ตอนที่ 3เธอที่ทำให้หวั่นไหว

[ ราเชนทร์ ]

กิจการโรงแรมเดอฮิลแมนตัลเป็นธุรกิจที่ตกทอดของตระกูลผมโรงแรมนี้เปิดมาเข้าปีที่สามสิบหกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ส่งต่อกิจการต่าง ๆ ให้ผมกับวดีเป็นคนดูแลธุรกิจทั้งหมด รินทร์วดีเป็นน้องสาวคนเดียวของผม เราอายุต่างกันเกือบสิบปี ผมเป็นพี่คนโต อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว การงานทุกอย่างที่ผมรับผิดชอบก็สร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทั้งพ่อและแม่ชอบมาก้าวก่าย ก็เรื่องคู่ครองนั่นล่ะครับ

ราเชนทร์ เกริกก้องรัชตะ ชายหนุ่มรูปงามราวเทวรูป อีกสามเดือนกว่า ๆ ราเชนทร์อายุย่างเข้าสี่สิบปี ทางครอบครัวจึงตั้งใจอยากให้ลูกชายคนโตสร้างครอบครัวเพื่อที่จะมีทายาทตัวน้อย ๆ ได้เชยชม แต่ด้วยความบ้างานและดื้อรั้นของลูกชายคนโต ปีแล้วปีเล่าราเชนทร์ก็ยังไม่มีหวานใจเป็นตัวเป็นตนเสียที

วันนี้ราเชนทร์ตั้งใจแต่งตัวเนี้ยบเป็นพิเศษเพราะต้องมาร่วมงานเปิดตัวไวน์ยี่ห้อหนึ่งของเจ้าสัววิฑูร อันที่จริงราเชนทร์ไม่ได้ตั้งใจจะร่วมทุนกับเจ้าสัว หากแต่มันกล่าวอ้างถึงบุญคุณครั้งเก่าก่อนของอาม่ามันกับคุณปู่เขา เพื่อตัดปัญหาความรำคาญใจ ราเชนทร์จึงร่วมลงทุนด้วย และเจ้าสัววิฑูรยังเป็นเอเจนซี่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มีเส้นสายในวงการมากมาย ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีต่อธุรกิจที่ราเชนทร์ดูแล เรียกได้ว่าได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย…

ติดแค่ผมไม่ชอบขี้หน้าเจ้าสัวนั่นเลย! มันทั้งโอ้อวด มักมาก ดีแต่เอาเปรียบบริษัทเล็กที่ไม่มีทางสู้โดยการใช้อำนาจที่มีในมือขู่บังคับ ไม่รู้ว่าคุณปู่คิดยังไงมาคบค้าสมาคมกับครอบครัวนี้ แม้จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของโรงแรมนี้ ทว่าโดยปกติผมไม่ค่อยเข้ามาดูกิจการที่โรงแรมบ่อยเท่ารินทร์วดี เธอเป็นน้องสาวของผมน่ะ เรียนสายตรงในการบริหารจัดการโรงแรมมาโดยเฉพาะ ส่วนธุรกิจหลักของผมคือบริษัท รัชตะ จิล แอนด์ เจมส์ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณีนำเข้าและส่งออกครบวงจร ผมถนัดและให้ความสนใจธุรกิจนี้มากกว่า

งานวันนี้ดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น โดยเจ้าสัวยื่นข้อเสนอให้จัดงานเปิดตัวที่แกรนด์ ฮอลล์ ของโรงแรมที่ราเชนทร์เป็นเจ้าของ เขาให้เหตุผลว่าจะได้เป็นการโปรโมตโรงแรมไปในตัว บรรดานักข่าวสายการตลาดมากมายเข้ามาร่วมงาน โดยงานวันนี้ก็ราบรื่นคึกคัก

“สำหรับวันนี้ขอขอบคุณพี่ ๆ นักข่าวทุกท่านมากนะคะ ขอเชิญพักกินขนมและชิมไวน์เลอสวอนที่ด้านนี้ได้เลยค่ะ…” พรีเซนเตอร์ไวน์เลอสวอนควบตำแหน่งพิธีกรรับเชิญระบายยิ้มเต็มดวงหน้า สายตาหวานโฟกัสที่ช่างภาพโพสท่าสวยคู่กับผลิตภัณฑ์ เดรสสีแดงเบอร์กันดีสีตัดกับผิวขาวอมชมพูของเด็กสาว ส่งผลให้นางแบบสาวดูเปล่งประกายและเฉิดฉายที่สุดในเวที

หลายปีมานี้ราเชนทร์ไม่เคยสะดุดตากับผู้หญิงคนไหนเท่าเธอมาก่อน ริมฝีปากเล็ก ๆ ฉาบด้วยลิปสติกสีแดงไวน์ ท่วงท่าการยืนสวยงามไร้ที่ติ ดู ๆ แล้วเธอน่าจะอายุไม่มากนัก นัยน์ตาหวานฉ่ำทว่ามีแววตาเศร้า เมื่อจ้องมองเข้าไปดี ๆ กลับดูแข็งแกร่งน่าค้นหา แววตาทอประกายน่าหลงใหลของเธอทำเอาราเชนทร์สมองมืดมัวลงชั่วขณะจนต้องรีบเบนสายตาไปทางอื่น

