ตอนที่ 6ความหวังที่พังทลาย

มนต์ลดารีบเก็บเอกสารการฝึกสหกิจศึกษาเข้าแฟ้มก่อนจะยกข้อมือดูเวลา‘ตายจริง เกือบจะ 20 นาทีแล้วเหรอเนี่ย คุณราเชนทร์จะดุฉันหรือเปล่านะ ว่าแต่เขามีธุระอะไรกับฉันกันนะ!?’

ไม่นานนัก มนต์ลดาเดินมาถึงหน้าบริเวณร้านสวีตคอฟฟีช็อป ร้านกาแฟหน้าคณะฯ เด็กสาวมองเข้าไปภายในร้าน ปรากฏภาพชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งนั่งริมกระจกด้วยท่าทางสบาย ๆ ราเชนทร์สวมสูทสีกรมเข้ม ดูภูมิฐานเกินกว่าจะนั่งร้านกาแฟที่รายล้อมด้วยเด็กหนุ่มสาวนักศึกษา เหมือนว่าเขากำลังนั่งดูบางอย่างบนหน้าจอไอแพด มนต์ลดาเผลอยืนมองเขาวูบหนึ่ง หัวใจเธอกระตุกไหว

‘หัวใจฉันเป็นอะไรไปหรือนี่ ทำไมมองหน้าเขาต้องรู้สึกหวั่นไหวด้วยนะ’ น้ำมนต์สะบัดหน้าแรงเรียกสติ ก่อนจะรีบเข้าไปพบคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

มนต์ลดาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอ่อนเจือความรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ พอดีน้ำมนต์คุยกับอาจารย์เรื่องเอกสารฝะ…”

“เอกสาร?” ราเชนทร์ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“เออ เรื่องนั้นคุณไม่ต้องรู้ก็ได้ ว่าแต่คุณราเชนทร์มีธุระอะไรจะคุยกับน้ำมนต์หรือคะ?” เด็กสาวรีบถามเนื่องด้วยไม่อยากอยู่ใกล้คนแก่กว่านานนัก ถึงแม้ที่นี่จะเป็นร้านกาแฟในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่อยากไว้ใจใครในตอนนี้!

“เรียนเหนื่อยไหม?” คนแก่กว่าถามอย่างอ่อนโยนพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบด้วยท่าทีสบาย มนต์ลดาเริ่มขุ่นเคืองเล็กน้อย นอกจากคุณราเชนทร์จะไม่ตอบคำถามเธอ ยังจะถามคำถามใส่เธอกลับอีก!

“คุณคะ คุณมีธุระอะไรกับฉัน” มนต์ลดาเอ่ยเสียงแข็ง

“นั่งก่อนสิ” ราเชนทร์ผายมือไปยังเก้าอี้ตรงข้ามที่ว่างอยู่

“โอ๊ย…” มนต์ลดาขบกรามแน่น ถอนหายใจยาว

“ฮึ” ราเชนทร์ลอบมองกิริยาของเด็กสาวที่ทำตัวไม่ค่อยน่ารัก ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยใบหน้านิ่ง ทำให้คนที่ถูกสายดากดดันรู้สึกเกรงไปโดยปริยาย

“ค่ะ นั่งก่อนก็ได้” มนต์ลดาพูดเสียงอ่อน แล้วถอนหายใจยาว

ราเชนทร์หยิบแผ่นพับเมนูเครื่องดื่มส่งให้เด็กสาวก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างผู้ที่ได้รับชัยชนะ “สั่งอะไรก่อนไหม?”

“ไม่ค่ะ คุณคุยธุระของคุณมาเลยได้หรือเปล่า?”

“แหม ๆ เด็กน้อย ทำไมทำเหมือนผลักไสไล่ส่งผมจังเลยล่ะครับ” ราเชนทร์เอ่ยเสียงสุขุม ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้เด็กสาวจนเธอหน้าแดงระเรื่ออย่างเก็บอาการไม่มิด “อ้าว รู้ตัวด้วยเหรอ” เธอพึมพำเบาๆ

ราเชนทร์เลิกคิ้วสูง ขมวดคิ้วแน่น ใช้สายตาเป็นเชิงดุ มนต์ลดารู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นท่านประธานบริษัทที่เธอจะต้องไปฝึกงาน เด็กสาวจึงโอนอ่อนตามที่เขาต้องการ เด็กสาวพลิกเมนูดูก่อนจะเลือกเป็นเมนูน้ำที่ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นอย่างน้ำมะนาวโซดา

“น้ำมนต์รบกวนเป็นน้ำมะนาวโซดาแล้วกันค่ะ”

