กลับมาปัจจุบันหลี่ถิงถิงก้าวข้ามธรณีประตูห้องโถงเข้ามาทันเห็นสายตากักขฬะของเหนียนเฮยผีใช้มองเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางที่คุกเข่าบนพื้นเย็นเยียบ นางถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยระอา นี่เป็นเหตุผลไฉนเด็กสาวกำพร้าสกุลหลี่ไม่ค่อยอาบน้ำปล่อยเนื้อตัวมอมแมมเปื้อนฝุ่นควัน บัณฑิตสอบตกเหนียนชิ่วไฉมีนิสัยมักมากในกามคุณ
เคยประสบกับตัวเองครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็สร้างกำแพงล้อมรอบป้องกันตัวเอง เหนียนเฮยผีเคยย่องไปเรือนซอมซ่อตอนกลางดึก ความตั้งใจย่อมไม่ใช่เยี่ยมเยือนดังเจ้าบ้านทำกับผู้อาศัยเพราะเปิดประตูได้บัณฑิตสอบตกก็ทะยานตะคลุบเหยื่อบนเตียงทันที โชคดีที่หลี่ถิงถิงไหวตัวทัน ลุกขึ้นมาก่อนแล้วหนีออกทางหน้าต่าง ยืนหอบหายใจมองเจตนาการมาของเหนียนเฮยผีจนแน่ใจก็ออกตัววิ่งไปเรือนป้าลิ่วไม่หันกลับหลัง
แต่ผลสุดท้ายเล่า...นางเย่ซื่อรู้เรื่องเข้ากลับโทษหลี่ถิงถิงทำตัวแตกตื่นวุ่นวาย นายท่านเหนียนเพียงเข้าไปสอบถามอาการป่วยไข้ไม่ได้ตั้งใจไปทำมิดีมิร้าย ย้อนทบทวนอดีตชาติแล้วน่าขันยิ่ง ทว่าชาตินี้หลี่ถิงถิงไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นอีก
“กว่าจะมาได้ ต้องให้เง๊กเซียนทูลอัญเชิญหรือไร” นางเย่ซื่อตะคอกเสียงดัง หน้าตาแดงก่ำแสดงว่ากำลังโกรธจัด “มาแล้วยังจะชักช้าอะไรอยู่ นั่งสิ” เย่หลิงพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ ท่าทางฉุนเฉียว
“ไม่รู้รึ พักนี้เรือนเหนียนต้องรับแขก มัวแต่นอนป่วยอยู่นั่นแหละ! ไม่คิดลุกขึ้นมาช่วยข้าต้อนรับขับสู้เหล่าแม่สื่อเสียบ้าง” บ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเชิงว่ากล่าวตำหนิ
“ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ” ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงใจหลี่ถิงถิงเต็มๆ
‘ใครเลี้ยงใครกันแน่’ หลี่ถิงถิงเถียงนางเย่ซื่อในใจไม่อาจโพล่งออกไปโต่งๆ “ข้าป่วยเจ้าค่ะ” หลุบเปลือกตาซ่อนความแค้น กำมือจนแน่น เม้มปากไม่พูดต่ออีก
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม โง่แบบนี้อย่างไรเล่า...ถึงไม่เหมาะสมกับหยวนเอ๋อร์ของข้า” นางเย่ซื่อเห็นหลี่ถิงถิงเคลื่อนไหวชักช้าพลันตะคอกเสียงขุ่น ในสายตานางตอนนี้เด็กสาวตรงหน้าเป็นขยะไร้ค่าสู้คุณหนูจวนขุนนางไม่ได้ ไม่รู้ทำไมหยวนเอ๋อร์ถึงได้อาลัยอาวรณ์หนักหนา
