เรือนท้ายสกุลเหนียน
เสียงเปิดบานประตูและการปรากฏตัวของหลี่ถิงถิงทำให้มู่หรงเฉินเยี่ยนกับชุนฉินถอนหายใจโล่งอก ยิ้มอย่างดีใจทั้งนายทั้งบ่าว
ผู้เป็นนายโผล่เข้าหาหลี่ถิงถิงมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนบ่าวรินน้ำชาใส่ถ้วยยื่นส่งให้ดื่มแก้คอแห้ง เมื่อครู่คุณหนูหลี่ฟาดฝีปากกับคนนิสัยเสียกลุ่มนั้นเปลืองน้ำลายไปเยอะ
“นายท่านข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งวนในหัวใจ หลี่ถิงถิงรู้สึกละมุนละไมยามเวลามีคนคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเช่นนี้ถึงทำให้มีความสุขเปี่ยมล้นจนนางฉีกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หันไปผงกศีรษะให้ชุนฉิน
“คุณหนูหลี่นั่งก่อนขอรับ” ชุนฉินตบเก้าอี้เป็นการเชื้อเชิญ จากนั้นสาวเท้าเดินไปยังมุมโรงครัวเล็กหยิบขนมดอกท้อที่ท่านอ๋องบอกให้เขาแวะซื้อก่อนมาหมู่บ้านหลี่เชี่ยนจัดลงบนจานยกกลับมาวางบนโต๊ะตรงหน้าคุณหนูหลี่
หลี่ถิงถิงกินแล้วยังไม่ทันอิ่มก็เกิดเรื่องเสียก่อน พอเห็นขนมดอกท้อไม่คิดเกรงใจหยิบเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับทันที ชุนฉินรับหน้าที่รินน้ำชาให้ท่านอ๋อง คุณหนูหลี่และปิดท้ายด้วยตนเองก่อนจะเริ่มเปิดปากหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช้านี้
“คุณหนูหลี่! อย่าหาว่าข้าน้อยละลาบละล้วงเลยนะขอรับ” ชุนฉินเผยสีหน้าเป็นกังวล “เหนียนซูหยวนผู้นั้นมีมันสมองไม่ธรรมดา สามารถพลิกสถานการณ์จากเสียเปรียบกลายเป็นได้เปรียบแบบอีกฝ่ายเทียบชั้นไม่เห็นฝุ่น” พลันรู้ตัวเผลอเอ่ยถ้อยคำพาดพิงแม่นางน้อย ชุนฉินยกมือตบปากตัวเอง “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณหนูหลี่นะขอรับ” สายเงาข่าวยิ้มเผล่คล้ายรู้ความผิดตนเอง
มู่หรงเฉินเยี่ยนตวัดตาเขียวมองผู้ใต้บัญชาก่อนหันมาเอ่ยคำปลอบใจหลี่ถิงถิง “เจ้ายังอายุน้อยค่อยๆ สะสมประสบการณ์ไป” น้ำเสียงอ่อนโยนหากเปรียบตอนพูดคุยกับผู้ใต้บัญชาเรียกได้ว่าฟ้ากับเหว ดวงตาคู่คมที่ทอดมองหลี่ถิงถิงยิ่งแล้วใหญ่ทอประกายเอื้อเอ็นดูระคนห่วงใยจากใจจริง
ชุนฉินลอบมองท่าทางเจ้านายแล้วยิ้มมุมปากอย่างค่อยสบายใจขึ้น ‘มู่หรงเฉินเยี่ยนถูกหล่อหลอมตั้งแต่วัยแบเบาะจนเติบใหญ่ด้วยไฟแค้น อ๋องผิงหลิงเหมือนก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่เดินได้ บัดนี้มีแม่นางน้อยเป็นความอบอุ่นค่อยๆ ละลายน้ำแข็งช้าๆ’ สายเงาข่าวหนุ่มหวังว่าท่านอ๋องจะมีความสุข มีรอยยิ้มเช่นนี้ตลอดไป
“ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน” หลี่ถิงถิงผงกศีรษะน้อมรับคำปลอบโยน “แต่ที่พี่ เอ๊ย! ชุนฉินกล่าวมาก็ถูกนะเจ้าคะ” สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นขบคิดหนัก “ข้าประมาทบัณฑิตเหนียนจวี่เหรินมากไป” แววตามีความจริงจังแฝงอยู่ ท่าทางห่อเหี่ยวในทันใดไม่เหลือทีท่าร่าเริงอย่างเมื่อครู่อีก