“ขนมด้วยไหม”

“ไม่ค่ะ เดี๋ยวอ้วน น้ำมนต์ต้องคุมน้ำหนัก”

เด็กสาวไม่รู้เลยว่าแววตาเป็นประกายของเธอตอนมองขนมสะกิดใจคนมองเพียงใด “ตัวเล็กเท่าลูกแมว จะคุมทำไมกัน” ราเชนทร์บ่นอุบ

“คุณกินเถอะค่ะ น้ำมนต์ขอแค่น้ำมะนาวโซดาก็พอ”

‘อันที่จริงฉันก็อยากจะกินมันทุกอย่างเนี่ยล่ะ ยิ่งวันเครียด ๆ แบบนี้ด้วย หวานจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่ถ้าฉันอ้วนขึ้นแล้วจะรับงานได้ยังไงกัน คงไม่มีใครอยากจ้างคนพุงพลุ้ยหรอกมั้ง ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน เห้อ ลาก่อนนะชีสเค้กที่รัก…’

“คุณได้รับค่าจ้างงานพรีเซนเตอร์ไวน์ของเจ้าสัวแล้วหรือยัง?” ราเชนทร์ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเช้าเขาให้เลขาช่วยเช็กเรื่องเงินของพรีเซนเตอร์ ปรากฏว่าทางบริษัทเราจ่ายให้เจ้าสัววิฑูรไปทั้งหมดแล้ว แต่ทางออแกไนซ์ที่จัดงานแจ้งว่าเจ้าสัววิฑูรไม่พอใจที่พรีเซนเตอร์ทำงานไม่จบสมบูรณ์ จึงไม่ยอมจ่ายครบตามจำนวนจนกว่าน้ำมนต์จะเข้าไปขอโทษเจ้าสัวด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังจะฉีกสัญญาเลิกจ้างหนูมนต์ลดาเป็นพรีเซนเตอร์ไวน์ตัวใหม่อีกด้วย

ราเชนทร์จึงให้ทางเลขาประสานงานและจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อยเพราะราเชนทร์ก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วน และยังเห็นเจ้าสัวทำเรื่องชั่วในโรงแรมของตนในตอนนั้นอีก แน่นอนว่าเจ้าสัววิฑูรคงไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเหตุให้ต้องมีปัญหากัน

“เอ่อ...เรื่องนั้น”

“เดี๋ยวผมให้เลขาช่วยจัดการเรื่องนั้นให้นะ” ราเชนทร์เอ่ยด้วยท่าทางนิ่งขรึม

“คุณมาช่วยฉันทำไมคะ”

“ผมอยากให้คุณเป็นนางแบบคอลเลกชันใหม่ของรัชตะ จิล แอนด์ เจมส์” ราเชนทร์กระตุกยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย พลางยื่นยื่นข้อเสนอให้นางแบบสาว

“คุณติดต่อผ่านพี่บัวได้เลยนะคะ น้ำมนต์มีสัญญาห้ามรับงานนอกเอง”

“อ้าว คุณยังไม่รู้เรื่องหรอกเหรอ” ราเชนทร์ตกใจที่เด็กสาวยังไม่รู้เรื่องที่เธออาจจะทำงานในวงการยากขึ้นกว่าเดิม และคุณบัว ผู้จัดการของมนต์ลดาไม่ต่อสัญญาเพราะไม่อยากมีปัญหากับเจ้าสัววิฑูร

“เรื่องอะไรหรือคะ คุณราเชนทร์ สักครู่นะคะ” มนต์ลดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายจากพี่บัว มนต์ลดาค้อมศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตคุณราเชนทร์ที่เสียมารยาทรับโทรศัพท์สายสำคัญทั้งที่ยังไม่ลุกออกจากโต๊ะ ขณะที่ประธานหนุ่มคลี่ยิ้ม อย่างไม่ถือสา พร้อมกับยกไอแพดขึ้นมาเปิดหน้ากระดานตลาดหลักทรัพย์ฆ่าเวลา 

[น้ำมนต์ ว่างไหม พี่บัวมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อย]

“เลิกเรียนแล้วค่ะ ว่ายังไงคะพี่บัว เรื่องงานเมื่อวันอาทิตย์ขอโทษจริง ๆ นะพี่ เอ่อ…พี่บัวคะช่วงนี้พอจะมีงานอะไรให้มนต์เพิ่มไหม งานเล็กหรืองานแทนพี่ ๆ คนอื่นก็ได้ค่ะ พอดีช่วงนี้มนต์จำเป็นต้อง…” เธอพูดเสียงเบา พลางเบี่ยงตัวหันหนีเขา

