“เจ้าค่ะ! เมืองการท่าเรือขนส่งสินค้าขึ้นฝั่งที่อำเภอหนิงเซี่ยเจ้าค่ะ” หลี่ถิงถิงพูดจาฉาดฉาน ท่าทางนบนอบทั้งเผยความภาคภูมิใจ หมู่บ้านหลี่เชี่ยนเป็นหนึ่งในสิบห้าหมู่บ้านของอำเภอหนิงเซี่ย แม้จะอยู่ห่างไกลที่สุด ความเจริญมาไม่ค่อยถึงทว่าก็คงภูมิใจอยู่ดี หนิงเซี่ยเป็นอำเภอเดียวที่มีขุนนางการท่าจากราชสำนักมาคอยตรวจตราเดือนละครั้งสองครั้ง เวลาใต้เท้าผู้นั้นเดินทางมักจะมาพร้อมขบวนยาวเหยียดและข้าวของบริจาค ชาวหนิงเซี่ยจึงชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
หลี่ถิงถิงในชาติที่แล้วดำรงชีวิตอยู่รอดเพราะข้าวสารที่ขุนนางการท่าตั้งกระโจมบริจาค นางจะพาเลี่ยเอ๋อร์ไปต่อแถวตั้งแต่ยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) ยิ่งนางมีลูกน้อยห้อยข้างยิ่งทำให้ขุนนางการท่าเวทนาสงสาร บางครั้งมอบเบี้ยร้อยอีแปะไว้ยังชีพ นึกคิดแล้วความโหยหาบุตรชายก็พรั่งพรูแผ่ซ่าน ‘เลี่ยเอ๋อร์! ชาตินี้แม่ไม่อาจให้เจ้ากำเนิดเกิดมา แม่ขอโทษ’ ร่ำร้องได้แค่ในใจทว่าน้ำตาก็คลอเบ้าใกล้ไกลหลั่งรินเต็มที
คนหนึ่งคิดถึงอดีตชาติ ส่วนอีกคนย่นคิ้วคิดวางแผน องครักษ์ที่คุ้มกันไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ในเมื่ออ๋องผิงหลิงหายตัวไปร่วมห้าวันเช่นนั้นแม่ทัพอู๋ซั่วแห่งเมืองผิงหลิงต้องเคลื่อนกำลังพลอย่างลับๆ ออกตามหาเป็นแน่ ‘อยู่ต้องเห็นตัว ตายต้องเห็นศพ’ แม่ทัพคนสนิทของเขาไม่ยอมรามือง่ายๆ แต่อ๋องหนุ่มจะทำอย่างไรบ่งชี้ตำแหน่งที่อยู่เล่า
“มีอะไรจะถามอีกหรือไม่เจ้าค่ะ”
หลี่ถิงถิงชะโงกหน้ามองรอยแยกแตกของผนัง เห็นแสงอาทิตย์แรงจ้าลอดผ่านเข้ามาพลันพบว่าเวลาไม่เช้าแล้ว นางยังต้องแวะหลายที่ หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการติดตามข่าวคราวบ้านสกุลเหนียนแห่งนี้ ไม่รู้นางเย่ซื่อที่วุ่นวายหลายวันมานี้จะเลือกสะใภ้จากสกุลไหนแต่งกับเหนียนซูหยวน
หลายวันมานี้หลี่ถิงถิงต้องคอยแก้สถานการณ์พลิกผันตลอด ด้วยเพราะเหนียนซูหยวนฉลาดเจ้าเล่ห์มองการไกล อนาคตไม่แน่นอนจะให้เขาหยุดที่สตรีอำเภอเทียนสุ่ยหรือ สตรีห้าสกุลในเมืองเทียนสุ่ยล้วนสูงศักดิ์กว่าเขาหนึ่งชนชั้น หากแต่งพวกนางบัณฑิตเหนียนจวี่เหรินราวกับเอาโซ่มัดคอตัวเอง อย่างไรเขาก็ต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวง
บุตรีขุนนางเมืองหลวงศักดิ์ศรีดีกว่าบุตรีขุนนางปลายแถวเมืองเทียนสุ่ยอยู่แล้ว ฉะนั้นมิสู้หมั้นหมายกับเด็กสาวกำพร้าสกุลหลี่ที่ไร้พันธะ จะสลัดทิ้งเมื่อไหร่นางที่โง่เขลาก็ไม่คิดไปเรียกร้องขอความเป็นธรรม เหนียนซูหยวนมองขาด...แต่มารดาของเขาไม่!
