“เช่นนั้นข้า...ข้าจะเอาไปทิ้ง....ไม่ ไม่ ข้าจะไม่สัมผัสปิ่นนี้เด็ดขาด หากสัมผัสแล้วผีมันตามติดข้าแทน ข้าจะทำเช่นไรดีเจ้าคะคุณหนูใหญ่ หรือว่าข้าควรไปเชิญไต้ซือมาทำพิธีขับไล่ภูติผีให้ออกไปดี” เสี่ยวจูกระสับกระส่าย มองปิ่นปักผมอย่างหวาดระแวง
“อย่าเพิ่งบอกใคร เก็บไว้เป็นความลับของเจ้ากับข้า หากมันรู้ว่าเจ้าจะให้คนมาขับไล่มัน ก่อนที่จะมีใครมาทำพิธี มันคงโกรธแล้วมาหักคอเจ้ากับข้าเสียก่อน”
เจียงลี่มี่ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองไปที่ปิ่นปักผม ก่อนที่ดวงตาจะเหลือกขึ้น เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากบนล่างกระทบกัน ร่างกายเริ่มบิดเบี้ยว สองมือหงิกงอ เสี่ยวจูตกใจจนถอยไปอีกทาง น้ำตาไหลด้วยความกลัวสุดใจ ครั้นจะวิ่งไปให้ใครมาช่วยก็เป็นห่วงคุณหนูใหญ่ แต่เมื่อมองภาพตรงหน้าที่คอของคุณหนูของนางบิดไปมาซ้ายขวา ก็สะดุ้งตกใจ
“คะ...คะ...คุณหนู...ใหญ่...ทะ...ท่าน...อย่าล้อเล่นเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้ากลัว ฮือ ฮือ ฮือ” เสี่ยวจูร้องไห้ด้วยความกลัว ยิ่งเห็นร่างผอมแห้งค่อย ๆ ขยับกาย พลิกตัวนอนหงาย ยันแขนขาขึ้นคลานคล้ายแมงมุมก็ยิ่งตกใจจนขาอ่อนแรง ทรุดลงกับพื้น หลับตาปี๋
“เสี่ยวจู...เสี่ยวจูของข้า...ข้าหิว...หิวเหลือเกิน...อาหาร...นำอาหารมาให้ข้า” เสียงยานคางดังขึ้นใกล้หูของเสี่ยวจู ทำเอานางที่หลับตาอยู่สะดุ้งโหยง น้ำตาไหลพราก
“อย่า...อย่ากินข้าเลย...ข้าเนื้อตัวอ้วนเหมือนลูกหมู รสชาติไม่อร่อย หากหิวก็รอสักครู่ ข้าจะไปห้องครัวนำอาหารของคุณหนูใหญ่มาให้” เสี่ยวจูละล่ำละลักเอ่ยออกมาเสียงขาด ๆ หาย ๆ ร่างกายเกร็งไปหมด
“แล้วคุณหนูใหญ่ของเจ้าจะกินอะไร หากนำมาให้ข้ากินแล้ว”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นข้างใบหูขาวซีด เสี่ยวจูเนื้อตัวสั่นเทา หลับตาปี๋ คิดตามคำพูดของผี
ใช่ หากนางนำอาหารของคุณหนูใหญ่มาให้ผีตนนี้กิน แล้วคุณหนูใหญ่จะกินอะไร หรือจะเป็นส่วนของนางดี แต่ผีมันจะยอมกินเหรอ อาหารที่น้อยนิด และเป็นอาหารพื้น ๆ ไม่น่ากิน และที่สำคัญหากทำให้ผีไม่พอใจ มันจะหักแขนขาของนางหรือไม่
“ตอนนี้ผีอยู่ในร่างคุณหนูใหญ่ หากกินอาหาร คุณหนูใหญ่ก็อิ่มด้วย นั่นเท่ากับว่า ข้าทำประโยชน์ให้ทุกคน ไม่มีใครเสียเปรียบใคร ผีได้กินอาหาร ร่างกายคุณหนูใหญ่กินอาหาร คุณหนูใหญ่ก็อิ่ม”
เสี่ยวจูพูดออกมา ลืมกลัวไปชั่วขณะ ก่อนจะเผลอไปสบตาเหลือกขาวของผีตนนั้น ครั้นร่างตรงหน้าส่งยิ้มซีดเซียวคืนให้ นางก็ตกใจ ผวาถอยหลัง
“เมื่อสักครู่กลัวข้า ผ่านไปไม่กลัวข้า และก็กลับมากลัวข้า อารมณ์ของเจ้าแปรเปลี่ยนเร็วยิ่ง ราวสตรีสูงวัย”
เสี่ยวจูอ้าปากค้าง นี่นางกำลังโดนผีด่า?
