาด้วยความสงสัย 

“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น” เป้าซูอี้ยื่นเอกสารสองชุดส่งให้กับลูกน้องตนเองดู เพียงไม่นานเฉาอวี่ปินก็อุทานออกมาอีกคน 

“นี่มัน....” 

“นี่คือสิ่งที่ผมต้องการคำตอบ ว่าทำไมบทละครของฮวนเล่อจือเซิงกับเสวียนลี่ซือถึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันไปได้” หัวหน้าคณะกรรมการเมื่อเห็นว่าแขกที่เชิญเข้ามาเห็นเอกสารและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงเอ่ยถาม 

“ท่านคะ มันต้องมีการเข้าใจผิดแน่ ๆ บทละครนี้ต้นฉบับเป็นของฮวนเล่อจือเซิงแน่นอนค่ะ” เป้าซูอี้พยายามอธิบาย 

“ทางเสวียนลี่ซือก็พูดคำนี้เหมือนกัน แต่ทางฮวนเล่อจือเซิงส่งบทละครหลังเสวียนลี่ซือ”  

“แต่พวกเราทั้งคู่ก็ส่งวันนี้พร้อมกันนี่ครับ” เฉาอวี่ปินแสดงความเห็นบ้าง 

“ถูก ว่าทั้งคู่ส่งบทละครวันนี้พร้อมกัน แต่คุณได้อ่านดูชื่อผู้ประพันธ์ไหม บทละครของเสวียนลี่ซือมีอาจารย์เหอเป็นผู้ประพันธ์ แล้วทางฮวนเล่อจือเซิงล่ะ บอกได้ไหมว่าใครเป็นคนประพันธ์เรื่องนี้ คุณคงไม่ได้กำลังบอกผมว่า อาจารย์เหอ ที่มีชื่อเสียงระดับปรมาจารย์ลอกผลงานของคนอื่นหรอกนะ”  

เจอคำถามของหัวหน้าคณะกรรมการเข้าไปแบบนี้ ถึงกับทำให้เป้าซูอี้พูดไม่ออก เธอจะบอกได้อย่างไรว่า ผู้ประพันธ์เรื่องนี้เป็นเด็กอายุเพียงเจ็ดขวบ แถมยังไม่เคยเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำ กับอาจารย์เหอที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ หากตอบออกไปก็ทำให้ขายหน้าเสียเปล่า  

“ท่านคะ จันทราซ่อนเงา เป็นบทละครที่พวกเราทำขึ้นมาเองจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าไปเหมือนกับบทประพันธ์ของอาจารย์เหอได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราก็รู้ว่าอาจารย์เหอ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง พวกเราจะไปคัดลอกผลงานของอาจารย์เหอมาทำไม” เป้าซูอี้พยายามอธิบายถึงความเป็นจริง 

“ถ้าพวกคุณยืนยันว่าบทประพันธ์นี้เป็นพวกคุณทำขึ้นมา คุณก็กำลังบอกว่าอาจารย์เหอคัดลอกผลงานของพวกคุณใช่ไหม แล้วอาจารย์เหอจะไปคัดลอกผลงานพวกคุณได้อย่างไร”  

เจอคำถามนี้เข้าไปเป้าซูอี้ก็หาคำตอบไม่ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าจันทราซ่อนเงาเป็นพวกเธอที่ทำขึ้นมา แต่ก็ไม่มีหลักฐานทั้งยืนยันว่าเป็นผลงานของตนเอง และหลักฐานที่เสวียนลี่ซือลอกผลงานด้วย 

“ผู้ช่วยไปเรียกตัวแทนของเสวียนลี่ซือมา” หัวหน้าหันไปสั่งงานผู้ช่วยของเขา รอไม่นานเจียงหยู่เหมิงกับซูเสียงก็เข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปิน 