[น้ำมนต์ น้ำมนต์ ฟังพี่ก่อน] พี่บัวพูดตัดบทด้วยเสียงเรียบ

“ค่ะ”

[พอดีพี่จะบอกว่าสัญญาที่เราเซ็นกันไว้รอบล่าสุดหมดไปตั้งแต่ก่อนวันงานของเจ้าสัววิฑูรแล้วนะ และการที่น้ำมนต์มีปัญหากับลูกค้าทำให้มีผลกระทบต่องานอื่น ๆ ทางบริษัทก็เลยคิดว่าจะไม่ต่อสัญญากับน้ำมนต์]

“ไม่นะ…พี่บัวอย่าทิ้งน้ำมนต์แบบนี้สิ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงสั่น ใจเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าว เหงื่อกาฬผุดทั่วไรผม

หลังจากมนต์ลดาได้ฟังพี่บัวบอกจะไม่ต่อสัญญาจ้างราวกับหัวใจเธอแทบหยุดเต้น งานจากพี่บัวเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้มนต์ลดามีเงินจ่ายหนี้ หากเธอไม่ยอมจ่ายหรือช้าอีกรอบแล้วล่ะก็ พวกมันจะต้องให้คนมาพังร้านแน่นอน เผลอ ๆ พ่อกับแม่อาจโดนพวกมันทำร้ายก็ได้

[พี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่เรื่องที่น้ำมนต์ไม่โปรเฟซชันนอล อยู่ ๆ ก็ทิ้งงานแบบนั้น ทำให้ทางเจ้าของโปรดักส์เขาไม่พอใจน้ำมนต์มาก ส่วนเงินครึ่งหลังพี่จะจ่ายให้น้ำมนต์ 50% นะ]

พี่บัวพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ ทั้งที่ความจริงพี่บัวเป็นคนรู้ดีที่สุดว่าเจ้าสัววิฑูรหมายตามนต์ลดา และงานนี้ก็เป็นงานที่ได้เงินเยอะมากจนทำให้เส้นศีลธรรมที่ปกติไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วของพี่บัวขาดผึง กระทั่งยอมรับงานเทา ๆ นี้ให้กับมนต์ลดา

“ได้ไงอะพี่ เราตกลงกันไว้แล้ว อย่างน้อย ๆ ขอค่าจ้างน้ำมนต์ให้ครบไม่ได้เหรอพี่บัว หนูจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ” มนต์ลดาพูดกระซิบเสียงเบา

[เห็นแก่ที่แกทำงานให้พี่มาเยอะ เดี๋ยวอีก 50% ที่เหลือฉันจะเป็นคนจ่ายให้แกเองก็ได้] พี่บัวพูดลอย ๆ ตัดความรำคาญ ขณะที่น้ำมนต์ก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่บัวจะให้เธอจริงเฉกเช่นที่บอกมาหรือไม่ แต่ตอนนี้เงินอยู่ในมือพี่บัว แน่นอนว่าพี่บัวถือไพ่เหนือกว่า สิ่งที่เธอทำได้ คือการภาวนาให้โลกไม่โหดร้ายกับเธอมากไปกว่านี้

[ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะพี่บัว แล้วเรื่องต่อสัญญา…]

จู่ ๆ พี่บัวกดตัดสายทิ้ง โดยที่ปล่อยให้มนต์ลดา อดีตนางแบบตัวท็อปของบริษัทถือโทรศัพท์ค้างราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังทะลุออกมาราวกับตอกย้ำเธอว่า สิ่งที่พยายามมาตลอดสองปีกว่า มันพังทลายไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะเธอไม่ยอมให้ลูกค้าย่ำยี

มนต์ลดาเงยหน้าขึ้นมาด้วยหัวใจแตกสลาย เด็กสาวไม่คิดฝันว่าพี่สาวที่บอกว่าจะดูแลเธอไปตลอดนั้นกล้าทิ้งเธอไว้กลางทาง ทั้งที่เธอทำงานอย่างขยัน ขอแค่ไม่ใช่งานที่ต้องไปทำเรื่องผิดศีลธรรม ก่อนหน้านี้มนต์ลดารับทั้งหมดโดยไม่เกี่ยงงาน แม้บางครั้งเมื่อหักเปอร์เซ็นต์แล้ว เธอแทบจะได้ค่าจ้างไม่พอกับค่าแต่งหน้าแต่งตัวเลยก็ตาม ทว่าเด็กสาวก็หวังเพียงจะมีงานต่อเนื่อง มีที่ยืนในวงการอย่างมั่นคง ตอนนี้มนต์ลดาได้บทเรียนราคาแพงแล้วว่า ไม่มีอะไรที่มั่นคง ไม่มีใครที่จะมาการันตีได้ว่าเราจะถึงจุดสูงสุดวันไหน หรือจะตกวูบลงมาในวันไหน