มู่หรงเฉินเยี่ยนเห็นนางสลดเศร้าหมองพลันรู้สึกหดหู่ตาม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอ๋องผิงหลิงผู้เย็นชาถึงเหลวเป็นน้ำทุกทีเวลาเห็นเด็กสาวกำพร้าคนนี้ทุกข์ใจ ไยเวลานางเจ็บท่านอ๋องต้องเจ็บตาม เวลานางสุขพระองค์ก็ยกยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว หลายต่อหลายครั้งเหมือนสัญชาตญาณชี้นำอ๋องผิงหลิงต้องปกป้องคุ้มครองเด็กสาวผู้นี้ให้รอดพ้นเภทภัยที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิตของนาง ขจัดปัดเป่าอุปสรรคนานาอย่าให้ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา
เหมือนมีเส้นใยสายหนึ่งเกี่ยวกระวัดรันพันตูให้อ๋องผิงหลิงมู่หรงเฉินเยี่ยนต้องปฏิบัติเช่นนี้ อ๋องหนุ่มเคยตั้งคำถามตัวเอง ‘นางก็แค่ผู้มีพระคุณตอบแทนด้วยเบี้ยอัฐลาภยศคงเพียงพอ’ ทว่าพอคิดจะจากไปหัวใจท่านอ๋องเจ็บปวดเหมือนจะตายอย่างไรอย่างนั้น เรื่องราวน่าแปลกพิศวงงงงวย ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าแต่กลับคับคล้ายคับคลาราวกับเคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก่อน
อ๋องผิงหลิงมู่หรงเฉินเยี่ยนคงไม่รู้สิ่งนี้เรียกว่า ‘เศษเสี้ยวความรู้สึกที่ตกค้างมากับดวงจิตที่หวนชะตา’ เป็นดั่งคำสาปขององค์เทพยดากุมชะตามนุษย์ ผู้ใดใช้อายุขัยแลกกับพรอันวิเศษหมุนช่วงเวลาย้อนกลับ แม้นหวนชะตาสำเร็จคนผู้นั้นจะไร้ความทรงจำทว่าคงความรู้สึกให้เจ็บปวดรวดร้าว
กลับมาปัจจุบัน “วันพรุ่งต้องวางแผนให้รัดกุมกว่านี้นะขอรับคุณหนูหลี่” ชุนฉินเอ่ยเสียงดังอย่างกลัดกลุ้ม
เขาเห็นความสามารถในการพลิกลิ้นของเหนียนซูหยวนแล้วน่ากลัวไม่น้อย หากมาประชันขันแข่งกับพวกเขายังพอถูไถ แต่คู่ต่อสู้กับเป็นแม่นางน้อย ท่านตาท่านยายสกุลจ้าว ถึงแม้จะมีท่านน้าชายที่พอมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้างทว่ามิอาจเทียบชั้นกับบัณฑิตกลิ้งกลอกได้แม้แต่น้อย “นายท่านมีคำแนะนำไหมขอรับ” ชุนฉินหันไปขอความช่วยเหลือ
“อืม” มู่หรงเฉินเยี่ยนผงกศีรษะ เขาย่อมเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตั้งแต่เยาว์วัยสั่งสอนให้ท่านอ๋องต้องคอยพลิกแพลงแผนการดัดหลังพวกคนเลวอยู่เสมอ
“คนหน้าพระใจมารเช่นนี้...” บนใบหน้าอ๋องผิงหลิงปรากฏความเหยียดหยามออกมาให้เห็น พระองค์คลี่ยิ้มเยียบเย็น “เขาคิดตนเองเป็นพยัคฆ์ อนึ่งเพราะสอบผ่านระดับมณฑลเลยผยองพองขนเป็นธรรมดา” น้ำเสียงนิ่งสงบเสียจนทำให้ผู้ฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“วิธีจัดการมิได้ยาก...เพียงลวงให้เสือตกหลุม! ข้าก็อยากรู้นัก ลิ้นทองลิ้นเดียวจะสามารถพาคนทั้งครอบครัวหนีพ้นความผิดได้โดยคงความบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งดอกบัวขาวได้หรือ” แววตาดำสนิทราวกับหมึกดำแผ่ซ่านความอำมหิตออกมา
