นับตั้งแต่มู่ซีตกลงทำงานช่วยกลุ่มของเป้าซูอี้จัดทำบทละครก็ผ่านมาแล้วห้าวัน ในกลุ่มนี้มีจำนวนคนประมาณสิบคนพวกเขาแบ่งหน้าที่กันไปทำ โดยมีมู่ซีคอยตรวจความเรียบร้อยและบอกว่ามันจะต้องอารมณ์ประมาณไหน ตัวละคนไหนเป็นแบบไหน มู่ซีกับหลี่เยว่หรานไม่ต้องกลับบ้าน เพราะว่าทั้งคู่หลังจากวันนั้นก็เก็บเสื้อผ้ามาอยู่ชั่วคราวที่สำนักงานแห่งนี้
หากถามว่าไม่ห่วงยายหลานที่อยู่ในชนบทหรือแน่นอนว่าทั้งสองย่อมเป็นห่วง แต่ถ้าไม่รีบลงมือยิ่งต้องห่วงมากกว่าเดิม
ปินเสี่ยวจวนดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี ที่สำคัญในตอนแรกมีคนในกลุ่มไม่เชื่อว่ามู่ซีจะช่วยให้กลุ่มของพวกเขาชนะการแข่งขัน แต่พอได้มาทำงานด้วยกับเด็กน้อยความรู้สึกดูถูกก็หายไป กลายเป็นเทิดทูนมู่ซียิ่งกว่าเป้าซูอี้เสียอีก
เพราะว่ามู่ซีมีรายการอาหารแปลก ๆ มาสอนให้ปินเสี่ยวจวนทำได้ไม่เว้นแต่ละวัน พวกเขาทำงานหนัก ทำงานหลายชั่วโมง พอถึงเวลากินอาหาร มันจึงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยากลุ่มนักพากย์นี้ให้มีกำลังใจทำงานต่อไปได้
“โอ๊ย หอมมากพี่เสี่ยวจวน วันนี้มีอะไรกินเหรอทำไมกลิ่นมันหอมขนาดนี้” อู๋กังทนนั่งเขียนงานไม่ไหว รีบเดินเข้าไปในครัวที่มู่ซีกับเสี่ยวจวนกำลังทำอาหารมื้อกลางวันอยู่กันสองคน
“อากัง นายอู้งานเหรอ นี่อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาพักกินข้าว นายมาในห้องครัวทำไม” ปินเสี่ยวจวนในมือกำลังลวกเส้นบะหมี่ ปากก็บ่นให้รุ่นน้องอายุน้อยที่สุดของกลุ่มไปด้วย โดยมีมู่ซีนั่งหั่นผักกาดอยู่ระหว่างทั้งสองคน
“พี่เสี่ยวจวน ก็กลิ่นอาหารมันลอยออกไปถึงข้างนอกโน้น ผมก็เลยทนไม่ไหวนะสิ ว่าแต่พี่ทำอะไรเหรอ” อู๋กังเดินเข้าไปใกล้หม้ออาหารที่ปินเสี่ยวจวนกำลังทำอยู่อีกนิด ทั้งยังชะเง้อหน้ามองลงไปในหม้อด้วย
“พี่เสี่ยวจวน ทำบะหมี่หมูเด้งค่ะ”
มู่ซีเห็นว่าถ้าเธอไม่ตอบทั้งสองคงได้ทะเลาะกันอีกแน่ ผ่านมาห้าวันอู๋กังก็เป็นคนเดียวที่มาป่วนปินเสี่ยวจวนได้ทุกวัน
“บะหมี่หมูเด้ง อะไรคือหมูเด้ง ไม่เคยได้ยินมาก่อน” อู๋กังหันมามองหน้าเด็กหญิงแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หมูเด้งก็คือหมูที่เอาไปใส่ในบะหมี่แต่ว่ามันเด้งดึงดั๋งนะสิคะ หอมมากใช่ไหมถ้าได้ชิมจะติดใจแน่นอนค่ะ พี่เสี่ยวจวนเก่งมาก ซีซีบอกครั้งเดียวก็ทำได้เลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องการทำอาหารยกให้เสี่ยวจวนคนนี้” ปินเสี่ยวจวนยืดอกเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “แต่ว่า ตอนนี้นายกลับไปทำงานเลย ยังไม่ถึงเวลาพัก” ปินเสี่ยวจวนวางทัพพีที่ตักเส้นบะหมี่ไว้บนโต๊ะ