ประธานหนุ่มสังเกตจากการที่เจ้าสัววิฑูรพยายามเข้าใกล้นางแบบสาว ปฏิกิริยาของเธอดูเลิ่กลั่กอึดอัดอย่างชัดเจน หลายครั้งเด็กสาวทำสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้ยังไม่เจนจัดเท่าไร แต่ก็ดี...เพราะนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เธอน่าสนใจกว่าใคร แขกเครื่อที่มาร่วมงานวันนี้ต่างเป็นบรรดาไฮโซและนักธุรกิจ เป็นที่รู้กันดีว่าบรรดาคนพวกนี้มักมางาน ถ้าไม่มาข่มกันเรื่องธุรกิจทรัพย์สิน ก็มาหาคอนเนกชันเพื่อต่อยอดการค้าและธุรกิจ แต่ก็มีส่วนน้อยมากจริง ๆ ที่จะตั้งใจมาร่วมแสดงความยินดีหรือให้ความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์อย่างที่มันควรจะเป็น ราเชนทร์ถ่ายภาพรวมเพื่อไปลงกรอบหน้าข่าวเศรษฐกิจและสังคมอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสูดอากาศซึ่งเขาตั้งใจว่าจะไม่กลับเข้ามาในงานแล้ว

“เบื่อชะมัด สังคมจอมปลอมซะไม่มี” เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบพลางบ่นพึมพำ

“มาแอบบ่นอะไรตรงนี้คะพี่ชาย” รินทร์วดีเอ่ยแซวพี่ชายด้วยสายตาหยอกล้อ

“ยัยตัวแสบ มาทำอะไรตรงนี้ ไหนว่างานยุ่ง”

“พี่เชน วดีโตแล้วนะคะ ยังเรียกแบบเด็ก ๆ อยู่อีก วันนี้วดีลงมาตรวจสอบความเรียบร้อยค่ะ งานเปิดตัวสินค้าของพี่ชายทั้งที” วดีพูดพลางยิ้มแห้ง

“พี่ว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอกมั้ง” ราเชนทร์ขมวดคิ้วยุ่งถามน้องสาว

“พี่เชนทร์น่ะ รู้ทันวดีตลอด…เห็นพนักงานโรงแรมเขาเมาธ์กันค่ะว่าเจ้าสัวคนนี้ชอบคั่วเด็ก ๆ แล้วเขาเมาธ์กันอีกว่านางแบบคนนี้กำลังจะเป็นเหยื่อรายต่อไปค่ะ” รินทร์วดีพูดพลางใช้มือป้องปากกระซิบ เพราะหากเรื่องนี้คนของเจ้าสัวได้ยินอาจไม่เป็นผลดีนัก เพราะทั้งเธอและพี่ชายต่างก็มีหน้าตาทางสังคม และการที่มาแอบคุยกันอยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการนินทาสักเท่าไร

“นี่สนใจเรื่องข่าวเมาธ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ราเชนทร์ดุน้องสาวก่อนจะขอตัวไปเช็กเอกสารที่ห้องทำงาน

ขณะที่ราเชนทร์เดินออกไปนั้น ความรู้สึกเขากลับว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก คำพูดของรินทร์วดีเรื่องที่เจ้าสัววิฑุรเล็งเป้าหมายไปยังนางแบบสาวชุดแดงคนนั้น อันที่จริงก็ไม่แปลกอะไรที่เจ้าสัววิฑูรจะให้ความสนใจ เพราะเธอมีเสน่ห์น่าดึงดูดมาก แต่เมื่อราเชนทร์คิดว่าเจ้าสัวนั่นจะทำอะไรต่อมิอะไรกับเธอคนนั้น ความรู้สึกไม่พอใจก็ถาโถมเข้ามา ราเชนทร์นึกหงุดหงิดใจกับตัวเอง จึงเดินกลับไปที่งานอีกครั้งแต่นึกขึ้นได้ว่าลืมกล่องตัวอย่างคอลเลกชันใหม่ไว้ที่ห้องพักแต่งตัวระหว่างรอขึ้นเวทีจึงรีบกลับไปยังห้องตรงนั้น

‘หวังว่าจะยังอยู่นะ ไม่น่าให้คุณแยมมาส่งวันนี้เลย’ ระหว่างที่ราเชนทร์เดินไปที่ห้องพักรับรองเขาได้ยินเสียงบางอย่างผิดปกติมาที่บานประตูห้องแต่งตัวสำหรับพรีเซนเตอร์ ราเชนทร์หยุดยืนฟังที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง

“ช่วยด้วย ได้โปรดใครก็ได้ช่วยที ออกไปนะ โอ๊ย…” เสียงหวานกรีดร้องตะโกนอย่างสุดพลัง พร้อมกับเสียงตะกุกตะกักด้านใน

หลังจากที่ฟังจนมั่นใจว่าคนที่อยู่ด้านในกำลังเกิดอันตราย เสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือ ราเชนทร์รีบบิดประตูเข้าไปทันทีและดูเหมือนว่าประตูบานนี้ยังไม่ได้ล็อก ด้านในปรากฏภาพหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงที่ถูกกระชากจนหมิ่นเหม่ เรือนกายขาวเนียนกำลังถูกชายร่างกำยำโถมทับ ดูก็รู้ว่ากำลังจะพยายามทำมิดีมิร้ายกับเธอ…

เจ้าของโรงแรมตรงเข้าไปถีบชายหื่นเข้าอย่างเต็มแรงก่อนจะกระทืบซ้ำไปอีกหลายที โทษฐานที่มาทำระยำในโรงแรมเขา และดูเหมือนเด็กสาวคนนั้นจะหวาดกลัวมาก เธอนั่งกอดเข่า ซุกหน้าตัวสั่นร้องไห้ไม่หยุด ราเชนทร์ถอดเสื้อสูทส่งให้เธอคลุมร่าง ก่อนจะหันมาจัดการกับคนแก่ตัณหากลับอีกครั้ง

“มึงไม่รู้เหรอ กูเป็นใคร” คนโดนกระทืบแผดเสียงด่าอย่างฉุนเฉียว พยุงตัวลุกมองหน้าราเชนทร์อย่างเอาเรื่อง

'ผมมองดูร่างท้วมที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความสมเพช ไม่มีใครโง่เกินกว่ามันอีกแล้ว นึกจะปล้ำผู้หญิงทั้งที เสือกไม่ล็อกประตู แต่ก็ดีแล้ว หากมันล็อกผมคงมาช่วยเธอไม่ทันแน่ ๆ' ราเชนทร์คิดพลางหันไปมองเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอยากปกป้องเธอ

“คะ...คุณราเชนทร์” เจ้าสัวเรียกอย่าตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้พบหุ้นส่วนคนสำคัญที่นี่ เวลานี้!

“นี่ เจ้าสัวจะทำอะไรน้องเขาน่ะ” เขาพูดเสียงเข้ม ถลึงตาอย่างคนโกรธจัด

“เออ…ผะ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เจ้าสัวมองนางแบบสาว จิ๊ปากอย่างเสียดาย ก่อนจะปิดประตูดังปังออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิด เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาอาบสองแก้ม มุมปากข้างหนึ่งมีเลือดไหลซึมออกมา เด็กสาวที่เป็นพรีเซนเตอร์เมื่อครู่นี้นี่!

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” ราเชนทร์พยายามปลอบใจเธอ ทว่านางแบบสาสยังคงหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ราเชนทร์ดูจากท่าทางที่เธอพยายามขยับหนีจนเกือบจะตกโซฟา

ผมเข้าใจ หากเธอจะกลัวก็ไม่แปลก เพราะดูจากร่องรอยที่เธอถูกกระทำ ทั้งเลือดไหลที่มุมปาก และรอยนิ้วมือรอบคอนั่น เรื่องที่เขาลือกันว่าไอ้เจ้าสัวนั่นโรคจิตใช้ความรุนแรงและชอบบังคับขืนใจ ดูท่าจะจริงสินะ

ราเชนทร์ยื่นนามบัตรให้กับเด็กสาวก่อนจะพยายามพาเธอออกไป แต่ดูเหมือนเธอจะดื้อกว่าที่เขาคิด “หรือคุณจะรอให้เจ้าสัววิฑูรกลับมาปล้ำอีกครั้งก็ได้นะ งั้นผมไปแล้ว” ราเชนทร์เอ่ยออกไปแบบนั้น เพราะเห็นว่าเด็กสาวยังนั่งร้องไห้สะอื้นไม่มีทีท่าจะลุกออกมา เขาจึงทิ้งตัวนั่งข้างเธอฝ่ามือหนายกขึ้นลูบเรือนผมเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน ทว่ากลับกลายเป็นการทำให้เธอยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มเอ่ยย้ำหนักแน่นว่าเขามาเพื่อช่วยเธอ ไม่มีใครทำอะไรเธอได้แล้ว

ทันใดนั้นเองนางแบบสาวโผกอดแขนราเชนทร์แน่น ศีรษะกลมพิงแขนของเขาอย่างตื่นกลัว หยาดน้ำตาไหลราวกับทำนบแตกอาบสองแก้มเนียนที่มีรอยนิ้วมือสีแดงระเรื่อปรากฏอยู่

“ปะ...ไปค่ะ รอน้ำมนต์ด้วย อย่าทิ้งน้ำมนต์ไว้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทั้งน้ำตา ส่งสายตาน่าสงสารก่อนจะซบหน้าลงที่แขนแกร่งอีกครั้ง