ความคิดของผู้เป็นมารดาง่ายแสนง่าย บุตรชายแต่งคุณหนูจวนนายอำเภอ วันหน้าต้องได้สืบทอดตำแหน่งนายอำเภอ ทว่าความคิดผู้เป็นบุตรชายกว้างไกลกว่ามารดาหลายลี้ แต่งตอนนี้มีอนาคตแค่นายอำเภอ แต่ถ้ารอคอยจนสอบเคอจวี่ที่เมืองหลวงไม่แน่ตำแหน่งใหญ่อาจเป็นของเขา
แผนการของเหนียนซูหยวน นางเย่ซื่อไม่เข้าใจแน่นอนแต่เหนียนเฮยผีมองทะลุปรุโปร่ง แต่นิสัยบิดามีอย่างหนึ่ง กินอิ่มหนำมื้อนี้ก็พึงพอใจดีกว่าล้างท้องไว้รอกินมื้อหน้า เขาเลยคล้อยตามเย่ซื่อทุกคำ
“แล้วหายดีหรือยัง”
เหนียนเฮยผีเหลือบตามองหลี่ถิงถิงครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายผอมแห้งเนื้อตัวมอมแมมดังเดิมจึงถามมารยาท แสร้งทำเป็นนายท่านแสนดีต่อหน้าสาวใช้คนใหม่
“อาถิงกินยาบ้างหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนแลดูเมตตาปรานีดังผู้อาวุโสปฏิบัติต่อผู้เยาว์
“เจ้าค่ะ” หลี่ถิงถิงเสียงสั่นเล็กน้อย นางไม่กล้าสบตาเหนียนเฮยผีเลยจึงเอาแต่ก้มหน้าตอบ
“ท่านพี่ อย่าสนใจเลยเจ้าค่ะ” นางเย่ซื่อเบะปาก จากนั้นเข้าเรื่องที่เรียกเถาวัลย์ต้นนี้เข้าห้องโถงมา ใจจริงแล้วนางไม่อยากให้หลี่ถิงถิงโผล่หน้ามาพบเจอผู้คนเลยด้วยซ้ำ ‘ป่วยตายไปเสียก็ดี’ ไม่ลืมก่นด่าสาปแช่งในใจหนึ่งประโยค
“ฮือ” เหนียนเฮยผีคำรามลากเสียงในลำคอปรามภรรยาที่แสดงกิริยาไร้น้ำใจทั้งชักสีหน้าใส่นางหนึ่งครั้งเป็นการเตือน ‘ที่นี่! ไม่ได้มีแต่พวกเราอาศัยอยู่เหมือนเมื่อก่อน หัดกวาดตามองรอบๆ บ้าง’ ข่มขู่คู่ชีวิตทางสายตา การที่จวนนายอำเภอส่งสาวใช้มาปรนนิบัติเรือนสกุลเหนียน สาเหตุเดียวคือเฝ้าจับตา ไม่ใช่ความใจดีอะไรเทือกนั้นเป็นแน่ ผู้เป็นสามีอ่านแผนคุณหนูนายอำเภอจางออก บุตรชายก็กระจ่างใจ ยกเว้นเสียแต่นางเย่ซื่อที่ลำพองคิดเพ้อฝันว่าฝ่ายนั้นให้เกียรติ
นางเย่ซื่อโดนสามีตำหนิติติงพลันหน้าย่ำแย่ตวัดตาเขียวมองหลี่ถิงถิงทั้งพ่นลมหายใจแรงๆ ใส่นางหนึ่งคำรบ “ตัวอัปมงคล” พึมพำเสียงเบาทว่ากลับได้ยินทั่วห้องโถง
หลี่ถิงถิงพยายามอดกลั้นทุกความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างสุดแรง มือเล็กกำชายเสื้อไว้แน่นขนัด ก้มหน้าลงต่ำไม่ให้ใครได้เห็นไฟโทสะที่ลุกโชนในดวงตา นางตั้งใจแสร้งทำท่าทางขลาดเขลาดังเก่าก่อนไม่เผยพิรุธว่าตนซ่อนแผนการหลุดพ้นบ่วงกรรมจากเรือนเหนียน
เหนียนเฮยผีถอนหายใจรู้สึกเบื่อหน่ายพฤติกรรมของนางเย่ซื่อเหลือจะกล่าว หากว่าไม่ติดหนี้บุญคุณท่านพ่อตาท่านแม่ยายแล้วละก็คงฟ้องศาลเจ้าเมืองเทียนสุ่ยขับไล่นางออกจากสกุลหย่าขาดกันไป เขาคงไม่อดทนอดกลั้นอยู่กับสตรีอารมณ์ร้อน ใจอำมหิต หักหลังกระทั่งสหายที่เติบโตมาด้วยกัน นึกคิดแล้วความสงสารพรั่งพรู ดวงตาเหลือบมองหลี่ถิงถิงครู่หนึ่ง