สิ่งที่เธอเจ็บใจมากที่สุดก็คืออนาคตในเส้นทางที่เธอพยายามมาทั้งหมดพังครืนไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะไอ้เจ้าสัวมักมากคนเดียว

‘นี่ฉันต้องพังแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? ข่าวลือที่ว่าใครทำให้เจ้าสัวไม่พอใจจะหมดอนาคต ท่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ’

หลังจากมนต์ลดาฟังคำพูดมากมายของพี่บัวผ่านโทรศัพท์ สุดท้ายแล้วพี่บัวก็มองเธอเป็นแค่ตัวทำเงินให้เท่านั้น พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งอย่างไม่ไยดี มนต์ลดานั่งนิ่ง สมองเบลอ มือเย็นยะเยือก เธอไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรต่อไปดี

‘แม้ฉันจะเสียศูนย์สักแค่ไหน แต่ฉันไม่มีเวลาท้อได้นานนักหรอกนะ ไหนจะหนี้สินท่วมหัวรอให้ชดใช้ ครอบครัวก็คาดหวังจากฉัน แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีนะ’ เธอนั่งก้มหน้านิ่ง สงบจิตใจให้เป็นปกติอย่างถึงที่สุด เธอเชื่อว่าหากมีสมาธิ สติก็จะตามมา ถ้าเธอมีสติก็จะต้องหาทางออกของปัญหาได้อย่างแน่นอน

“น้ำมะนาวได้แล้วค่ะ” พนักงานยกน้ำที่สั่งมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

มนต์ลดาเงยหน้ามองคุณราเชนทร์ด้วยสายตาว่างเปล่า แววตาเศร้าสิ้นหวัง เด็กสาวพรูลมหายใจยาวก่อนจะหยิบน้ำมะนาวโซดามาดื่มหวังจะให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

“คุณรู้อยู่ก่อนแล้วหรือคะ” เด็กสาวเอ่ยถามใบหน้าหงอย

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าสัววิฑูรอยากได้ใครก็ต้องได้ และมันคงหัวเสียน่าดูที่วันนั้น…ส่วนผู้จัดการคุณเขาคงไม่อยากมีปัญหากับผู้มีอิทธิพลละมั้ง” เขาพูดเหตุการณ์โดยรวม ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสิ้นหวังของเด็กสาวให้ทวีคูณยิ่งขึ้น

“ช่างเถอะคุณ อย่างน้อยก็ยังได้เงินค่าจ้าง และเดี๋ยวน้ำมนต์ก็จะไม่ค่อยว่างรับงานแล้วด้วย” มนต์ลดาถอนหายใจยาว

“แค่นี้ท้อแล้วหรือ?”

“ไม่ได้ท้อหรอกค่ะ น้ำมนต์มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำมากกว่า”

“อย่างนั้น เครื่องประดับคอลเลกชันใหม่ คุณมาเป็นนางแบบให้บริษัทของผมได้แล้วใช่ไหม?” ราเชนทร์เห็นใบหน้าที่ท้อแท้ของหนูมนต์ลดา ยิ่งทำให้เขาใจวูบไหว ชายหนุ่มจึงถามเธออีกครั้งเผื่อจะทำให้หนูมนต์ลดารู้สึกดีขึ้นไม่มากก็น้อยที่ยังพอมีงานอยู่ และดูเหมือนว่าเธอมีความจำเป็นต้องใช้เงินด้วย การยื่นโอกาสในการทำงานที่เธอถนัดเป็นหนทางที่ราเชนทร์คิดว่าเหมาะสมอย่างที่สุด ดีกว่าการให้เงินก้อนแก่เธอเป็นไหน ๆ

“ฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ ฉันกลัวเรื่องเวลาไม่ตรงกัน เกรงว่าจะไม่สะดวกกับทีมงานคุณ”

‘ฉันอยากรับงานนี้มากเลย แต่วันจันทร์นี้ต้องเข้าไปฝึกงานที่บริษัทคุณแล้ว และฉันจะทำงานนี้ได้ยังไงกัน แต่ถ้าฉันไม่รับแล้วจะหาเงินจากไหนจ่ายหนี้ล่ะเนี่ย!?’

