ตอนที่ 18 หนทางแก้ไข 

 

“เกิดอะไรขึ้นครับ” อู๋กังเลิกเล่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ทุกคนในกลุ่มต้องหยุดเล่นและหันมาพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด 

“จะอะไรเสียอีก จันทราซ่อนเงามีฝาแฝดน่ะสิ เสวียนลี่ซือก็ส่งบทประพันธ์เดียวกันเข้าแข่งขัน”  

คำตอบของเฉาอวี่ปินถึงกับทำให้จานขนมในมือของปินเสี่ยวจวนที่เดินเอาขนมจานใหม่มาให้ทุกคนหล่นลงพื้น 

“ขะ ขอโทษค่ะ” ปินเสี่ยวจวนรีบเก็บเศษขนมและจานที่แตกออกไปทันที  

ก่อนเดินกลับเข้ามาพร้อมในมือถือที่ตักผงกับผ้าสะอาด จัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็มานั่งฟังเรื่องเล่าที่เฉาอวี่ปินกำลังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้ฟัง 

“สุดท้ายพี่ซูอี้จึงขอถอนตัว” เฉาอวี่ปินเล่าจบเขาออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจ 

“พวกเราทำมันมากับมือ จะมากล่าวหาว่าพวกเราขโมยมาได้อย่างไร” อู๋กังเอ่ยเสียงดังด้วยความโมโหไม่ต่างกัน พวกเขาต้องเร่งมือเพื่อให้งานเสร็จเร็วสุดท้ายกลับต้องถอนตัวออกมา 

“ใช่ พวกเรานั่งทำหลังขดหลังแข็งตั้งหลายสัปดาห์ แล้วพี่อวี่ปินเห็นข้อมูลข้างในไหม มันแค่คล้ายหรือว่าเหมือนกันเลย” หูเหว่ยตั้งข้อสงสัยในจุดนี้  

“มันไม่ใช่แค่คล้ายนะสิ มันเหมือนอย่างกับคัดลอกกันมาเลย”  เฉาอวี่ปินหยิบขนมมากัดอย่างแรง คล้ายกำลังเอาความโมโหมาลงกับขนมในมือ 

“อย่าบอกนะว่าในกลุ่มพวกเรามีคนขโมยจันทราซ่อนเงาไปให้กับทางเสวียนลี่ซือ” อู๋กังที่คิดเรื่องบางอย่างได้เอ่ยแทรกขึ้นมา 

“มันก็ต้องอย่างนั้นแน่นอน ถ้าพวกเราไม่นั่งเขียนกันตัวต่อตัว บทต่อบท ผมก็ต้องคิดว่ายัยหนูมู่ซีไปขโมยงานของเสวียนลี่ซือมาแน่นอน” หูเหว่ยเอ่ยออกมาพร้อมกับแสดงความคิดเห็นไปด้วย 

“ซีซีไม่ได้ไปขโมยงานของใครมานะคะ” มู่ซีเอ่ยยืนยัน เพราะต่อให้ไปขโมยมาจริง ๆ แต่เด็กวัยของเธอจะจดจำเรื่องราวได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ 

“ป้ารู้  อย่างที่อาเหว่ยบอกถ้าพวกเราไม่นั่งเขียนกันบทต่อบท ตัวต่อตัว ป้าก็จะคิดว่านังหนูซีซีไปขโมยงานคนอื่นมานั่นแหละ” เป้าซูอี้เมื่อเห็นว่ามู่ซีทำสีหน้าไม่สบายใจจึงเอ่ยปลอบใจเด็กน้อยไม่ให้ขวัญกระเจิงไปเสียก่อน 

“ผมอยากรู้แล้วสิ ใครมันกล้าเอางานของพวกเราไปให้เสวียนลี่ซือ” อู๋กังเอ่ยออกมาเสียงดัง พร้อมกับมองหน้าทุกคนด้วยสายตากดดัน 