“เจ้า...เจ้าผีปากร้าย” เจียงลี่มี่หัวเราะที่ได้แกล้งเสี่ยวจู ครั้นเห็นอีกฝ่ายเดี๋ยวหน้าแดง เดี๋ยวซีดขาว สลับไปมา ชักนึกสงสารจึงเลิกแกล้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวจูข้าล้อเล่น เลิกกลัวข้าได้แล้ว”
เสี่ยวจูมีสีหน้างุนงง ก่อนจะอ้าปากพะงาบ ๆ นี่นางถูกคุณหนูใหญ่รังแก?
“คุณหนูใหญ่แสดงได้แนบเนียนนัก ข้าดูไม่ออกเลยว่าท่านเป็นผีหรือคน”
เจียงลี่มี่หางตากระตุก เหมือนกำลังถูกด่าว่าตอนนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนผี แต่เมื่อเหลือบมองไปที่กระจกบานใหญ่ในห้อง ก็ต้องถอนหายใจ ใบหน้าขาวซีด ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก รูปร่างผอมแห้ง เบ้าตาลึกดำคล้ำ ยิ่งมีเส้นผมยาวยิ่งขับให้ดูน่ากลัว ที่เสี่ยวจูบอกว่าเธอเหมือนผีก็ใช่จริงๆ เจียงลี่มี่ต้องถอนหายใจยาว
“เอาเถอะ ความงามของข้า ไม่ว่าผู้ใดเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง ข้ารู้ตัวดี แต่ตอนนี้ข้าหิวแล้ว เจ้าไปนำอาหารมาเถอะ”
เสี่ยวจูยังคงสงสัย มองไปที่ปิ่นปักผมอย่างแคลงใจ “แล้วปิ่นปักผมนั่นมีผีจริงมั้ยเจ้าคะ”
เธอไม่ตอบอะไร เพียงยกมือขึ้นโบกไล่ให้เสี่ยวจูรีบไป
เจียงลี่มี่จ้องมองปิ่นปักผม ความทรงจำตอนที่เธอใกล้ตายเพราะยาพิษของเหมยฮวาบอกเธอว่า เหมยฮวามอบปิ่นนี้ให้เธอ ชีวิตนี้เหมยฮวาก็มอบปิ่นนี้ให้เธอ เรื่องราวคงดำเนินมาไกลแล้ว เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ข้ารู้สึกร้อนรุ่ม หายใจติดขัด เหมือนจะป่วย เกรงว่าจะเป็นเพราะปิ่นผีสิงนั่นเจ้าค่ะ” เจียงลี่มี่ชำเลืองมองเสี่ยวจู ก่อนจะหันไปรดน้ำต้นไม้ในห้องต่อ
“ปิ่นนี้อยู่ในห้องข้า เหตุใดเจ้าจึงป่วย ต้องเป็นข้าที่ป่วยไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูใหญ่ลืมไปแล้วกระมังเจ้าคะ ข้าอยู่ในห้องนี้กับท่านตลอด หากข้าไม่ป่วยจึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่ยามค่ำคืนข้าเห็นควันสีขาวจางลอยออกมาจากปิ่นนั่นจริง ๆ นะเจ้าคะ”
เจียงลี่มี่อมยิ้ม แผนของเธอกำลังดำเนินไป ควันสีขาวนั่นก็เป็นฝีมือของเธอ เพราะปิ่นปักผมที่เหมยฮวามอบให้นั้นทำมาจากไม้ที่มีพิษกัดกร่อน ยิ่งอยู่คู่กับต้นเหมยแดงยิ่งส่งผลร้ายแรง
หากเธอไม่กุเรื่องผีขึ้นมา การจะเก็บปิ่นไว้ไกลตัว ต้องถูกเสี่ยวจูถามไม่หยุด แผนของเธออาจสะดุดได้ เพราะที่ผ่านมาเธอทำเหมือนรักเอ็นดูเหมยฮวายิ่งนัก การจะนำของขวัญที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้ไปไว้ไกลตัว ย่อมเป็นที่น่าสงสัย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?