ราเชนทร์พาเด็กสาวไปที่ลิฟต์ผู้บริหาร เขากดชั้นสามสิบสอง ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศส่วนตัว “คุณนั่งพักที่นี่ไปก่อน ที่นี่ปลอดภัย” ราเชนทร์กล่าวเสียงเรียบ ทั้งที่ใจเขารู้สึกวูบไหวแปลก ๆ ทั้งเป็นห่วงและอยากดูแลมากกว่านี้ แต่ตัวอย่างคอลเลกชันใหม่ที่ลืมไว้ก็ยังไม่ได้ไปเอาเพราะเกิดเรื่องซะก่อน หากผลงานชิ้นนี้หลุดออกไปอาจเกิดผลเสียมากกว่าที่คิดเป็นแน่

เด็กสาวก็ค้านขึ้นทันควัน “ตะ...แต่…”

“หึ...” ราเชนทร์กำลังจะเดินออกไปที่ประตูกลับต้องสะดุดเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงของหญิงสาว

“แต่อะไร...” ราเชนทร์ขมวดคิ้วแน่นรอฟัง

“ฉันยังทำงานไม่จบเลยนะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยเสียงเศร้า แววตาคู่นั้นทอประกายวูบไหวประดุจเปลวไฟกลางสายลม

ราเชนทร์รู้สึกโกรธจนหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาว “ผมช่วยคุณมาขนาดนี้แล้ว คุณยังจะกลับไปหาไอ้นั่นอีกก็แล้วแต่”

‘ยัยผู้หยิงคนนี้นี่มันยังไงกันเนี่ย ที่เมื่อกี้กรีดร้องตัวสั่นจะเป็นจะตาย ตอนนี้ปลอดภัยแล้วยังจะระริกระรี้กลับไปหามันอีก เธอเป็นคนยังไงกันนะ!’

ราเชนทร์เดินออกประตูไปด้วยความโมโห พอดีกับพี่ประกายดาวเลขาหน้าห้องกำลังเดินเข้ามาได้ยินนางแบบสาวบ่นพึมพำบางอย่าง แต่ราเชนทร์หงุดหงิดเกินกว่าจะหยุดฟังเธอพูด

“ผมฝากดูแลเธอด้วยนะครับ เดี๋ยวผมมา” เขาเอ่ยปากบอกเลขาคนสนิท

การที่พี่ประกายดาวซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันน่าจะทำให้เธอวางใจสบายใจมากกว่าผู้ชายเป็นแน่ แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของเธอเมื่อครู่ แต่ความเป็นห่วงกลับมากกว่า

“พี่คะ หนูขอตัวกลับก่อนได้ไหมค่ะ” มนต์ลดาหันไปพูดกับพี่เลขาของท่านประธานด้วยสายตาเว้าวอน

ประกายดาวเก็บอุปกรณ์ทำแผลยิ้มอย่างเป็นมิตรเอ่ยน้ำเสียงเชิงขอร้อง “รอท่านประธานสักครู่นะจ๊ะ ท่านโทรมาบอกว่าอีกสิบนาทีจะขึ้นมาแล้วค่ะ”

ปกติพี่ประกายดาวไม่เคยเห็นราเชนทร์เป็นห่วงหรือดูแลใครเท่าผู้หญิงคนนี้ และเด็กคนนี้ก็นิสัยน่ารักกว่าบรรดาผู้หญิงที่ท่านประธานของเธอเคยควงซะด้วย หากแต่เด็กสาวคนนี้ดูยังเด็กกว่าสเปกของเจ้านายนัก เอ๊ะ หรือท่านประธานเปลี่ยนมาคบเด็กกันนะ?

“ค่ะ” มนต์ลดาพยักหน้ารับพลางหยิบนามบัตรที่เขาให้ไว้ครั้งตอนช่วยเธอจากเจ้าสัวชั่วนั่น

‘คุณราเชนทร์ ชื่อเพราะนะ เอ๊ะ นามสกุล เกริกก้องรัชตะ นะ...นี่มันเจ้าของบริษัทที่ฉันยื่นเอกสารไปฝึกงานนี่น่า แต่เขาเป็นถึงเจ้าของบริษัท เรามันแค่เด็กฝึกงานตัวเล็ก ๆ คงไม่มีทางเกี่ยวข้องกันได้หรอกมั้ง’ น้ำมนต์พยายามทำจิตใจให้เป็นปกติ

มนต์ลดาเรียนสายตรงเกี่ยวกับด้านอัญมณี และการออกแบบ แน่นอนว่าบริษัท รัชตะ จิล แอนด์ เจมส์ เป็นบริษัทเกี่ยวกับเครื่องประดับและอัญมณีชั้นนำของเมืองไทย หากนักศึกษาคนใดได้รับคัดเลือกฝึกงานที่บริษัทนี้ เท่ากับมีใบเบิกทางเพื่อยอดสำหรับสมัครงานในอนาคต มนตร์ลดาก็ไม่ต่างจากคนอื่นทั่วไปที่มุ่งมั่นในการหาบริษัทฝึกงานที่ดีที่สุด เป็นที่ทราบกันดีว่าในแต่ละปีบริษัทนี้จะรับนักศึกษา-ฝึกงานเพียงแค่สี่คนเท่านั้น และรับเพียงมหาวิทยาลัยละหนึ่งคน กระนั้นเด็กสาวก็ยังอยากลองเสี่ยงที่จะยื่นสมัคร

