ตอนที่
1 หวนคืน
ตามจิตสำนึกของมนุษย์ เมื่อเคยกระทำความผิดพลาดครั้งใหญ่
ผู้แยกแยะชั่วดีจะไม่ยอมประพฤติผิดอีก!
เป็นครั้งที่สอง หลี่ถิงถิงก็เช่นกัน จะไม่เลือกเดินเส้นทางเดิมอีกแล้ว...
เมืองเทียนสุ่ย
ตลาดกลางเมืองเสียงแม่ค้าพ่อขายแข่งกันเรียกลูกค้ากันจ้าระหวั่น ความคึกคักผู้คนพลุ่งพล่านออกจากบ้านเรือนจับจ่ายใช้สอยแทบตลอดเวลาในช่วงกลางวัน
ที่นี่คือเทียนสุ่ยเป็นชื่อเมืองหนึ่งของแคว้นต้าเสี่ยนตั้งอยู่ถัดจากเมืองชายแดนทิศใต้
ห่างจากเมืองหลวงวัดจากระยะทางเดินเท้าสิบห้าวัน
ชาวเมืองเทียนสุ่ยส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
การปกครองแยกย่อยสามอำเภอ สิบห้าหมู่บ้าน ทั้งนี้เมืองเทียนสุ่ยที่มีแม่น้ำผ่ากลางเมืองกลายเป็นจุดการค้าทางน้ำทำให้ตลาดกลางเมืองมีเหล่าบรรดาผู้คนต่างถิ่นมาเที่ยวชมมากหน้าหลายตา
กลุ่มบุรุษราวสิบกว่าคนกำลังเดินแหวกผู้คนมุ่งหน้าไปท่าเรือ
หนึ่งในนั้นสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีม่วงปักดิ้นเงินลวดลายเมฆา สีม่วงสีประจำเชื้อพระวงศ์
สีต้องห้ามสำหรับแคว้นต้าเสี่ยน
ฉะนั้นผู้คนจึงหลีกทางให้กลุ่มคนผู้นี้เดินได้สะดวก
บุรุษใบหน้าหล่อเหลาทว่าเย็นชาและดูดุดันไม่น่าเข้าหา รูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสัน
องอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก
สามัญชนทั่วไปมองปราดเดียวย่อมดูออกว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์
“ท่านอ๋อง! เรือจวิ้นอ๋องจอดรออยู่ท่าเรือด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษสวมใส่ชุดองครักษ์ก้าวประชิดโน้มกายกระซิบบอกผู้เป็นนาย
“ฮึ”
บุรุษในอาภรณ์สีม่วงแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งคำรบ “เขาจะมาไม้ไหนอีก
หาคนหนุนช่วงชิงบัลลังก์รึ...ความกล้านี้เทียมฟ้าเสียจริง” ใบหน้าเกรี้ยวกราดแต่แววตาแฝงไปด้วยความสนุกสนาน
น้ำเสียงยามเอ่ยฟังออกถึงความเยาะหยัน
“ข้าถูกมองเป็นสะพานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
สิ้นวาจาก็กวาดสายตาไปรอบด้านตามความเคยชิน
ทว่าคราวนี้สายตาอันคมกริบหยุดอยู่ตรงดรุณีน้อยนางหนึ่ง หากมองจากที่ไกลๆ
จะเห็นว่านางนั่งนิ่งบนม้าหินชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำ
บุรุษที่สวมชุดองครักษ์มองตามสายตาผู้เป็นนาย
“ท่านอ๋องรู้จักหรือพ่ะย่ะค่ะ” เนิ่นนานแล้วที่ไม่เห็นเจ้านายมองสตรีใด
ความสงสัยทำให้อดเอ่ยคำถามไม่ได้
บุรุษสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีม่วงพ่นลมหายใจแรงๆ
หนึ่งครั้ง “เพียงคุ้นหน้า คล้ายเคยเห็นมาก่อน” คำตอบกำกวม “ไปกันเถอะ
ดูสิว่าจวิ้นอ๋องมีอะไรน่าสนใจ”
บุรุษกลุ่มนั้นละสายตาจากดรุณีน้อยแล้วเดินจากไปจนไม่เห็นแม้เงา
ทว่าจังหวะหนึ่งบุรุษในอาภรณ์ผ้าไหมสีม่วงกลับหันหลังทอดสายตาที่อ่านยากเพ่งมองนางอีกรอบอยู่สองอึดใจค่อยย่ำเท้าก้าวขึ้นเรือสำราญลำใหญ่