หลี่ถิงถิงได้ยินประโยคนี้แล้วหัวใจพลันสะท้านไหว นางจ้องมองนายท่านอย่างตกตะลึงอึ้งงัน ใบหน้าปรากฏความภาคภูมิใจอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่ มวลความอบอุ่นกระจุกรวมอยู่ที่ห้วงความรู้สึก อัดแน่นตรงทรวงอกจนบรรยายไม่ถูก พริบตานั้นหลี่ถิงถิงน้ำตาคลอเบ้า ภาพในอดีตชาติไหลหลั่งให้นางได้ทบทวนความทรงจำและเปรียบเทียบกับชาตินี้อีกครั้ง
ชาติที่แล้วหลี่ถิงถิงตัวเปล่าเล่าเปียวโดดเดี่ยวต่อสู้ฝ่าฟันกับปัญหาที่ดาหน้าเข้ามา อีกทั้งมีเรือพ่วงหนึ่งลำที่ต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่ เลี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กน้อยใสซื่อ เป็นผ้าขาวไร้สีสัน เด็กน้อยผู้เชื่อฟังมารดา คอยนั่งหน้าเรือนเฝ้ารอนับวันเวลาที่บิดาจะมารับตัวไปอยู่เมืองหลวง
หลี่ถิงถิงคิดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ ภาพเลี่ยเอ๋อร์ฉายขึ้นมาทีไร ขอบตาชื้นทุกที นางกะพริบตาไล่ไอน้ำออกช้าๆ แล้วเงยหน้าจดจ้องไปยังนายท่าน ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ
มู่หรงเฉินเยี่ยนปฏิกิริยาว่องไวกว่า เขาคาดเดาได้ว่านางคิดจะทำไร สองมือใหญ่คว้าไหล่เล็กเอาไว้ “ไม่ต้องขอบคุณข้า” รั้งเด็กสาวให้ยืนตัวตรง “เป็นสิ่งที่ข้าสมควรกระทำแล้ว” เขาติดหนี้บุญคุณหลี่ถิงถิงที่ช่วยให้ที่หลบภัยไหนจะทำแผลใส่ยาหาสำรับอาหารป้อนใส่ปากตอนได้รับบาดเจ็บหนัก บุญคุณของนางครั้งนี้เสมือนให้ท่านอ๋องได้เกิดใหม่ มันมากล้นท่วมท้นเกรงว่าชาตินี้คงชดใช้คืนไม่หมด
คำว่าบุญคุณสำหรับผู้สูงศักดิ์ท่านอื่นอาจตอบแทนด้วยเบี้ยอัฐเงินทองลาภยศ แต่บุญคุณของหลี่ถิงถิงที่มีอ๋องผิงหลิงนั้นเปรียบน้ำทะเลในมหาสมุทร ไม่มีวันเหือดแห้งเหือดหาย กาลเวลามิอาจลบเลือนความทรงจำบุญคุณครั้งนี้ ความดีของนางเหมือนตะปูตอกตรึงหัวใจมู่หรงเฉินเยี่ยนไว้หมดแล้ว
“ขอบคุณมากๆ เจ้าค่ะนายท่าน” และแล้วหลี่ถิงถิงก็สะกดกลั้นหยาดน้ำตาไว้ไม่ไหว หยดน้ำใสไหลรินจากสองคู่ดวงตา “รบกวนนายท่านแล้วเจ้าค่ะ”
สิ้นประโยคนี้เด็กสาวกำพร้ายืนร่ำไห้เงียบๆ โดยมีมือใหญ่ของนายท่านตบไหล่ปลอบใจอยู่ข้างๆ ความรู้สึกปลอดภัยแผ่ซ่านกระจายทั่วอณูความรู้สึก น้ำตาที่ไหลอยู่ค่อยๆ เหือดแห้งหายไป จากสลดเศร้าบรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นชื่นมื่นเมื่อนายท่านกับเด็กสาวกำพร้ายืนส่งยิ้มให้กัน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?