“รอนานไหม?” จู่ ๆ คนที่มนต์ลดากำลังนึกถึงโผล่พรวดเข้ามา เด็กสาวที่กำลังปล่อยใจล่องลอยไปกับห้วงความคิดสะดุ้งตัวโยนหันไปยังคนที่เข้าใหม่ ปกติมนต์ลดาไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนแต่อย่างใด เพียงแต่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ส่งผลกระทบกับจิตใจเธอทำให้เด็กสาวขวัญเสีย

“คุณ…ฉันตกใจหมดเลย” มนต์ลดาอุทานเสียงแผ่วเบา

ราเชนทร์แกล้งเดินเข้ามาประชิดเด็กสาวก่อนก้มลงมาใกล้จนลมหายใจอุ่นสัมผัสแก้มนวล มนต์ลดารับรู้ถึงไออุ่นจากลมหายใจชายตรงหน้าหัวใจวูบไหว อุณหภูมิในร่างค่อย ๆ ระอุขึ้นทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานเต็มความสามารถของมัน มนตร์ลดาช้อนตามองคนแก่กว่าด้วยท่าทางเคอะเขิน ท่านประธานหนุ่มมองเธอด้วยสายตาสุขุมด้วยอายุที่มากกว่าเธอถึงรอบกว่านั้นทำให้เขาวางตัวได้ดีจนมนต์ลดาไม่สามารถเดาได้เลยว่า…

‘คุณเขาคิดอะไรถึงหยอกเธอด้วยการสบตาแบบนี้!’

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้” มนต์ลดาใช้มือบางผลักอกแกร่งออกเบา ๆ เพื่อรักษาระยะห่าง หัวใจหญิงสาวพลันหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กสาวเอ่ยขอบคุณท่านประธานที่ได้ช่วยเธอเอาไว้จากเหตุการณ์ร้ายนั่น ในขณะที่แววตาเจือความเศร้าเพราะมนต์ลดามีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน…

“นี่กระเป๋าของคุณ” ราเชนทร์กระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง เขาวางกระเป๋าของมนต์ลดาลงบนโต๊ะข้างโซฟา แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง

“คะ...คุณเอากระเป๋าฉันมาได้ยังไงคะ?” มนต์ลดาทั้งแปลกใจและดีใจขณะเดียวกัน เธอไม่ต้องกลับเข้าไปเธอเจ้าสัววิฑูรในงานอีกแล้ว แต่ก็อดสะเทือนใจถึงเงินค่าจ้างไม่ได้

“ก็ไม่ยังไง ก็แค่ให้พนักงานเข้าไปหยิบกระเป๋ามาให้…ทำไม? คิดว่าผมเป็นพวกมิจฉาชีพหรือไง หึ เด็กน้อย” ราเชนทร์เค้นเสียงเข้ม เท้าคางจ้องเด็กสาวด้วยสายตาตำหนิ เขาทำทีท่าดุ ยิ่งต้อนด้วยน้ำเสียงเข้ม เด็กสาวก็ทำตัวไม่ถูกดูไม่มั่นใจไปซะหมด ขัดกับบุคลิกมั่นใจของเธอยามที่ทำหน้าที่พรีเซนเตอร์บนเวที

‘จะว่าไป…แบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนะ เหมือนลูกกระต่ายดี!!!’

ราเชนทร์มองเด็กสาวที่เอาแต่กดโทรศัพท์โดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ สายตาคนแก่กว่าจับจ้องทุกการกระทำของเธอราวต้องมนต์สะกด ประธานหนุ่มนั่งพินิจพิจารณาเด็กสาวสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามชื่อ เมื่อเห็นเธอดูผ่อนคลายกว่าตอนแรกจึงเอ่ยถามออกไป “แล้วหนูชื่ออะไร?”

“คะ? คุณว่ายังไงนะคะ”

“สวยแต่หูตึงเหรอ ผมถามว่าคุณน่ะชื่ออะไร?”