อีกด้านมุมหนึ่งดรุณีน้อยนั่งเหม่อลอยทอดสายตามองผิวน้ำกระเพื่อมข้างแม่น้ำร่วมครึ่งชั่วยามแล้วท่าทางกำลังจมดิ่งสู่ภวังค์ห้วงคิดหนัก
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนางเจือแววหลากหลายอารมณ์ เดี๋ยวบูดบึ้ง เดี๋ยวยิ้มแหย่
เดี๋ยวหัวเราะ หากคนแถวนั้นไม่รู้จักคงคิดว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นบ้าสติฟั่นเฟือนแน่แท้
“ขะ...ข้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
ข้าตายแล้วไม่ใช่หรือ” นางพูดพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนละเมอเพ้อพกอยู่บ้าง
ซ้ำก้มมองมือเรียวเล็กรอบแล้วรอบเล่าด้วยใบหน้าตื่นตะลึงคล้ายไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าถูกคนของทางการที่ปลอมตัวเป็นโจรสังหารอย่างเลือดเย็นไม่ใช่หรือ...เลี่ยเอ๋อร์ของข้าเล่า”
ยิ่งนั่งนานคำพูดแปลกๆ
หลุดออกมาไม่หยุดหย่อน “เลี่ยเอ๋อร์ของแม่” ปากสั่นระริกจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก พยายามปิดกั้นเสียงร่ำไห้เพื่อไม่ให้ผู้คนรอบกายตกใจ
“อาถิงเป็นอะไรไป”
ห่างจากจุดที่เด็กสาวนั่งอยู่ไม่ไกลนัก พ่อค้าเกี๊ยวน้ำเจ้าประจำของคนที่ยังไม่ได้สติสังเกตนางมาระยะหนึ่งแล้วพลันเอ่ยถามกับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่
ฝ่ายภรรยาหยัดยืนแล้วทอดสายตามองเด็กสาวด้วยใบหน้าฉายแววหนักใจ
“คงเหนื่อย” น้ำเสียงแสดงถึงความรู้สึกขุ่นมัว พริบตาต่อมาดวงตาพลันแข็งกร้าว
“พวกบ้านเหนียนต้องใช้งานอาถิงหนักเป็นแน่” ความไม่พอใจได้ล้นทะลักออกมา “อย่าหาว่าข้าพูดพล่อยๆ
เลยนะตาเฒ่า” นางหันหน้าเตรียมท่าบ่นยาวกับสามี
“บ้านเหนียนปากบอกรับอาถิงเป็นลูกบุญธรรม
เลี้ยงดูอย่างดีเพื่อเป็นฮูหยินลูกชายพวกมันวันข้างหน้า แต่เจ้าดูสิ! ใช้งานอาถิงจนไม่มีเวลากินข้าว” ยิ่งพูดความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มทวี
“ตื่นแต่เช้ามืด
ทำงานตัวเป็นเกลียว น้ำข้าวได้กินบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้”
แม่ค้าขายเกี๊ยวน้ำถอนหายใจเวทนา
“ในเมืองเทียนสุ่ยไม่มีใครน่าสงสารเท่าอาถิงอีกแล้ว”
ผู้คนละแวกนั้นกล่าวถึงอาถิง
ส่วนอาถิงรับรู้ไหม ไม่เลยนางไม่รับรู้เสียงภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น
นั่งหลังงองุ้มจมจ่อทบทวนภาพจำต่างๆ เรื่องราวในอดีต “ข้าเกิดใหม่จริงด้วย”
หลังจากหยิกแขนแล้วรู้สึกเจ็บอยู่หลายครั้ง
ถกเถียงกับตนเองราวครึ่งชั่วยามว่ามิได้ฝันไป ‘หลี่ถิงถิง’
สรุปได้ว่านางย้อนกลับมาช่วงอายุสิบสามปี อีกหน
“สวรรค์เมตตาข้ารึ”
หัวเราะในลำคอทว่าสีหน้าย่ำแย่ขมขื่นมิได้มีความสุขหรือดีใจแม้แต่น้อย
หลี่ถิงถิงมีชะตาชีวิตตกระกำลำบาก
อายุเจ็ดขวบบิดามารดาสิ้นใจตายเพราะโจรปล้น
จากนั้นนางถูกเพื่อนบ้านสกุลเหนียนรับเลี้ยงไว้อ้างเพื่อเป็นฮูหยินให้บุตรชายคนเดียวของพวกเขา
