เรือนสกุลเหนียน
เป็นจริงดังคาดเพียงข่าวหมั้นหมายกระจายออกไป ตอนนี้แค่ยามซื่อ (09.00 – 10.59 น.) ก็มีพวกแม่สื่อจากจวนสกุลสูงศักดิ์ราวห้าคนทยอยมาเป็นแขกเรือนสกุลเหนียน โถงรับแขกแออัดไปด้วยฝูงชน ด้านหน้าเรือนก็จอแจไปด้วยชาวบ้านสอดรู้สอดเห็น
หลี่ถิงถิงเห็นสถานการณ์ชุลมุนแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความเย็นชา จ้องมองประตูด้านหน้าเรือนสกุลเหนียนด้วยสายตาสะใจ ‘ชาตินี้นางไม่มีวันตกหลุมพรางอีกแล้ว’ เพราะต้องเข้าพิธีแต่งงานและเข้าหอร่วมกับเหนียนซูหยวนจนตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุสิบห้าปีพลอยทำให้เด็กสาวกำพร้าสกุลหลี่จมปลักคิดฝากชีวิตกับผู้เป็นสามี
เขาต้องการเบี้ยเท่าไหร่เพียงเขียนจดหมายมาบอก นางก็เร่งมือขวนขวายหาให้ครบจำนวนแล้วส่งไป ในใจไม่เคยรู้สึกหอมหวานอบอุ่นละมุนใด หลี่ถิงถิงชาติที่แล้วอยู่ด้วยความหวังที่ว่าบุตรชาย เหนียนเลี่ย ต้องได้ดีเป็นขุนนางราชสำนักเพราะมีบิดาหนุนหลัง บิดาปูทางไว้ให้มีหรือบุตรชายจะไม่ได้ดี
แต่แล้วอย่างไรเล่า...คนที่ผลักนางกับเลี่ยเอ๋อร์ลงเหวนรกก็คือ เหนียนซูหยวนผู้เป็นบิดาและสามี คำพูดสุดท้ายที่นางถามมือสังหารก่อนตาย คำตอบยังคงดังกึกก้อง
“หากราชบุตรเขยไม่ชี้นำ พวกข้าจะมายังหมู่บ้านเล็กๆ นี่ถูกได้อย่างไร พวกข้าจะเจาะจงมุ่งตรงมาบ้านสกุลเหนียนได้อย่างไร ความจริงคนของทางการต้องเข้าพักจวนนายอำเภอ ในเมื่อเจ้าจะตายอยู่รอมร่อแล้วข้าจะบอกอะไรให้...นายอำเภอจางไม่รู้เรื่องการมาของพวกข้า เพราะเขากำลังยุ่งงานรับขวัญหลานชายคนแรก และหากไม่ใช่เพราะราชบุตรเขยเหนียนเป็นผู้มีบัญชาอนุญาตพวกข้าหรือจะกล้าฆ่าล้างหมู่บ้านเยี่ยงนี้ น่าขันนัก! หินรองบาทผ่านทางเยี่ยงเจ้าจะร่ำร้องขอความเป็นธรรมอะไร ขยะไร้ค่า!”
ยิ่งรำลึกย้อนอดีตเท่าไหร่เล็บยาวจิกลึกลงกลางฝ่ามือซีด กล้ามเนื้อของหลี่ถิงถิงทุกตารางนิ้วอัดแน่นไปด้วยไฟแค้น ชาตินี้นางปณิธานไว้แล้ว ‘หากเหนียนซูหยวนไม่ระรานรังควานนาง นางก็จักกลบความแค้นฝังลงดิน แต่ถ้าเขายังแว้งกัดไม่ปล่อย นางจะไม่ละเว้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือดล้างด้วยเลือด’
หลี่ถิงถิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง หัวใจแม้นรู้สึกแค้นเคืองมากเท่าไหร่แต่ต้องข่มกลั้นเอาไว้ นางคลายมือที่กำแน่นจากนั้นเลี่ยงสายตาชาวบ้านเดินอ้อมไปด้านหลังเรือนสกุลเหนียน เหลือบซ้ายแลขวาไม่มีคนย่างกรายอยู่แถวนี้ นางย่อตัวคลานลอดช่องสุนัขใช้เดินผ่านขนาดรูเท่าตัวเด็กน้อยตรงกำแพง เด็กกำพร้าสกุลหลี่ใช้เส้นทางหมาลอดทางนี้คอยวิ่งไปซื้อขนมด้านนอกเวลาถูกนางเย่ซื่อสั่งทำโทษอดอาหาร คราวนี้นับว่าได้ประโยชน์จากช่องนี้มหาศาล เงินพันตำลึงสามารถทำให้นางหลุดพ้นจากสกุลเหนียนและตั้งตัวทำมาค้าขาย
หลี่ถิงถิงปีนเข้าเรือนซอมซ่ออย่างคล่องแคล่ว ไม่มีอาการตื่นตระหนกตกใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เปรอะเปื้อนเลือดนอนสลบเหมือดใต้เตียงเล็ก ใบหน้าบุรุษผู้นั้นซีดขาว ตัวร้อนดั่งไฟ “ข้าคงไม่ได้มาช้าไปหรอกนะ” บ่นพึมพำอย่างอดไม่ได้ หากมีคนมาตายในเรือนซอมซ่อก็เท่ากับนางต้องโดนขับไล่ ทรัพย์สมบัติก็ทวงคืนไม่ได้ สิ้นไร้อนาคตกลายเป็นขอทานเร่ร่อนแน่แท้แล้ว
“อึบ!”