“เมื่อกี๊เหมือนได้ยินคุณเรียกฉันว่าหนู” มนตร์ลดาหลุดขำเมื่อนึกถึงน้ำเสียงของคุณราเชนทร์เรียกขานเอ็นดูราวกับเธอเป็นเด็กเล็ก ๆ

“ชื่อมนตร์ลดาค่ะ เรียกหนูว่าน้ำมนต์ก็ได้” เธอหลุดขำออกมาเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาดุก็สกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้เหลือเพียงรอยยิ้มหวานที่ฉาบบนใบหน้า ‘อันที่จริงเขาจะเรียนฉันว่าหนูก็ไม่แปลกนักหรอกนะ ดู ๆ แล้วอายุน่าจะเกือบสี่สิบแล้วละมั้ง ถึงหน้าจะยังอ่อน และดูหล่อมากก็เถอะ ก็ยังไงก็แก่กว่าฉันอยู่ดี’ น้ำมนต์คิดพลางอมยิ้มไปทางคุณราเชนทร์ที่พยายามปั้นหน้าทะมึน

“นินทาผมอยู่หรือเปล่า?” ราเชนทร์เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย

“คุณนี่ คิดมากเดี๋ยว…” มนตร์ลดาชะงักเมื่อนึกได้ว่าคุณราเชนทร์จะต้องเป็นคนที่เซ็นเอกสารผ่านงานให้เธอ จึงคิดว่าไม่ควรเอาเรื่องความแก่มาล้อเล่น และราเชนทร์ก็เป็นผู้ใหญ่เกินกว่าที่เธอจะมาพูดเล่นซะด้วย

“เดี๋ยวอะไร? หึ”

“มะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” มนต์ลดาดึงสติตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ราเชนทร์ขมวดคิ้วแน่น จ้องมองที่นางแบบสาวราวกับอยากคาดคั้นเอาคำตอบ นัยน์ตาสีนิลจับจ้องดวงหน้าสวยพลางขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัย

“คุณราเชนทร์คะ น้ำมนต์ขอตัวกลับก่อนนะคะ” เด็กสาวรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยลาเจ้านายในอนาคตของเธอ

“เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง” ราเชนทร์พูดพลางหยิบของที่โต๊ะพร้อมกับกุญแจรถ ชายหนุ่มอยากไปส่งเธอด้วยตัวเอ เพื่อจะได้มั่นใจว่ามนต์ลดาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาดทั้งที่ปกติเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใครถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตามการที่ได้เห็นเด็กสาวถึงบ้านอย่างปลอดภัยนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจที่สุดในตอนนี้

“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์กลับเองได้” เด็กสาวคลี่ยิ้มพร้อมกับกระชับกระเป๋าไว้ที่ไหล่เตรียมตัวออกจากโรงแรมแห่งนี้

ราเชนทร์ไม่สนใจคำพูดของหนูมนต์ลดา ชายหนุ่มรีบก้าวเท้าฉับเดินไปที่ประตูด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาปรายตามองเด็กสาวอย่างคนมีฟอร์มก่อนจะเปิดมันค้างไว้แล้วหยุดยืนรอเด็กสาวที่กำลังยื่นงงอยู่ให้รีบออกมา “ตามมาสิ”

“แต่…”

ราเชนทร์ถอนหายใจ พลางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ “อย่าทำตัวเป็นเด็กดื้อไปหน่อยเลย” วูบหนึ่งเขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว

นานแค่ไหนแล้ว…ที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้

มนตร์ลดาจำใจเดินตามราเชนทร์ไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอรู้สึกดีกับเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เขาดูแลเอาใจใส่เกินความจำเป็นเช่นตอนนี้ มนต์ลดาไม่มั่นใจว่าการทำดีของท่านประธานจะหวังอะไรในตัวเธอเฉกเช่นเจ้าสัววิฑูรหรือไม่ ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร มนต์ลดาก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ

ราเชนทร์เดินนำไปยังลิฟต์ผู้บริหารเพื่อลงไปชั้นจอดรถ VVIP ก่อนจะเดินไปเปิดประตูซูเปอร์คาร์สีแดงเพลิง มนตร์ลดาค่อย ๆ ก้าวขึ้นรถหรู ตัวเกร็ง ความรู้สึกกดดัน หากเลือกได้เธออยากกลับบ้านด้วยตัวเองมากกว่า แต่เขาเป็นคนช่วยเธอจากเหตุการณ์ร้าย ๆ มนต์ลดาเข้าใจว่าเขาอาจเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ กระนั้นการที่จะให้เชื่อเขาอย่างสนิทใจหลังจากเพิ่งจะโดนปลุกปล้ำมานั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ ‘รวยอะเข้าใจ แต่รถคือมันจะหรูอะไรขนาดนี้นะ ถ้าส้นสูงฉันไปทำรถเขาเป็นรอยนี่…จะไปเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าซ่อมสีเนี่ย แค่คิดถึงเรื่องเงินก็อยากจะลาตายซะตอนนี้แล้ว เงินของวันนี้ฉันยังไม่ได้เลย ทำงานก็ยังไม่เสร็จ ดันมามีเรื่องอีกซะได้ ถ้าเจ้าสัววิฑูรเป็นอย่างที่คนในวงการเขาพูดกันว่าหากใครขัดใจจะไม่มีพื้นที่ในวงการบันเทิง ฉันจะทำยังไงล่ะเนี่ย อีน้ำมนต์เอ๋ย จะไปหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ทันนะ’ น้ำมนต์ตกอยู่ในห้วงความคิด ถอนหายใจซ้ำ ๆ จนไม่ทันฟังที่ราเชนทร์เอ่ยถาม