หลี่ถิงถิงไหว้วานควานสุนให้กระพือข่าวลือนิสัยละโมบโลภมากของเย่หลิงมารดาบัณฑิตเหนียนจวี่เหริน เพียงคุณหนูทั้งห้าสกุลรู้เข้า พวกนางย่อมมีวิธีจัดการ มานึกคิดตอนนี้เด็กสาวกำพร้าพลันนับถือเหนียนซูหยวน เขาฉลาดล้ำลึกเกินบัณฑิตบ้านนอกธรรมดาทั่วไป แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายประมาทคู่ต่อสู้เยี่ยงนาง
เหนียนซูหยวนลืมแล้วหรือไร...หลี่ถิงถิงก็เป็นบุตรีบัณฑิตหลี่ ชิ่วไฉสอบตกเหมือนบิดาของเขา ความเรียงอาถิงเขียนอ่านเป็น กาพย์กลอน พิณ หมาก นางชำนาญมากกว่าคุณหนูห้าสกุลแห่งเมืองเทียนสุ่ยด้วยซ้ำ แต่ที่เก็บงำความสามารถก็เพราะโดนบ้านเหนียนกดขี่เหยียบหัวไว้
“เดี๋ยว” สองเท้าหลี่ถิงถิงกำลังจะก้าวเดินออกจากเรือนทว่าถูกเสียงทุ้มรั้งไว้เสียก่อน
“เจ้าค่ะ” เด็กสาวกำพร้าเลิกคิ้วเอียงคอสงสัย ผู้บาดเจ็บต้องการสิ่งใด
“เห็นหยกพกตรงนั้นหรือไม่” ชี้ไปยังหยกสลักอักษรสองด้าน ด้านหนึ่งมีคำว่า ‘เฉิน’ อีกด้านมีคำว่า ‘เยี่ยน’ “เจ้าช่วยพกมันไปไหนมาไหนด้วยได้หรือไม่”
หลี่ถิงถิงรู้ความหมายทันทีทันใด ผู้บาดเจ็บกำลังจะให้นางชี้เป้า “หากมีคนมาถามไถ่...ให้ข้าบอกกล่าวอย่างไร” ท่าทางไม่หวาดหวั่นหรือตกใจทำให้มู่หรงเฉินเยี่ยนประหลาดใจอักโข หากเป็นเด็กสาวคนอื่นคงกลัวตัวสั่นไม่ยินยอมกระทำแน่นอน
“พยัคฆ์จำศีล” อ๋องหนุ่มหรี่ตาเอ่ยสั้นๆ เด็กสาวทำเพียงพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินจากไป ไม่ถามกลับสักประโยคเดียว หัวสมองมู่หรงเฉินเยี่ยนผุดคำถามมากมาย
นางรู้ความขนาดนี้ได้อย่างไร
นางเป็นใคร ทำไมถึงรู้วิธีส่งสาส์นของหน่วยอารักขาส่วนพระองค์
นางไม่กลัวเลยหรือ
ทุกคำถามคิดเท่าไหร่อ๋องหนุ่มก็หาคำตอบตอนนี้ไม่ได้ พระองค์มองรูรั่วที่มีแสงแดดส่องเข้ามาในตัวเรือน “ตัวคนเดียวทั้งยากจนขนาดนี้ น่าสงสารไม่น้อย” จู่ๆ ในหัวใจก็บังเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา
ผ่านไปอีกห้าวัน...