นางโยกย้ายไปอาศัยบ้านสกุลเหนียน ซาบซึ้งในน้ำใจสองสามีภรรยาแซ่เหนียนที่ให้ข้าวกินให้น้ำดื่ม
ทว่าก่อนตายในกองเพลิงนางได้รู้ความลับหนึ่ง
ช่างน่าสมเพชที่แท้บ้านเหนียนก็รับเลี้ยงนางเพราะทรัพย์สมบัติ
หลี่ถิงถิงนั่งรำลึกความหลังชาติก่อน
ไล่เรียงตั้งแต่จำความได้จนถึงวาระสุดท้าย
ภาพกองเพลิงสีส้มที่ลุกโชนเผาไหม้คนทั้งหมู่บ้านที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น
เลือดสดๆ ไหลนองปานแม่น้ำหนึ่งสาย กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นโชยไปตามอากาศ
บุตรชายนามว่า
เหนียนเลี่ย
เขาบริสุทธิ์ผุดผ่องเกิดมามองโลกเพียงสองฤดูหนาวแต่ต้องมาตายเพราะน้ำมือของผู้เป็นพ่อ
‘เหนียนซูหยวน’
ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าช่างน่าสะพรึงกลัว
พอชื่ออดีตสามีเมื่อชาติก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
มือเล็กทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปน
ความเคียดแค้นปะทุในหัวอกระบายได้เพียงหลั่งน้ำตาเงียบๆ
“เจ้าอยากบินขึ้นสูง
อยากเป็นเชื้อพระวงศ์
แต่ทำไมต้องสังหารคนข้างหลังด้วย...เลี่ยเอ๋อร์เกิดมายังไม่เคยเห็นพ่อสักครั้ง
เจ้ายังฆ่าได้!” ความเกลียดชังที่อดกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมาจากใจ นางพึมพำลำพังคล้ายคนเสียสติ
สามีในชาติก่อนของนางเป็นบัณฑิตเดินทางไปสอบเคอจวี่[1]
ที่เมืองหลวง
ข่าวคราวหายไปสามปี
หลี่ถิงถิงที่อยู่ทางบ้านนอกทำงานงกๆ คอยส่งเบี้ยให้เขา ลูกก็ต้องเลี้ยง
พ่อแม่สามีก็ต้องปรนนิบัติดูแล
เหนื่อยสายตัวแทบขาดทว่าความหวังที่สามีจะส่งรถม้ามารับครอบครัวไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวงทำให้หลี่ถิงถิงลุกขึ้นสู้
แต่ใครจะรู้เล่า...เหนียนซูหยวนสอบติดบัณฑิตทั่นฮวาตั้งแต่ปีแรกแต่ไม่ยอมบอกข่าวดีกับครอบครัว
หนำซ้ำยังหมั้นหมายกับองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์โอวหยาง
เหนียนซูหยวนที่กำลังจะอภิเษกกลายเป็นฟู่หม่า[2]
หากทางราชวงศ์รู้ว่าเขาเคยแต่งงานซ้ำร้ายมีบุตรอายุสองขวบมีหวังพังทลายโดนโทษตัดหัวเสียบประจานฐานหลอกลวงเบื้องสูง
และดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างบุรุษแซ่เหนียน
องค์หญิงใหญ่โอวหยางจีเยว่ พระธิดาพระองค์เดียวในเกาฮองเฮาหลงรักบัณฑิตทั่นฮวาสกุลเหนียนหัวปักหัวปำ
ลงทุนวางแผนฆ่าล้างบางชาวบ้านหมู่บ้านหลี่เชี่ยนจนสิ้นซากเพื่อสร้างปูมหลังให้ราชบุตรเขยมีฐานะสูงส่ง
หนึ่งร้อยสามสิบชีวิตดังขยะไร้ค่า
มอดไหม้วอดวายเพียงคืนเดียว
นึกคิดแล้วยิ่งเจ็บแค้น ทว่าตอนนี้เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้น ในเมื่อเง๊กเซียนประทานโอกาสให้อีกครั้ง ชาตินี้หลี่ถิงถิงทบทวนไตร่ตรองวางแผน ‘ลมเปลี่ยนทิศ’ อันไหนความแค้นนางจะสนองคืน อันไหนที่ยังไม่ก่อไฟแค้นนางก็จะชิงดับตั้งแต่ต้นลม
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?