ก่อนจะดันหลังรุ่นน้องให้ออกไปจากห้องครัว แต่ยังไม่ทันถึงประตูก็ต้องหยุดฝีเท้า เพราะตรงด้านหน้าประตูห้องครัวมีคนยืนอยู่ตรงนั้นเต็มไปหมด
“หัวหน้าครับ หัวหน้าก็หอมกลิ่นอาหารใช่ไหม” อู๋กังเอ่ยถามยิ้ม ๆ
เป้าซูอี้ไม่ตอบ แต่เป็นเฉาอวี่ปินตอบคำถามแทน “เสี่ยวจวน วันนี้ทำอะไรเหรอ”
“บะหมี่หมูเด้งค่ะ แต่มันยังไม่เสร็จนะคะ” ปินเสี่ยวจวนเอ่ยตอบพลางทำหน้าสงสัย เพราะมันยังเหลือเวลาอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง ทำไมทุกคนถึงได้มารวมตัวกันแล้ว
“พอเร่งมือหน่อยได้ไหม” เป้าซูอี้เอ่ยถามเสียงเรียบ
“หัวหน้าจะให้พักกินข้าวก่อนเหรอคะ” ปินเสี่ยวจวนทำหน้าตกใจ
“ใช่ ถ้าพวกนี้ไม่ได้กินบะหมี่หมูเด้งอะไรนี้ รับรองได้ว่า งานไม่เดินแน่ พอจะเร่งมือได้ไหม” เป้าซูอี้ว่าให้ลูกน้องอย่างโมโหแต่ใบหน้ากลับขึ้นริ้วสีแดง
มู่ซีได้ยินอย่างนั้นก็เกือบกลั้นขำไม่ไหว ก่อนจะเป็นคนแก้สถานการณ์ตรงหน้า “สบายมากค่ะ พี่เสี่ยวจวน พวกเราก็ไปเร่งมือกันเถอะค่ะ”
“ได้ ๆ ขอเวลาสิบนาที” ปินเสี่ยวจวนรับคำแล้วก็หันหลังกลับไปทำงานบะหมี่ของตนเองตัว
มู่ซีเร่งหั่นผักกาดบนโต๊ะแต่พวกเขาไม่กลับไปทำงาน ทุกคนไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าว มีอู๋กังกับหูเหว่ยที่เข้ามาช่วยเสี่ยวจวนกับมู่ซีทำอาหาร
“แล้วจะมาในครัวทำไมเนี่ย” ปินเสี่ยวจวนบ่น
“ก็จะได้ช่วยทำไง จะได้เสร็จไว ๆ” หูเหว่ยเป็นคนตอบ ทำให้มู่ซีถึงกับไม่สามารถกลั้นขำไว้ได้ หัวเราะออกมาเต็มเสียงทันที
ไม่ถึงสิบนาทีบะหมี่หมูเด้งสูตรของมู่ซีก็ถูกยกไปบริการให้กับทุกคน ปรากฏว่ากลิ่นที่หอมกระเทียมเจียวว่าหอมมากแล้ว พอได้ชิมน้ำซุปบะหมี่กับหมูเด้งก็ถึงกับทำให้ทุกคนตาโตกันเลยทีเดียว
“เสี่ยวจวน ในครัวยังพอมีเหลืออีกไหม พี่อยากห่อไปให้เมียกับลูกพี่สักคนละห่อ” เฉาอวี่ปินเอ่ยถามขึ้น ปากก็ไม่ยอมให้พลาดการคีบบะหมี่เข้าปากไปด้วย
“ผมด้วย ผมขอหนึ่งห่อ” อู๋กังรีบเอ่ยปาก
“ถ้ายังพอมีเหลือ ฉันก็ขอด้วยนะ สามีฉันต้องชอบมากแน่ๆ” เป้าซูอี้ยังไม่เว้น
ปินเสี่ยวจวนได้ยินแบบนี้ก็หน้าเหวอไปเลย “นี่พี่ ๆ หัวหน้า ถึงกับขอห่อกลับบ้านเหรอคะ”