หลี่ถิงถิงยังคงมีวิถีชีวิตเดิมๆ ตื่นเช้าต้มยาต้มโจ๊ก เปลี่ยนผ้าพันแผล ปัญหาการเข้าสุขาของผู้บาดเจ็บช่วงห้าวันก่อนหน้าเริ่มดีขึ้น จากขับถ่ายบนเตียงจนกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว บุรุษผู้นั้นสามารถเดินเหินลุกนั่งได้เองแล้วทว่ายังไม่อาจให้เขาปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนบ้านกำแพงติดกัน
เด็กกำพร้าตัวน้อยซื้อกระโถนขับถ่ายแล้วเอาผ้าม่านหนาผืนใหญ่กั้นอยู่มุมห้องให้เขาทำธุระโดยเฉพาะ ความกังวลใจของนางลดลงไปเปลาะหนึ่ง แต่ปัญหาใหญ่ยังคงเป็นเรื่องที่เหนียนซูหยวนไม่ยอมตกลงปลงใจกับแม่สื่อห้าสกุลว่าจะเลือกใคร ใบหน้าที่เคยสดใสบัดนี้หลี่ถิงถิงเขม็งตึงเครียดอย่างยิ่ง เมื่อจู่ๆ นางเย่ซื่อที่หัวหมุนเกือบสิบวันก็เรียกหานางดังลั่นเรือน
“หลี่ถิงถิง หายหัวไปไหน มาหาข้าเดี๋ยวนี้”
หลี่ถิงถิงหันสบตามู่หรงเฉินเยี่ยนแวบหนึ่ง ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล ท่าทางลนลานทำตัวไม่ถูกฉุกให้ผู้บาดเจ็บที่นั่งบนเตียงขบคิด
‘นางกำลังกลัวสิ่งใด เสียงแหลมของสตรีผู้นั้นหรือ’
ร่างกายมู่หรงเฉินเยี่ยนแข็งแกร่งกำยำพอได้พักฟื้นดีๆ ก็สามารถคืนพละกำลังในเวลาสามถึงห้าวันเท่านั้น แต่เพราะสถานการณ์ที่อ๋องหนุ่มเผชิญอยู่ทำให้พระองค์ไม่กล้าผลีผลามย่างกรายออกไปไหน ทว่าตกกลางคืนตอนผู้มีคุณหลับใหลเขาก็สำรวจบ้านเรือนบ้าง
อ๋องหนุ่มรู้ว่าเรือนซอมซ่อตั้งติดกำแพงด้านหลังของเรือนบัณฑิตสกุลเหนียน ลักษณะเรือนรูปเกือกม้า มีเรือนปีกตะวันตกปีกตะวันออก ตรงกลางเป็นโถงรับรองแขกเหรื่อที่พักนี้สาวเท้ามาเยือนแทบทุกวัน ด้านหลังเป็นโรงครัว ถัดจากโรงครัวเป็นเรือนซอมซ่อของเด็กสาวกำพร้า เท่านี้ก็ทำให้พระองค์รู้ความสัมพันธ์แล้วว่า...ผู้มีคุณไม่ใช่เครือญาติสกุลเหนียน
เรือนฝั่งตะวันตกเป็นที่อยู่ของบัณฑิตเหนียนชิ่วไฉกับเจ้าของเสียงแหลมแสบหูที่แผดลั่นตอนนี้ ห้องเล็กที่มีสภาพดีกว่าเรือนซอมซ่อมีสาวใช้หนึ่งคนที่หลายวันก่อนจวนนายอำเภอจางมอบให้อยู่คอยปรนนิบัติดูแลครอบครัวนี้
เรือนฝั่งตะวันออกมีสามห้อง ห้องอ่านตำรา ห้องนอนและห้องดื่มชา สภาพห้องดีกว่าเรือนฝั่งตะวันตกและมีของตกแต่งประดับประดา ยากจะเชื่อว่าเป็นเรือนบัณฑิตเหนียนจวี่เหริน ผู้ที่พากเพียรบากบั่นกับการเตรียมตัวสอบข้าราชสำนัก ตามหลักควรสมถะทว่าเท่าที่ท่านอ๋องผิงหลิงสำรวจตรวจสอบ ‘ฟุ้งเฟ้อ’ ถึงกับอุทานคำนี้
บุตรที่ใช้ชีวิตดีกว่าบิดามารดาจะเรียกกตัญญูได้อย่างไร
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?