“พักอยู่แถวไหน” ราเชนทร์เค้นเสียงเข้ม

“จริง ๆ คุณส่งฉันขึ้นแท็กซี่ก็ได้ ไม่ต้องลำบากไปส่งฉันหรอก”

มนต์ลดาตอบทันควัน เธอยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้เพราะไม่รู้จะบอกที่บ้านเรื่องเงินอย่างไร อีกไม่ถึงสามวันเจ้าหนี้มาทวงเงินแล้ว หนักใจจริงเชียว

“กดจีพีเอสให้ผมหน่อย” ราเชนทร์เอ่ยเสียงแข็ง ยื่นโทรศัพท์ให้เด็กสาวอย่างไม่ฟังคำทัดทาน มนต์ลดารับโทรศัพท์มากดพิกัดบ้านของเธอพร้อมกับเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอีกครั้ง

“นอกจากคำขอบคุณ พูดคำอื่นเป็นไหม?”

ราเชนทร์รับโทรศัพท์ขณะที่มือทั้งสองสัมผัสกัน เด็กสาวช้อนตามองเขา นัยน์ตาสีนิลชวนให้ลุ่มหลง ใบหน้าคมเข้มออกไปทางลูกครึ่งนิด ๆ แต่โครงหน้าชัด ผิวสีเข้มสไตล์คนเอเชีย ไรหนวดสีเขียวอ่อนที่ดูรู้ว่าเพิ่งถูกการกำจัดมาเมื่อไม่นาน ริมฝีปากสีแดงก่ำที่ดึงดูดสายตาเธอให้เคลิบเคลิ้มชวนฝัน ผสานกับกลิ่นหอมอ่อนที่เป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของท่านประธานหนุ่ม เธอจดจำกลิ่นหอมอ่อนนั้นได้ดี เมื่อครู่ที่เขามาช่วยเธอจากเจ้าสัววิฑูร จังหวะที่ชายหนุ่มก้มห่มสื้อสูททำให้สถานการณ์แสนโหดร้ายถูกปลอบประโลมให้เธอค่อย ๆ สงบลงด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ

ราเชนทร์ยังคงสบตาหญิงสาวราวกับอยากหยุดเวลาเอาไว้เพียงตรงนี้ เสียงแตรรถจากคันข้างหลังแจ้งเตือนให้ทั้งคู่หลุดออกจากห้วงภวังค์

“คุณคะ ไฟเขียวแล้ว ถ้าไม่ให้น้ำมนต์ขอบคุณ แล้ว...จะให้ฉันด่าคุณหรือยังไง? หึ นี่อย่ามาหาเรื่องฉันนะ” มนต์ลดาตอบด้วยประโยคหยอกเย้ากลับแก้เขิน ทว่าชายหนุ่มกลับดึงหน้านิ่ง รอยยิ้มที่เค้นหัวเราะอยู่ค่อย ๆ หุบลงจนนั่งก้มหน้านิ่งเงียบในที่สุด จู่ ๆ เขาเอื้อมมือมาลูบศีรษะกลมอย่างไม่มีสาเหตุ แทนที่มนต์ลดาจะปัดป้องต้องมืออบอุ่นของเขา เธอกลับรู้สึกอุ่นใจราวกับมีใครสักคนปลอบขวัญหัวใจเด็กสาวใบหน้าร้อนผ่านรู้สึกวูบไหวอย่างไม่เป็นตัวเอง เธอเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง “ตาบ้าเอ้ย” มนต์ลดาบ่นเบาๆ

ราเชนทร์ชวนเด็กสาวคุยระหว่างขับรถ อย่างที่รู้กันดีว่าการจราจรเมืองไทยติดยิ่งกว่าอะไรดี ไฟเขียวรถยังไปได้ไม่ถึงห้าคัน แต่ไฟแดงชาติเศษ ถนนที่ปิดเลนก่อสร้างบางเส้นผ่านไปเกือบสองปีแล้วยังทำไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ เขาชำเลืองไปยังเด็กสาวข้าง ๆ พลางคิดว่า ‘รถติดวันนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้คุยกับเธอให้นานอีกหน่อย’

“แล้วรับงานจากเจ้าสัววิฑูร เธอไม่รู้หรือว่าเสี่ยแกเป็นพวก...แบบนั้น”

มนต์ลดาส่ายหน้าแทนคำตอบ…

อันที่จริงมนตร์ลดาก็พอรู้มาบ้าง แต่เธอคิดว่าในเมื่อเธอไม่ยอมซะอย่างใครจะมาทำอะไรเธอได้ แต่มนต์ลดาคิดผิดไป หรือไม่พี่บัวนั่นล่ะเป็นตัวการ

“ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่” ราเชนทร์บ่นพึมพำ

“นี่คุณ ฉันได้ยินนะ ฉันไม่รู้จริง ๆ คุณก็เห็นว่าฉันไม่ได้ชอบใจที่มันทำระยำกับฉันแบบนั้น” เมื่อคิดถึงสิ่งที่เจ้าสัวมันทำกับเธอ ดวงหน้าขาวอมชมพูกลับขึ้นสีเลือดแดงระเรื่อด้วยความโกรธจัด

“คราวหลังรับงานก็ดูดี ๆ สิ โตจนป่านนี้ละนะ” ราเชนทร์กวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างเด็กสาว ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แม้เขาจะดุนางแบบสาวแต่น้ำเสียงที่เตือนนั้นเปี่ยมด้วยความห่วงใยอย่างที่ตัวของเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว มนตร์ลดากระชับเสื้อสูทปิดส่วนเนินอกอิ่ม ขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับยู่ปากเป็นเชิงดุผู้ที่กำลังใช้สายตาสำรวจเรือนร่างเธอ ราเชนทร์แสร้งเป็นไม่มองแล้วตั้งใจขับรถต่อแม้เขาจะเผลอกระตุกยิ้มอย่างเอ็นดู แต่เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็ปรับเป็นหน้าเย็นชาเช่นเดิม อดคิดไม่ได้หากตนมาช่วยไว้ไม่ทันอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่

“คงไม่มีคราวหน้าละล่ะคุณ” มนต์ลดาแสดงสีหน้าเศร้าพร้อมกับถอนหายใจซ้ำ น้ำตารื้นที่ขอบตาก่อนที่เธอจะถอนหายใจเบาๆ

ราเชนทร์เห็นนางแบบสาวสาวรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนักระหว่างทางกลับบ้าน ราเชนทร์ชำเลืองเห็นสวนสาธารณะจึงตบไฟแล้วหักเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของผู้ที่นั่งมาด้วย “คุณเลี้ยวรถทำไมกัน จะพาฉันไปไหน” มนต์ลดาตื่นกลัว

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า แค่ผมเห็นท้องฟ้าวันนี้สวยดี” ราเชนทร์พูดขึ้นลอย ๆ ก่อนจะจอดรถ จู่ ๆ เขาเปิดประตูออกแล้วอ้อมไปเปิดประตูฝั่งมนต์ลดา ดึงข้อมือบางให้ออกมารับลมข้างนอก

สายลมโชยอ่อน เสียงใบไม้หวีดหวิวราวขับกล่อมเพลงหยอกล้อเหล่าผีเสื้อ บรรยากาศสดชื่นปลอดโปร่ง ภาพสีเขียวขจีเบื้องหน้าตัดสลับกับท้องฟ้ายามเย็น เสียงเด็กน้อยหัวเราะร่าเริงยามวิ่งเล่นที่สนามหน้าเขียวชอุ่ม ผสานเสียงนกร้องชวนให้ผู้ที่นั่งพักผ่อนได้คลายความเครียดพร้อมเติมพลังใจ…

“พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แวะสูดอากาศก่อนกลับเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” ราเชนทร์พลันถือวิสาสะฉุดกึ่งลากข้อมือบางมายังเก้าอี้ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่

“เพื่อนรุ่นพ่อล่ะสิ ฮ่า…” มนต์ลดาอดบ่นพึมพำไม่ได้ ทว่าคนแก่กว่าได้ยินชัดเต็มสองหู ราเชนทร์ขมวดคิ้วขบกรามแน่น

“ค่ะ ดูเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน” รอยยิ้มมนต์ลดาเริ่มกลับมาอีกครั้ง

“สมัยผมเด็ก ๆ พ่อกับแม่ชอบมาปิกนิกที่ริมทะเลสาบนี้” ราเชนทร์เอ่ยราวกับระลึกถึงความหลัง พลางทอดสายตาไปยังแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีเรือเป็ดลอยไปมาบนผิวน้ำ เมื่อไหร่ที่เขามีเรื่องไม่สบายใจมักชอบมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นประจำ เพราะที่นี่หลอมรวมความทรงจำดี ๆ ของเข้าไว้มากมายเข้าด้วยกัน และการที่เขาได้เจอกับมนต์ลดา เด็กสาวแสนดื้อคนนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีอีกเรื่องในความทรงจำของเขา ขณะที่ราเชนทร์เห็นรอยยิ้มใสของเด็กสาว หัวใจที่เคยแกร่งเยือกเย็นดังทะเลน้ำแข็งราวกับค่อย ๆ ละลายลงยามได้สบดวงตาคู่สวย กำแพงหัวใจที่สูงดั่งภูผาทลายลงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของมนตร์ลดาใกล้ๆ

ราเชนทร์รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจวูบไหว เขารู้เพียงว่าอยากอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา อยากดูแลเธอเพียงคนเดียว นี่เขาท่าจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ สินะ!

‘เริ่มไม่อยากให้ยัยคนนี้เป็นแค่ความทรงจำซะแล้วสิ…’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