“ใช่ มันต้องเป็นคนในกลุ่มพวกเรานี่แหละ” หูเหว่ยไล่มองไปทีละคนเหมือนกัน 

“พี่ซูอี้ จะทำอย่างไรต่อครับ” เฉาอวี่ปิ่นเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มหลังจากที่อารมณ์เริ่มเย็นลงบ้างแล้ว 

“พรุ่งนี้คงต้องเข้าไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าหนานทราบ แล้วก็ต้องหาคนทรยศว่าเป็นใคร พวกเราทำงานด้วยกันมาก็หลายปี พี่อยากรู้มาก ว่าทำไมถึงทรยศพวกเดียวกัน ทั้งที่รู้ว่าปีนี้พวกเราหวังที่จะชนะเสวียนลี่ซือที่สุด”  

“ใครเป็นคนทำ สารภาพมาเถอะ” อู๋กังน้องเล็กสุดของกลุ่มเอ่ยถามขึ้นเสียงดัง ยังไม่ทันถามจบก็ถูกเฉาอวี่ปินตบลงไปบนหัวอย่างแรง 

“เจ้าโง่ ใครมันจะไปรับสารภาพ ถามออกมาได้”  

“โธ่พี่อวี่ปิน ผมโมโหนี่ครับ ว่าแต่นายก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ เพราะว่านายเป็นตัวตั้งตัวตีตามหาคนทรยศ หรือว่าร้อนตัว” เฉาอวี่ปินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ พลางจ้องหน้าเด็กรุ่นน้องไปตรงๆ  

“ฮ่า ๆ พี่อวี่ปิน ไม่ต้องมามองผมอย่างนั้นเลยครับ ผมรักอาชีพนี้จะตาย แล้วผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะทรยศด้วย ต่อให้พี่เอามีดมาจ่อคอ ผมก็กล้าสาบานว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ” อู๋กังตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาและน้ำเสียงไม่ได้บอกว่าล้อเล่นแม้แต่น้อย ปฏิกิริยานี้ทำให้เฉาอวี่ปินต้องหลบสายตา 

“พอเถอะค่ะ ตอนนี้พวกเรามาปรึกษากันก่อนดีกว่าไหมคะว่าจะเอาแบบไหนต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว แต่ทางสถานี้ก็ต้องมีบทละครวิทยุออกอากาศอยู่ไม่ใช่เหรอคะ” มู่ซีที่กลัวว่ามันจะบานปลายจึงได้ตะโกนเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเตือนสติพวกผู้ใหญ่ 

“ใช่ นังหนูซีซีพูดถูก แต่ว่าพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบทละครเรื่องใหม่จะไม่มีฝาแฝดอีก” เป้าซูอี้ถาม เพราะหากมีฝาแฝดอีกสิ่งที่พวกเธอทำมันต้องศูนย์เปล่าอีกครั้ง 

“ในเมื่อเราปฏิเสธการเข้าร่วมแข่งขันแล้ว และเราก็ทำบทละครเพื่อออกอากาศที่สถานีของเราเอง อีกอย่างคนทรยศก็คงไม่โง่ทำรอบสองหรอกค่ะ เพราะว่าเขาจะเอาไปขายให้กับใคร แล้วถ้ายังมีฝาแฝดอยู่อีกก็ค่อยจับหนูกันตอนนั้นก็ได้ค่ะ”  

“นังหนูซีซีพูดมาก็มีเหตุผล แต่ตอนนี้เราจะไปเอาบทประพันธ์ที่ไหนมาให้ทัน มีเวลาแค่อาทิตย์เดียวเรื่องเดิมก็จะจบแล้ว ถ้ายังไม่มีเรื่องใหม่ไปให้หัวหน้าหนาน ฉันไม่อยากคิดภาพเลย”  

หลังจากเป้าซูอี้พูดจบ เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมา บรรยากาศในห้องเงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดินชัดเจน มู่ซีนั่งอยู่ตรงข้ามทำหน้าหนักใจ แต่ก็ยังคงสงบปากสงบคำ เมื่อเห็นท่าทางของเป้าซูอี้ 

