ตอนที่ 4 ข่าวของสตรีกำพร้าแซ่หลี่

ในใจผู้ศึกษาทั้งหลายในงานเลี้ยงราวกับถูกบางอย่างขวางกั้น คล้ายมีคนบีบอยู่ที่ลำคอก็มิปาน พวกเขาไม่สามารถเอ่ยเอื้อนว่ากล่าว ‘คุณหนูใหญ่จางเหริน’ สตรีไร้ยางอายนางนี้ ซ้ำร้ายยังต้องก้มหัวประจบนางเพื่ออนาคตในแวดวงขุนนางท้องถิ่นที่ว่าการเมืองเทียนสุ่ยภายภาคหน้า พวกตนย่อมไม่หวังสูงไปถึงขุนนางราชสำนัก เช่นนั้นการเอาอกเอาใจบุตรีนายอำเภอเสมือนเป็นสิ่งจำเป็นของผู้ศึกษา

“ฮ่าๆ” ศิษย์ปากดีคนเมื่อครู่แสร้งหัวเราะแห้งๆ “ผู้น้อยล่วงเกินคุณหนูใหญ่จางแล้ว ขออภัยๆ ขอรับ” ในใจคับข้องแต่ปากกล่าวอีกอย่าง เพราะใจกับกายไม่ประสานใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มพิกล

“แต่ผู้น้อยขอเอ่ยตามตาเห็น คุณหนูใหญ่จางกับศิษย์พี่” เหลือบมองเหนียนซูหยวนแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายวางท่าทางภูมิฐานเปี่ยมจรรยายิ่งส่งเสริมให้ศิษย์น้องเปิดปากพูด “ดุจดั่งคู่สวรรค์สร้าง ผู้หนึ่งฉลาดอนาคตไกล อีกคนงดงามปานนางฟ้านางเซียน” แม้กระดากอายแต่ก็พ่นถ้อยคำไม่หยุด

“เจ้าช่างพูดช่างจำนรรจายิ่ง มิทราบว่าเจ้า...แซ่อะไร” จางเหรินดีใจไปสามวันจนนอนไม่หลับแน่ นางพึงใจบัณฑิตเหนียนซูหยวนมาเนิ่นนานทว่าอีกฝ่ายสงวนท่าทีไม่เปิดใจ ครั้นได้ยินเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาเอ่ยเย้าหยอกทั้งบุรุษแซ่เหนียนไม่ได้ปรามพวกเขา หัวสมองคุณหนูจวนนายอำเภอหลงเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าบัณฑิตหนุ่มยอมรับในตัวนาง

“ผู้แซ่.../พี่หยวนมีคนจากหอโคมเขียวมาหาพี่ รออยู่ข้างล่าง” จังหวะช่างประจวบเหมาะเจาะ ขณะศิษย์น้องกำลังจะบอกชื่อแซ่เพื่อหวังให้คุณหนูใหญ่จางฝากเข้าทำงานเป็นลูกน้องนายอำเภอจาง กลับมีศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งเดินขึ้นมาชั้นสองแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นกลบเสียงเขาเสียทั้งหมด

“...” เหนียนซูหยวนนิ่วหน้า ตวัดสายตามองศิษย์ร่วมสำนักผู้มาใหม่ด้วยความไม่พอใจ ตนเป็นบัณฑิตจวี่เหรินสูงส่งปานนี้ถูกเหล่าสหายร่วมสำนึกได้ยินประโยคเมื่อครู่ใช้แววตาบ่งบอกถึงความรังเกียจมองมาพลันรู้สึกไม่เป็นธรรม

“เข้าใจผิดหรือไม่ ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวหอโคมเขียว เดินผ่านยังไม่เคย” บัณฑิตหนุ่มตั้งสติครู่หนึ่ง ปรับสีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดให้เป็นปกติแล้วโต้แย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“นั่นนะสิ เจ้าพูดพล่อยๆ” ความขุ่นเคืองคุณหนูใหญ่จางเหรินพุ่งสูงขึ้น นางโมโหควันออกหูยิ่งกว่าเหนียนซูหยวนเสียอีก บัณฑิตที่นั่งข้างกายผู้นี้เป็นว่าที่ท่านเขยมิอาจมีประวัติแปดเปื้อนด่างพร้อย จะเที่ยวหอนางโลมโคมเขียวได้อย่างไร ใบหน้านางแดงก่ำทันควัน ถลึงตามองผู้มาส่งข่าวด้วยดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ

ศิษย์ร่วมสำนักตกใจอึ้งชั่วขณะ เขามาร่วมงานเลี้ยงสาย พอมาถึงจะก้าวขึ้นชั้นสองพลันมีบุรุษหนุ่มร่างกำยำสามคนขวางหน้าเอาไว้แล้วฝากถ้อยคำให้เจ้าของงานเลี้ยง เขาผิดตรงไหนเพียงทำตัวเป็นพิราบสื่อสาร “ไม่ใช่ๆ ใจเย็นก่อน” โบกไม้โบกมือแก้ต่าง “ข้าได้รับการไหว้วานมาแบบนี้จริงๆ ไม่เชื่อก็มาดูกันได้” ชี้นิ้วลงไปยังบานประตูทางเข้าเบื้องล่าง

ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ใจอิจฉาเหนียนซูหยวนอยู่ก่อนแล้วเห็นเป็นเรื่องน่าสนุกหยัดกายลุกขึ้นพากันชะโงกหน้ามองเบื้องล่าง การได้ฉีกหน้าบัณฑิตแซ่เหนียนอวดดีสักครั้งคงสำราญใจยิ่ง ทำตัวสูงส่งราวดอกบัวขาวบริสุทธิ์ดีนัก ‘แค่ดวงดีสอบผ่าน’ กลับเหยียบย่ำหัวศิษย์พี่ศิษย์น้องให้จมดิน ขอช่วยสอนตำรามัวแต่ทำท่าเย่อหยิ่งทระนงไม่ยอมบอกเคล็ดลับ ความชิงชังนี้แทบฝังลึกในใจศิษย์ร่วมสำนักแทบทุกคน

ยกเว้น “พี่หยวน...เอ่อ พวกเขาใช่คนคุมหน้าหอโคมเขียวจริงๆ” ศิษย์น้องคนหนึ่งที่ชื่นชมบัณฑิตคนเก่งจากใจจริงเอ่ยขึ้น หลายคนในงานเลี้ยงก้มหน้าซ่อนประกายตาหยัน มุมปากกระตุกสะใจที่เหนียนซูหยวนถูกกระชากหน้ากาก

ทว่าจังหวะนั้นจางเหรินไม่อาจยินยอม “เจ้าลงไปสอบถามดูสิ สุนัขสามตัวนั้นต้องการสิ่งใด” นางสั่งสาวใช้คนสนิทจัดการ “พี่หยวนไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ทั้งคนไม่มีใครใส่ความท่านได้ทั้งนั้น” พูดเสร็จก็ไล่สายตามองแต่ละคนในงานเลี้ยงอย่างเอาเรื่อง

งานคืนนี้คุณหนูใหญ่ควักกระเป๋าจ่ายร่วมห้าสิบตำลึงเงิน และกำชับกำชาห้ามผู้ใดบอกกล่าวเหนียนซูหยวนว่านางเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นบัณฑิตป้ายแดงจึงจ่ายเพียงแค่ส่วนน้อย ทว่ามีหรือคนฉลาดเยี่ยงบุรุษแซ่เหนียนจะไม่รู้ เพราะเขารู้เต็มอกบุตรีนายอำเภอพึงปรารถนาตนเองถึงเลือกเหลาสุรามีชื่ออันดับหนึ่งของอำเภอ จัดเลี้ยงฉลองสร้างภาพลักษณ์บัณฑิตผู้มีใจเผื่อแผ่ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย

ตามหลักแล้วครอบครัวเหนียนไม่มีเบี้ยอัฐเพียงพอจะก้าวย่างเข้าเหลาสุราแห่งนี้ด้วยซ้ำ

ศิษย์ร่วมสำนักแต่ละคนหน้าจืดเจื่อนทยอยกลับมานั่ง ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก พริบตาต่อมาเสียงครึกครื้นดังเช่นเดิม

เหนียนซูหยวนท่าทางชะงักค้าง คิ้วกระบี่ขมวดบางๆ สิ่งที่คุณหนูใหญ่จางเหรินกระทำ แม้นจะเป็นการปกป้องชื่อเสียงของเขาแต่กลับทำให้สะทกสะท้อนรู้สึกเสียใจ ชายชาตรีไม่ชอบที่สุดย่อมเป็นการให้สตรีออกหน้าแทน เขาก้มหน้าลงไม่แม้จะกล่าววาจาสักประโยคเดียว ทำท่าเฝ้ารอสาวใช้นางนั้นมารายงาน ปล่อยจางเหรินพล่ามยาวเหยียดไร้สาระข้างหู

ไม่นานสาวใช้ก็พรวดพราดวิ่งหน้าตั้งขึ้นชั้นสองมา “บัณฑิตเหนียน สามคนนั้นบอกว่าสตรีกำพร้าแซ่หลี่ป่วยตอนนี้อยู่โรงหมอเจ้าค่ะ” กล่าวเสียงไม่ชอบใจอยู่บ้าง เหงื่อผุดขึ้นเต็มจมูกเผยให้รู้นางรีบร้อนระคนตื่นเต้นขนาดไหน ยิ่งดวงตาที่สบประสานกับนายหญิงของตนยิ่งแสดงการดูแคลน สาวใช้เบะปากคว่ำ

สตรีกำพร้าแซ่หลี่...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