‘เย่หลิงเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับจ้าวหง มารดาของเด็กสาวกำพร้าสกุลหลี่’
เหนียนเฮยผีสะบัดพรืดลบเลือนความผิดบาปในใจ เหตุที่ร่วมกันก่อในวันวานเขาขอกลบฝังลงดินไม่คิดขุดคุ้ยขึ้นมาอีก เขาคลี่ยิ้มกว้างเปลี่ยนบรรยากาศอันเดือดระอุให้ผ่อนคลาย
“ลุงเรียกหลานมาเพราะอยากให้รู้จักกันไว้” ผายมือตรงไปยังสาวใช้ที่คุกเข่าเบื้องล่าง “นี่! อาถิง เด็กกำพร้าที่ข้าเลี้ยงดูไว้ในเรือน...นางเปรียบเหมือนบุตรสาวของข้า” น้ำเสียงอ่อนหวาน ดวงตาฉ่ำเยิ้มยามมองสาวใช้ตัวน้อย
คำพูดนี้ปักเข้าไปในอกหลี่ถิงถิงพอดีจนนางอยากสำรอกอาเจียน ‘บุตรสาวของข้า ใครอยากเป็นบุตรของคนมักมากอย่างเจ้ากัน’ ความเกลียดชังที่มีต่อสามีภรรยาสกุลเหนียนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางรีบกักเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้วเงยหน้าอมยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ข้าหลี่ถิงถิง เจ้าเล่ามีนามว่ากระไร” เสียงเนิบนาบแผ่วนุ่มเหมือนคนป่วยไข้
“เสี่ยวถานเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยจ้องหลี่ถิงถิงเขม็ง ท่าทางเผยความเป็นอริชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด
หลี่ถิงถิงลอบแค่นหัวเราะเย็นชา เหนียนเฮยผีกับเย่หลิงมองไม่ออกหรือไรว่าคุณหนูใหญ่จางเหรินมอบเสี่ยวถานให้เรือนสกุลเหนียนทำไม...เจตนาร้ายแจ่มแจ้งปานนี้ยังรับไว้อีก ‘ข้าต้องเตรียมตั้งรับแล้ว’ ลางไม่ดีกระตุ้นเตือนไม่หยุดเพียงสบตากับเสี่ยวถาน
สนทนากันอีกสองสามประโยค นางเย่ซื่อก็ไล่หลี่ถิงถิงกลับเรือนซอมซ่อทั้งกำชับกำชาห้ามเยี่ยมหน้ามาฝั่งทางนี้เป็นอันขาด
‘ข้าก็ไม่คิดมาอยู่แล้ว’ หลี่ถิงถิงภายนอกรับปากหนักแน่น ซ้ำแสร้งไอโขลกจนน้ำลายสาดกระเซ็น นางเย่ซื่อยิ่งไล่ออกไปให้ไกลๆ เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง
หลี่ถิงถิงสับเท้าวิ่งกลับเรือน พอปิดประตูก็ยกมือขึ้นมากรีดร้องด้วยความโล่งอกโล่งใจ ขาไปคล้ายนางแบกก้อนหินหนักอึ้ง ขากลับช่างเบาสบายเสียนี่กระไร ความดีใจจู่โจมฉันพลันจนลืมเลือนไปว่าในเรือนนอนมีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ หยาดน้ำตาของนางไหลรินอาบหน้าโดยไม่รู้ตัว “ดี” เด็กสาวกำพร้าเอ่ยคำนี้ซ้ำๆ ส่วนมู่หรงเฉินเยี่ยนที่นั่งมองอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของผู้มีคุณพลันขมวดคิ้วแน่น
“ใครรังแกเจ้า” เอ่ยถามเสียงเข้ม
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?