“ป้าซูอี้ลืมแล้วเหรอคะว่าจันทราซ่อนเงามาจากไหน ซีซีคนนี้ยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบทละครเรื่องใหม่ ที่สำคัญซีซียังมีอะไรเล็กๆน้อยๆ นำเสนอป้าซูอี้ด้วยนะคะ แต่ว่าจะยังไม่บอกตอนนี้ ซีซีจะบอกตอนที่พร้อมจะออกอากาศแล้วเท่านั้น ซีซีรับรองได้เลยว่ามันเจ๋งแน่นอนค่ะ” มู่ซีว่าแล้วก็ขยิบตาให้กับเป้าซูอี้อย่างน่ารัก 

ท่าทางของเด็กหญิงทำให้ทุกคนในกลุ่มที่กำลังเคร่งเครียดเผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเป็นครั้งแรก 

“แล้วเจ้าหญิงน้อยซีซีมีเรื่องอะไรที่คิดว่าเจ๋งแน่นอน ไหนลองเล่ามาให้พี่ชายสุดหล่อคนนี้ฟังหน่อยซิ” อู๋กังถลาจากที่นั่งไกลออกไปมาเสนอหน้าอยู่ใกล้กับเด็กหญิงอย่างสนอกสนใจในเรื่องเล่าที่จะได้ฟังต่อจากนี้ 

“ซีซีคิดว่าเราควรทำบทละครสั้นดีไหมคะ เน้นการดำเนินเรื่องไว เปลี่ยนประเภทหรือแนวของละครไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้คนฟังต้องฟังอะไรแบบเดิมๆ ซ้ำๆ” 

“แต่ที่ผ่านมาเรื่องละครสั้นยังไม่เคยมีสถานีไหนทำเลยนะ” เฉาอวี่ปินที่ทำงานในวงการนี้มาหลายปีบอก เพราะการทำละครสั้นมันจบเร็วเงินทุนยังไม่ทันได้คืนด้วยซ้ำ 

“ยังไม่มีใครเคยทำ ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานีของพวกเราทำแล้วจะไม่รุ่งเรืองนี่คะ ไหนๆ เราก็มีเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ ลองเอาละครสั้นไปลองดู คนฟังอาจจะชอบก็ได้ค่ะ” 

“ผมว่าพวกเราลองทำตามที่ยัยหนูซีซีว่าก็ดีนะครับ ว่าแต่ซีซีจะมีบทละครเรื่องอะไรที่จะดีกว่าจันทราซ่อนเงาได้ไหม” หูเหว่ยเอ่ยถาม 

“จันทราซ่อนเงา เน้นเรื่องความรักความผูกพันหลายภพชาติของพระเอกนางเอก ละครสั้นเราก็ทำแนวนี้ได้เหมือนกัน เพียงแต่เราไม่ต้องเอาหลายภพชาติ เอาปมปัญหาแค่อย่างเดียว แต่เน้นไปที่เรื่องของความรักต่างชนชั้น ที่พระเอกนางเอกต้องฟันฝ่ากว่าจะลงเอยกัน ทำให้ผู้ฟังลุ้นและคิดตามว่าตอนต่อไปจะเป็นแบบไหนค่ะ”  

“แต่ก่อนที่เราจะไปลงลึกถึงเรื่องบทละคร เราควรถามความเห็นของหัวหน้าหนานก่อนดีไหมครับพี่ซูอี้” เฉาอวี่ปินพูดจบก็หันไปมองเป้าซูอี้ที่กลังครุ่นคิดตามสิ่งที่มู่ซีอธิบาย 

“ผมเห็นด้วยครับ” “ฉันเห็นด้วยค่ะ” สมาชิกในกลุ่มต่างเห็นด้วยกับความเห็นของเฉาอวี่ปิน 

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้อวี่ปินคุณไปเจอกันที่สถานี พวกเราจะเข้าไปคุยกับหัวหน้าหนานด้วยกัน แต่ตอนนี้มีเวลาอีกประมาณสามชั่วโมง พวกเราลองมานั่งคิดเรื่องบทละครวิทยุกัน ไม่ต้องถึงกับเขียนบทละคร เอาแค่เรื่องย่อของละครเรื่องนี้ก็พอ” เป้าซูอี้สรุปงานให้กับทุกคนที่จะต้องทำในตอนบ่ายนี้ 