“ทางฮวนเล่อจือเซิง ยืนยันว่าพวกเขาทำผลงานนี้เอง ทางเสวียนลี่ซือมีข้อแก้ตัวอะไรไหม”  

“ท่านคะ เสวียนลี่ซือของพวกเราไม่ทำเรื่องเสียเกียรติแบบนี้หรอกค่ะ อีกอย่างผลงานนี้ก็เป็นของอาจารย์เหอ ฉันคิดว่าอาจารย์เหอคงไม่เอาชื่อเสียงของตนเองมาเสี่ยงหรอกจริงไหมคะ” เจียงหยู่เหมิงเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้กับทางตัวแทนของฮวนเล่อจือเซิง 

“พวกเราไม่ได้ขโมยบทละคร พวกเราทำมันขึ้นมาเอง” เฉาอวี่ปิ่นทนไม่ไหวตะโกนขึ้น 

“แล้วคุณมีหลักฐานไหมล่ะคะ ทางเสวียนลี่ซือยังยืนยันเหมือนเดิมว่าบทประพันธ์นี้เป็นของอาจารย์เหอ” เจียงหยู่เหมิงเอ่ยตอบโต้ 

“เอาล่ะ ต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ซึ่งผมก็ไม่เชื่อว่าอาจารย์เหอจะเป็นคนคัดลอกผลงาน แต่ผมก็ไม่มีหลักฐานว่าทางฮวนเล่อจือเซิงขโมยผลงานไปเช่นกัน ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้ากรรมการตัดสินในครั้งนี้ ผมขอยกบทละครเรื่องนี้ให้กับทางเสวียนลี่ซือเป็นผู้ที่ได้นำไปออกอากาศ  

ส่วนทางฮวนเล่อจือเซิง ผมจะไม่ตัดสิทธิ์การเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ถ้าสามารถจัดทำบทละครขึ้นมาใหม่แทนเรื่องนี้ได้ ก็ให้สิทธิ์เข้าแข่งขันเหมือนเดิม ทั้งสองฝ่ายผมตัดสินแบบนี้พอใจไหม”  

“แบบนี้ไม่ใช่ว่าท่านตัดสินว่าทางฮวนเล่อจือเซิงคัดลอกผลงานของอาจารย์เหอไปแล้วใช่ไหมครับ” เฉาอวี่ปินเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ 

“ของมันแน่อยู่แล้วนี่ ก็เห็นกันอยู่ ถ้าคุณไม่พอใจกับผลการตัดสินแบบนี้ ก็ไม่ต้องเข้าร่วมสิ” ซูเสียงเป็นคนเอ่ยคำนี้ออกมา 

“ท่านคะ ฉันขอยืนยันที่จะไม่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ ฉันต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราไม่ได้ลอกหรือขโมยผลงานของคนอื่นมาเป็นของตนเอง  

ฮวนเล่อจือเซิงมีศักดิ์ศรีของเรา ถึงแม้ว่าจะแพ้ ก็ขอแพ้อย่างคนที่มีเกียรติ ท่านลองคิดดูนะคะหากพวกเราขโมยผลงานมาจริง ท่านไม่คิดเหรอคะว่าพวกเราต้องมาเจอเหตุการณ์นี้แน่นอน แล้วในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ทำไมเราถึงยังทำอีก เราจะสู้อาจารย์เหอได้อย่างไร ใครจะเชื่อว่าเราไม่ได้เป็นคนขโมย   

ดังนั้นฉันคิดว่าถ้าฮวนเล่อจือเซิงขโมยงานมาจริงก็เป็นคนที่โง่ที่สุดแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการให้โอกาสฮวนเล่อจือเซิงนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ” เป้าซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ  

เธอลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกไปอย่างสง่างาม ไม่สนใจคนที่อยู่ทางเบื้องหลังอีกต่อไป โดยหารู้ไม่ว่าตนเองได้วางลูกระเบิดข้อสงสัยไว้ให้กับคนอื่นในห้องประชุมนั้นไม่น้อย  