“เสี่ยวจวนมันอร่อยมากเลยนะ พี่กินบะหมี่หมูมาตั้งเกือบค่อนชีวิต แต่ว่าไม่มีบะหมี่หมูเด้งที่ว่านี้เลย แถมน้ำซุปก็หวานมากด้วย ทำยังไงน้ำซุปถึงหวานนะ” เฉาอวี่ปินถาม
“ยัยหนูซีซีบอกว่าถ้าเราใส่มะเขือเทศกับข้าวโพดลงไปเพิ่มจากหัวไชเท้าจะทำให้น้ำซุปหวานและหอมมากว่าเดิม แล้วก็หยดน้ำมันงาลงไปเล็กน้อย แค่นี้จริงๆ” ปินเสี่ยวจวนเฉลยคำถามของคนที่อยากรู้
“แล้วหมูนี่ละ ปกติเราจะได้กินเป็นหมูชิ้น แต่นี่มันเป็นหมูเป็นก้อน แล้วมันก็นุ่มมาก” อู๋กังตั้งข้อสังเกตบ้าง
“อ้อ ยัยหนูซีซีเรียกว่าหมูเด้ง สูตรและการทำฉันก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่มันมีวิธีการที่ค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย ถ้าจะทำกินบ่อย ๆ คงไม่ไหวเสียเวลามาก แต่เห็นว่าทุกคนทำงานกันได้ไว ยัยหนูซีซีจึงคิดว่าทุกคนควรได้รับรางวัล” ปินเสี่ยวจวนกล่าวยิ้ม ๆ
แต่ก่อนปินเสี่ยวจวนไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอาหารเพราะพวกเขาจะออกไปกินข้างนอก หรือบางทีก็ทำอาหารแต่มีเพียงเมนูเดิม ช่วงนี้เวลากระชั้นชิดทุกคนต่างเร่งงาน คนที่ทำอาหารเป็นและพอจะปลีกตัวออกมาได้คือปินเสี่ยวจวน กับมู่ซีที่เล่าเรื่องให้ทุกคนได้ปรับแก้จะออกมาช่วยงานในครัว
“ซีซี ตั้งแต่เธอมาทำงานกับพวกเรานี่ ฉันมีความสุขมาก ได้กินอาหารอร่อยทุกวันเลย” อู๋กังเอ่ยชมเด็กหญิงด้วยรอยยิ้ม
ทำให้ปินเสี่ยวจวนถึงกับเอากำปั้นตีหน้าผากเด็กรุ่นน้องสุดอย่างมันเขี้ยว “อากังให้มันน้อยหน่อย ชมแต่ยัยหนูซีซี ฉันนี่เป็นคนทำทั้งหมด”
“โธ่ พี่เสี่ยวจวน ก็ถ้ายัยหนูซีซีไม่บอกวิธีทำให้พี่ แล้วพี่จะทำได้ไหมเล่า ผมอยู่กับพี่มาตั้งกี่ปีแล้ว กินแต่อาหารเดิม ๆ จนหน้าผมจะเป็นข้าวผัดผักแล้ว” อู๋กังลูบหน้าผากตนเองปอย ๆ บ่นพึมพำเสียงเบา
เดือนร้อนให้เฉาอวี่ปินต้องเอ่ยห้าม “เอาน่า ทุกคนก็เก่งกันทั้งนั้น เสี่ยวจวนก็ทำอาหารดูแลพวกเราได้ดี ส่วนพวกนายทุกคนก็ทำงานได้ดีเช่นกัน เราเรียกว่าส่งเสริมกันและกันบทละครก็เดินไวอยู่ อีกไม่นานก็คงจะเสร็จ อาจจะเสร็จก่อนทีจะครบเดือนก็ได้”
“ว่าแต่ผมขออีกชามได้ไหมครับ” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ชดน้ำซุปบะหมี่คำสุดท้าย
“โอ้ อาเฟ่ย นายกินไวชะมัด” เพื่อนที่นั่งข้างกันเอ่ยเย้าขึ้น
“ไปตักเอาได้เลย มีเหลืออยู่” ปินเสี่ยวจวนบอกแต่ไม่ยอมลุกไปเติมให้เพื่อนร่วมงาน คนที่ชื่อว่าอาเฟ่ยจึงได้ลุกไปทำให้ตนเองอีกชาม
