ตอนที่ 14 นายท่านช่วยข้าด้วย

“ใครรังแกเจ้า” เอ่ยถามเสียงเข้ม

หลี่ถิงถิงยืนตะลึงงันอย่างทําตัวไม่ถูกเมื่อสบสายตากับผู้บาดเจ็บที่นั่งหน้าตาเคร่งเครียดบนเตียง ในสมองทื่อๆ มีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามา ‘คนผู้นี้ต้องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่แน่แท้ เช่นนั้นเรื่องเบี้ยค่าตอบแทนที่ช่วยดูแลบาดแผล นางไม่ต้องการ...ขอพึ่งพาบารมีน่าจะดีที่สุด’ คิดได้ดังนั้นก็เดินปรี่ไปหาผู้บาดเจ็บแล้วคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมโขกศีรษะร่ำไห้วิงวอนขอความช่วยเหลือทันที

“นายท่านเจ้าค่ะ ช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”

น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝน ใบหน้าหลี่ถิงถิงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและโศกเศร้าทำให้มู่หรงเฉินเยี่ยนที่เห็นท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงต่อกรคนชั่วแล้วอดรู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมาไม่ได้ “ชาตินี้ข้าน้อยจะไม่ลืมบุญคุณชั่วชีวิตเจ้าค่ะ” พูดไปก็ร้องไห้เสียงดังราวกับจะขาดใจ

บรรยากาศหดหู่ขึ้นมาทันที มู่หรงเฉินเยี่ยนทั้งตกตะลึงและรู้สึกเวทนาสงสารอย่างที่สุด ในสมองคิดถึงวิธีการนับพันนับร้อยวิธีจึงนั่งเงียบไม่พูดไม่จาใดๆ ทว่ากิริยานี้ของเขากลับทำให้หลี่ถิงถิงกังวลใจเป็นอย่างยิ่งจนกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

“หากเป็น...” การรบกวนหรือทำให้นายท่านลำบาก ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ คือสิ่งที่หลี่ถิงถิงต้องการเอื้อนเอ่ย ไม่ง่ายเลยที่ผู้สูงศักดิ์จะยื่นมือยุ่มย่ามเรื่องเรือนหลังสามัญชนคนธรรมดา ทว่าถูกเสียงทุ้มนุ่มของเขาขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เด็กสาวกำพร้าจำต้องกลืนประโยคท้ายลงท้องไปพร้อมเบิกตาโตตื่นตกใจ คาดไม่ถึงผู้บาดเจ็บจะเปี่ยมเมตตาอีกทั้งใจห้าวหาญกล้ากระทำนอกกรอบจารีต ตอนนี้หลี่ถิงถิงรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไข่ตั้งอยู่บนศิลา ใจที่เคยห่อเหี่ยวกลับมาฮึกเหิม

“อืม! บอกความประสงค์ของเจ้ามา” มู่หรงเฉินเยี่ยนตระหนักดีแล้วเด็กสาวตรงหน้ามีบุญคุณไม่ต่างจากบุพการี ‘ชุบชีวิต’ ซ้ำร้ายลงทุนลงแรงซ่อนตัวเขาไว้ท่ามกลางอันตรายนางไม่สนใจแม้แต่น้อย เช่นนั้นเขาจะเมินเฉยก็เท่ากับคนเนรคุณ อีกหนึ่งเหตุผลหยดน้ำตาที่ไหลนองใบหน้าของนางสะท้านสะเทือนหัวอก มู่หรงเฉินเยี่ยนไม่ชอบเอาเสียเลย

“ทวงคืนทรัพย์สมบัติสกุลหลี่ ละและก็...” หลี่ถิงถิงยกหลังมือปาดเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อนแทบจะดูไม่ได้ นางสูดน้ำมูกใสหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ “ไปจากที่นี่เจ้าค่ะ”