สองมือเล็กเอื้อมไปลากร่างสูงใหญ่ออกมาจากใต้เตียง อีกฝ่ายคงสลบไสลไม่ได้สติ ร่างกายอ่อนเปลี้ยทว่ารูปร่างที่ต่างกันเกินไปทำให้เกิดอุปสรรค หลี่ถิงถิงผอมจนหนังหุ้มกระดูก ส่วนบุรุษอาภรณ์ผ้าไหมสีม่วงก็ตัวใหญ่ยักษ์เกินอายุ
ใช่เวลาครึ่งชั่วยาม เด็กกำพร้าสกุลหลี่ถึงทำสำเร็จ นางหอบหายใจแสนเหน็ดเหนื่อย “เจ้ากินหมูทั้งตัวหรือไร ทำไมหนักปานนี้” ใช้มือตีไปยังแผ่นอกแกร่งหนึ่งที หารู้ไม่ฝ่ามือนี้ของตนสะกิดให้ผู้บาดเจ็บรู้สึกตัว
มู่หรงเฉินเยี่ยนฉลาดหัวไว เขาปรือตาสำรวจก่อนว่าตนตกอยู่ในสภาพการณ์ใด เมื่อเห็นเพียงเด็กสาวผอมแห้งคนหนึ่งกำลังกุลีกุจอยกอ่างน้ำพร้อมผ้าขาว ท่าทางลับๆ ล่อๆ ลุกลี้ลุกลนแต่ไม่มีรังสีสังหารล้อมกาย เท่านี้เขาก็มองออกแล้ว ‘นางตั้งใจช่วยมิใช่นักฆ่า’ อีกทั้งไม่สนใจด้วยว่าเด็กสาวจะถอดอาภรณ์สวมกายออกจนเหลือกางเกงชั้นในตัวเดียว
เพื่อความหวังจะอยู่รอดแล้วกลับไปแก้แค้น อ๋องต่างสกุลผู้นี้ไม่แยแสหากร่างกายดุจทองคำของตนโดนลูบไล้หรือต้องเปลือยกายต่อหน้าอิสตรี กระทั่งถ้าวันหน้าเด็กสาวผู้นี้เรียกร้องตำแหน่งอนุชายา เขาก็พร้อมประทานพระยศให้ ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไม่ต่างอะไรจากมารดาผู้ให้กำเนิด
“เจ้าจะกินยาอย่างไรละ” หลี่ถิงถิงไม่รู้ผู้เคราะห์ร้ายฟื้นคืนสติแล้ว นางเช็ดปากพูดอย่างหงุดหงิด “ข้าไม่เอาปากป้อนยาเหมือนนิยายประโลมโลกเขียนหรอกนะ” คำพูดของนางดังเข้าหูผู้บาดเจ็บทั้งหมด
มู่หรงเฉินเยี่ยนนึกขันในใจทว่าพริบตาต่อมากลับตกตะลึง เด็กสาวผู้นี้ที่เขาลอบปรือตาสำรวจ ประเมินคร่าวๆ อายุไม่น่าจะถึงสิบสี่สิบห้าหนำซ้ำยังเป็นบุตรีชาวบ้านยากจน ดูจากเรือนหลังนี้ความเป็นอยู่คงลำบากยากเข็ญเป็นแน่ ‘แต่นางรู้ตัวอักษร นางอ่านหนังสือเป็น’ ช่างเปิดหูเปิดตาโดยแท้
หลี่ถิงถิงลากบุรุษเคราะห์ร้ายนอนบนเตียงหลังเล็กของตน ถอดเสื้อคลุมที่เปรอะเปื้อนตัวเลือดสีแดงที่เริ่มเกรอะกรังจับตัวแข็งติดอาภรณ์ออก ใช้ผ้าขาวชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดร่างกาย มองดูบาดแผลออกสีแดงไม่ดำคล้ำพลางสบถหนึ่งคำ “ไม่มีพิษ” นางโรยผงสมานแผลลงไป
“ซี้ด” ความเจ็บแสบทำให้มู่หรงเฉินเยี่ยนไม่อาจแสร้งหมดสติได้อีกต่อไป เขากัดฟันกรามแน่นคำรามในลำคอจนเส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปนเผยร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวมหาศาล
“กัดๆ ผ้านี่ไว้” หลี่ถิงถิงตกตะลึงครู่ใหญ่ที่บุรุษผู้นี้ตื่นขึ้นมา พอตั้งสติได้ก็ยัดผ้าหนึ่งก้อนใส่ปากเขา
“อย่าเสียงดังนะ! ไม่เช่นนั้นชาวบ้านแถวนี้จะรู้ว่าเจ้าอยู่นี่” ตะลีตาลานเอ่ยเสียงเข้ม แผนการของตนห้ามล้มเหลวเป็นอันขาด ขาทองคำคนนี้บาดแผลต้องหายและต้องประทานรางวัลพันตำลึงให้นางผู้เดียวไม่แบ่งใคร
มู่หรงเฉินเยี่ยนพยักหน้าเข้าใจแล้วจากนั้นใช้มือขยุ้มผ้าปูที่นอนแทนการเปล่งเสียงคำราม และกัดก้อนผ้าขาวที่หญิงสาวยัดใส่ปาก ข่มกลั้นความเจ็บปวดจนกล้ามเนื้อทั้งร่างแข็งเกร็ง
“ทนอีกนิด ยาหมอเฒ่าแสบแผลแต่ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมนัก ชาติที่แล้ว...” หลี่ถิงถิงหลุดปากพลันตาเบิกกว้างเปลี่ยนเรื่องทันที
นางกำลังจะเอ่ยว่าชาติที่แล้วบุตรชายของนางตกเกวียนลาลากเพราะซุกซนอยู่ไม่นิ่ง บาดแผลทั่วกายทั้งฟกช้ำทั้งแผลสด แผลถลอก ก็ได้ยาขวดขาวหมอเฒ่านี่แหละที่รักษาจนหาย ชาติก่อนนางแลกยามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ไปทำความสะอาดโรงหมอทุกวัน เด็กสาวกำพร้าสะบัดหน้าพรืดแล้วรวบรวมสติก่อนเอ่ยต่อ
“แผลของเจ้าลึกเข้าเนื้อ จะเจ็บมากหน่อย”
มู่หรงเฉินเยี่ยนย่อมกระจ่างทุกเรื่องที่นางกล่าว เท่านี้ก็ดีมากสำหรับเขาแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นคงลากร่างไปทิ้งข้างทางไม่อยากข้องแวะแต่เด็กสาวคนนี้ใจกล้าหาญไม่หวั่นเกรงใดๆ บุญคุณครั้งนี้ยากนักจะตอบแทนหมดสิ้น ทว่าพอความเจ็บแสบเริ่มคลาย ดวงตาที่เคยพร่าเลือนกลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง เขาเพ่งพินิจผู้มีคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าจิตใจพลันสั่นไหว ‘ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคย’ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนี้ ร่างกายเล็กผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกนี้ ดวงตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวคู่นี้ ไยทำให้หัวใจโหยหาเยี่ยงนี้
ราวกับเคยเจอกันมาก่อน
ราวกับรู้จักมักคุ้นมาก่อน
ราวกับเคยเห็นเคยประสบพบเจอมาก่อน
ราวกับเคยเฝ้ามองสตรีผู้มีคุณคนนี้มาก่อนอย่างยาวนาน
จู่ๆ ความอาลัยอาวรณ์ ความคิดถึงคะนึงหาโถมทะลักอย่างบ้าคลั่งในหัวอก อ๋องหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเพียงมองใบหน้าผู้มีคุณกลับเกิดความรู้สึกรุนแรงมากมาย
‘นางเป็นใคร’
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?