เจียงหยู่เหมิงกับซูเสียงหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะคิดว่าฝ่ายตนเองเหนือกว่าแต่พอทางฝ่ายตรงข้ามขอถอนตัว แถมยังวางระเบิดความสงสัยไว้อีก ทำให้ใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

เป้าซูอี้หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุมระหว่างเดินทางไปรถยนต์ที่จอดอยู่ เฉาอวี่ปินทนไม่ไหวจะอ้าปากเอ่ยถามขึ้น เป้าซูอี้เห็นอย่างนั้นก็ยกมือห้าม 

“เอาไว้ไปคุยที่สำนักงาน” 

 หลังจากพูดจบทั้งคู่เดินมาถึงรถยนต์ เป้าซูอี้เปิดประตูขึ้นรถไป เฉาอวี่ปินเป็นคนขับ ทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งมาถึงสำนักงาน ที่มีเหล่านักพากย์รวมทั้งมู่ซีนั่งรออยู่ด้วยความสนุกสนาน เพราะมู่ซีเอาการละเล่นมาเล่นรอระหว่างที่รอ เพราะทุกคนก็ดูจะเบื่อไม่น้อย 

“ยัยหนูซีซี โกงหรือเปล่า ทำไมชนะทุกรอบ” อู๋กังที่เป็นฝ่ายแพ้เอ่ยถามขึ้นเสียงดัง 

“พี่อากัง ซีซีไม่ได้โกงนะคะ พี่อากังแพ้เองต่างหาก” ซีซีเอ่ยตอบหน้ามุ้ย 

“ไม่รู้ล่ะ คนอะไรจะเก่งขนาดนั้น ตัวก็เล็กแค่นี้” อู๋กังไม่ยอมแพ้ 

“เฮ้ย อากัง ยัยหนูซีซีก็ตัวแค่นี้อย่างที่นายว่า แล้วจะพยายามชนะไปทำไม เสียสละไปสิ” หูเหว่ยเอ่ยท้วงขึ้น และเข้าข้างมู่ซีสุด ๆ 

“มา ๆ มากินขนมก่อน วันนี้เป็นขนมอันใหม่ ดูสิหอมมาก” ปินเสี่ยวจวนยกจานขนมเข้ามาวางไว้ตรงกลางห้ามทัพระหว่างมู่ซีกับอู๋กัง 

“เห็นว่าขนมอร่อยหรอกนะ ถึงยอมแพ้ให้” อู๋กังเลิกเล่นแล้วหยิบขนมเข้าปาก การกระทำของอู๋กังถึงแม้ว่าจะโตกว่ามู่ซี ทว่าในกลุ่มกับมองว่าอู๋กังดูเด็กกว่ามู่ซีเสียอีก 

“โอ๊ะ เสียงรถยนต์ ป้าซูอี้กลับมาแล้วแน่ ๆ เลย” มู่ซีร้องออกมาอย่างน้อยเธอก็ไม่อยากให้อู๋กังอับอาย 

ไม่นานก็มีเสียงเปิดประตูสำนักงานเข้ามา มู่ซีรีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตู พร้อมกับเอ่ยถามเสียงดัง 

“ป้าซูอี้ มีข่าวดีไหมคะ แล้ว...”  มู่ซียังถามไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักปากไว้เมื่อใบหน้าของเป้าซูอี้กับเฉาอวี่ปิน ไม่มีทีท่าว่าจะมีความยินดีหรือมีความสุขอยู่บนนั้น ทั้งบรรยากาศรอบตัวก็ดูอึมครึมไปหมด ทั้งคู่ไม่พูดไม่จาเดินไปนั่งเก้าอี้ 

อู๋กังสังเกตุเห็นความผิดปกติจึงได้เอ่ยถามขึ้นอีกคน“เกิดอะไรขึ้นครับ” 

 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