มู่หรงเฉินเยี่ยนมองสภาพหลี่ถิงถิงแล้วอยากยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตาแต่ตอนนี้อาภรณ์ที่สวมใส่ยังเป็นผ้าหยาบซักจนซีดหนำซ้ำยังปะชุนห้าที่อีกด้วย ไม่รู้ผู้มีคุณไปหยิบยืมเสื้อผ้าอาภรณ์บุรุษจากไหน

“เล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟังอย่างละเอียด ห้ามปิดบัง!” กล่าวเสียงอ่อนโยนและเน้นย้ำประโยคสุดท้าย ไม่รู้เหมือนกันทำไมท่านอ๋องผิงหลิงถึงอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กสาวผู้นี้ อาจเพราะนางมีบุญคุณกับเขากระมัง

“ลุกขึ้น” ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้นางนั่งเก้าอี้ข้างเตียงตัวเดิม

หลี่ถิงถิงเล่าเรื่องราวความเป็นมาแต่ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าบิดามารดาโดนสองสามีภรรยาสกุลหลี่พลั้งมือสังหาร นางเลือกตั้งข้อสงสัยอย่างเฉลียวฉลาด เด็กสาวกำพร้าไม่ใช่คนเขลาดั่งผู้คนคิด เพียงเก็บงำประกายเพราะในอดีตชาติหลงเชื่อน้ำคำสองสามีภรรยาสกุลเหนียนจึงไม่เผยความสามารถ ปล่อยคนสกุลเหนียนชักจูงเหมือนโคกระบือ

ความเรียงที่เหนียนซูหยวนเขียนในการสอบคัดเลือกระดับมณฑลที่ผ่านมา เนื้อหาเฉียบคมดุดันกล่าวตำหนิขุนนางฉ้อฉลได้ตรงไปตรงมาส่งผลให้สอบผ่านนั้น แท้จริงจดจำและคัดลอกจากบทความที่หลี่ถิงถิงนั่งเขียนก่อนเข้านอน หากเทียบเปรียบแล้วหลี่ถิงถิงเหนือชั้นกว่าเหนียนซูหยวนที่เป็นบัณฑิตจวี่เหรินเสียอีก

กลับมาปัจจุบันมู่หรงเฉินเยี่ยนฟังจบแล้วรู้สึกเลือดทั้งกายไหลเวียนไปรวมกันอยู่ที่ศีรษะ คิดสงสัยอยู่ในใจ ‘นี่! เด็กสาวกำพร้าบิดามารดาต้องประสบพบเจอความลำบากยากเข็ญยิ่งกว่าผู้ใหญ่ นางอยู่รอดมาถึงปานนี้นับว่าฟ้าเมตตาคุ้มครอง’ อารมณ์ที่เดิมขุ่นมัวอยู่แล้วตอนนี้กลายเป็นเดือดดาลทว่ามิอาจแสดงออกไป

“ข้าจะช่วยทวงทรัพย์สมบัติและบ้านสกุลหลี่คืนแก่เจ้า” มู่หรงเฉินเยี่ยนกล่าวอย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยวพลางผินหน้าไปทางทิศเหนือ เพ่งสายตามองราวกับอยากทะลุกำแพงไปยังเรือนหลังข้างๆ ‘ที่แท้เรือนหลังนี้ก็เป็นของนางแต่เพราะสองผัวเมียอ้างบุญคุณ นางที่ตัวเปล่าเล่าเปียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพา ปรึกษาหารือใครไม่ได้จำต้องยกให้น้องชายภรรยาบัณฑิตเหนียนตามคำขอเหลวไหล’ อ๋องหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงราวกับพ่นความกลัดกลุ้มสายหนึ่งก่อนจะสอบถามเรื่องราวอีกหลายข้อสงสัย เขาไม่กล่าวโทษเด็กสาวกำพร้าสักนิด ชะตากรรมของนางรันทดอยู่แล้วหากจะโทษก็ต้องโทษผู้ใหญ่ที่กล้าเอาเปรียบได้แม้กระทั่งเด็ก

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