“ว่าไงยัยหนูซีซี พอคิดเรื่องอะไรออกบ้าง”  

หลังจากที่ได้ยินคำถามจากอู๋กัง มู่ซีก็เงยหน้าขึ้น เด็กหญิงอมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะสบตากับอู๋กังแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความทะเล้น  

“ซีซีมีเรื่องในใจอยู่แล้วค่ะ พี่อากัง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะถูกใจหรือเปล่า” มู่ซีหยุดพูดเล็กน้อย ทำให้ทุกคนในห้องเงียบรออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อไม่มีใครพูดอะไร มู่ซีก็เอ่ยต่อ 

“เรื่องมันเกี่ยวกับ...”  

เรื่องราวที่มู่ซีเล่านั้น มันเป็นเรื่องของหญิงสาวลูกอนุที่ต้องแต่งงานแทนพี่สาวของตนเองที่เป็นลูกฮูหยินใหญ่ พี่สาวหนีงานแต่งงานไปกับขุนนางเมืองหลวง นางเอกจะไม่ยอมแต่งงานแทนพี่สาวก็ไม่ได้ เพราะพ่อนางเอกเอาแม่นางเอกมาเป็นตัวต่อรอง นางเอกที่รักแม่มากจึงจำใจต้องแต่งงานออกไปตามที่ถูกบังคับจากฮูหยินใหญ่ 

พระเอกเปิดหน้าเจ้าสาวออกมาเป็นนางเอก เป็นคนที่ตนเองไม่ได้รัก ก็ฟาดงวงฟาดงาถามหาเจ้าสาวตัวจริง นางเอกที่ถูกบังคับให้ตอบว่าตนเองสลับตัวเจ้าสาว แย่งงานมงคล ขโมยวาสนามาจากพี่สาว ทำให้พี่สาวต้องหนีออกจากบ้านด้วยความเสียใจ 

พระเอกก็เอาความโกรธมาลงที่นางเอก พระเอกกลั่นแกล้งนางเอกสารพัด สุดท้ายนางเอกท้องกำลังจะบอกข่าวดี พี่สาวดันกลับมาแล้วบังคับให้ตนเองหย่า นางเอกก็ยินดีหย่าให้โดยแลกกับการเอาแม่ของตนออกจากบ้านไปด้วย 

พระเอกมารู้ความจริงทีหลัง คิดถึงนางเอกมากก็ตามไปง้อ นางเอกก็เล่นตัวสุดท้ายเมื่อพระเอกเอาชีวิตเข้าปกป้องนางเอกกับลูกสาวตัวน้อย ก็ทำให้นางเอกใจอ่อน คืนดีกับพระเอก ส่วนพี่สาวก็ถูกฮูหยินขุนนางส่งคนมาทำร้ายจนใบหน้าเสียโฉม ทนไม่ไหวฆ่าตัวตาย ส่วนพระเอกกับนางเอกก็จบแบบมีความสุข 

“โอ้โห สนุกมาก พี่ลุ้นตลอดเลยว่าเมื่อไหร่พระเอกจะตาสว่าง” ปินเสี่ยวจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากฟังเรื่องราวจบลงแล้ว 

“ก็ถ้าพี่เสี่ยวจวนยังลุ้น แล้วคิดว่าคนฟังจะลุ้นตามไหมคะ” มู่ซีเอ่ยยิ้มๆ 

“ดีมาก พวกเรามานั่งเขียนเรื่องย่อกันเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะเอาเข้าไปเสนอหัวหน้าหนานเอง” เป้าซูอี้เอ่ยขึ้น สมาชิกในกลุ่มก็เริ่มเดินไปหยิบดินสอ กระดาษมานั่งทำงานกันอย่างเร่งด่วน เพราะว่าพวกเขามีเวลาแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เพราะแค่มู่ซีเล่าเรื่องคร่าว ๆ ก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้วนั่นเอง 

 

 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