มู่ซีกินบะหมี่ของตนเองเงียบ ๆ ดูความวุ่นวายของกลุ่มนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข ทุกคนยังกินอาหารกันไม่อิ่ม ก็มีคนมาที่สำนักงาน เป็นผู้ช่วยของหนานกงเว่ยนั่นเอง
“ผมมาถูกเวลากินมื้อกลางวันของพวกคุณพอดีเลย” ผู้ช่วยของหนานกงเว่ยเอ่ยขึ้น พร้อมกับวางกระเป๋าเอกสารไว้ที่โต๊ะทำงานด้านนอก
“เฮอะ ฉันคงจะเชื่อว่านายไม่ได้ตั้งใจมาตอนพวกเรากินมื้อกลางวันหรอกนะ” เฉาอวี่ปินที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหนานกงช่วยเอ่ยขัด เพราะเขาสังเกตมาสองสามวันแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าสำนักงานมีอาหารกลางวันที่อร่อย หนานกงช่วยก็มักมาหามู่ซีเวลานี้ประจำ
“อวี่ปิน นายก็แขวะฉันได้ตลอดเลยสิ”
“ใครแขวะ ว่าแต่มาทำไม”
“มู่ซี วันนี้ฉันได้รายชื่อบ้านมาแล้วนะ บ่ายนี้ไปดูบ้านกันไหม” หนานกงช่วยไม่ได้ตอบคำถามของเฉาอวี่ปิน แต่หันไปบอกมู่ซีแทน
“จริงเหรอคะ ไปค่ะ” มู่ซีเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตนเองก็เงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่ และยิ้มรับอย่างไวเมื่อได้ยินคำบอกของหนานกงช่วย
“ฉันไปหาอะไรกินก่อนนะ กินเสร็จพวกเราก็ไปกันได้เลย” หนานกงช่วยเดินผ่านทุกคนไปยังห้องครัว แล้วเดินถือบะหมี่ออกมาชามหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้น
“นี่เป็นหมูอะไร ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“บะหมี่หมูเด้งค่ะ เป็นสูตรใหม่ที่พี่เสี่ยวจวนทำวันนี้ค่ะ” มู่ซีเป็นคนตอบ เพราะคนอื่นมัวแต่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างเดียว
“กลิ่นหอมมาก รสชาติก็ดี เสี่ยวจวนทำอาหารรสชาติเท่ากับร้านอาหารได้เลย” หนานกงช่วยเอ่ยชม พร้อมกับหันไปบอกเสี่ยวจวนด้วยน้ำเสียงสดใส
“ขอบคุณค่ะ ก็ได้ยัยหนูซีซีสอนทำนั่นเหละคะ”
ตอนบ่ายเป้าซูอี้บอกทุกคนว่ากินบะหมี่หมูเด้งเพิ่มพลังงานไปแล้วคนละสองชาม งานวันนี้ต้องได้มากเหมือนกับที่กินบะหมี่ด้วย ส่วนหนานกงช่วยกับมู่ซีก็ขับรถไปรับหลี่เยว่หรานเพื่อไปดูบ้านในเมืองที่เตรียมไว้ เถ้าแก่หนงเห็นว่างานไม่เยอะ จึงอนุญาตหลี่เยว่หรานไปดูบ้านกับมู่ซีได้
หลี่เยว่หรานบอกกับเถ้าแก่ว่าพรุ่งนี้เธอจะเข้างานชดเชยในช่วงเช้าแทน เพราะไม่ต้องกลับบ้านทุกวัน เธอจึงมีเวลาเหลือมากพอ เถ้าแก่ก็ตกลง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?