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลย คุณน้ำมนต์คุยกับเลขาผมได้เลย เคยเจอกันแล้วนี่ คุณประกายดาวน่ะ” ราเชนทร์ยิ้มสุขุม

หนูมนต์ลดานึกถึงพี่คนสวยใจดีที่ช่วยเธอทำแผลวันนั้นแล้วพยักหน้ารับ

“งั้นสรุปว่างานนี้คุณรับใช่ไหม?”

“ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”

“เดี๋ยวจะนัดประชุมกันอีกทีระหว่างบริษัทเรากับทีมออร์แกไนซ์ ถึงวันนั้นจะให้เลขาติดต่อไปนะ” ราเชนทร์แจงให้เด็กสาวฟัง ก่อนจะหยิบภาพสเก็ตช์ของเครื่องประดับชุดใหม่ขึ้นมาถือไว้ในมือสลับกับมองหน้ามนต์ลดา

“ค่ะ” เด็กสาวคลี่ยิ้มบางออกมาได้อีกครั้ง

“แล้วคุณจะไม่ถามเรตที่ถ่ายงานสักหน่อยเหรอ”

“เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ค่ะ ไหน ๆ ตอนนี้น้ำมนต์ก็ไม่มีงานแล้ว คุณมั่นใจนะคะว่าจะจ้างน้ำมนต์จริง ๆ ไม่กลัวมีปัญหากับเจ้าสัววิฑูรเหรอคะ” มนต์ลดาถามด้วยความกังวล แม้เธอจะดีใจมากที่ได้งานนี้ แต่เธออดกลัวไม่ได้ว่าการที่คุณราเชนทร์รับเธอทำงานอาจส่งผลเสียบางอย่างกับธุรกิจคุณเขา

“นี่มันเรื่องของธุรกิจผม งานของผมไม่จำเป็นต้องสนใจหรือรายงานคนอย่างเจ้าสัววิฑูรหรอก” ราเชนทร์เอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะสบตากลมโตของเด็กสาวแล้วเผลอเชยคางมนต์ลดาอย่างนึกเอ็นดู “ขอแค่เป็นเด็กดี…ไม่ดื้อก็พอแล้ว” ราเชนทร์ยิ้มกริ่ม ขณะที่มนต์ลดาสะบัดหน้าหนีเบาๆ

“อะไรนะคะ” เธอขมวดคิ้วแน่น

ราเชนทร์ขยับตัวเล็กน้อย พลางจัดสูทให้เข้าที่แล้วเสตาไปมองอย่างอื่น ทำทีว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เด็กสาวถามย้ำ เด็กสาวมองหน้าคนแก่กว่าแล้วระบายยิ้มอย่างอุ่นใจ เธอไม่เคยเจอใครใจดีเท่าคุณราเชนทร์มาก่อน แม้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม เขาถึงมาทำดีด้วย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ต้องขอบคุณเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามา ทำให้ได้พบกับคุณราเชนทร์ ชีวิตที่เหนื่อยล้ามืดมนของมนต์ลดาเริ่มเห็นแสงสว่างสาดส่อง แม้แสงนั้นจะเป็นเพียงลำแสงบางเบาริบหรี่ หากแต่ก็เป็นแสงแห่งความหวังเดียวที่มนต์ลดาพิงพักใจได้ในเวลานี้ และเป็นงานเดียวในตอนนี้ที่เธอจะหาได้ “คุณราเชนทร์คะ” มนต์ลดาเรียกคนแก่กว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

มนต์ลดาค้อมศีรษะยกมือไหว้ราเชนทร์อย่างจริงใจ “ขอบคุณ คุณราเชนทร์มากจริง ๆ นะคะ คุณมาช่วยน้ำมนต์ไว้ตลอดเลย ถ้ามีอะไรที่น้ำมนต์พอจะช่วยคุณราเชนทร์บได้ รีบบอกน้ำมนต์เลยนะคะ”

“มีสิ…” ราเชนทร์ยกยิ้มร้าย

‘นั่นไง เกือบจะดีอยู่แล้ว เขาคงไม่ต่างจากตาแก่ที่ชอบควงอีหนู ใช่ไหม?’

“คะ?” มนต์ลดาช้อนตามองคนแก่กว่า เอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัย

ราเชนทร์ยกมือขึ้นลูบเรือนผมสลวยอย่างเบา ๆ “เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วรีบเรียนให้จบ…ทำได้หรือเปล่าล่ะ?”

มนต์ลดาฟังที่คุณราเชนทร์พูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ จะมีหรือคนที่ทำดีกับใครสักคนมากขนาดนี้แล้วจะไม่หวังอะไรตอบแทน “เท่านั้นหรือคะ?”

“ใช่สิ แล้วจะให้ผมขออะไรอีก” เขาเลื่อนจากลูบเรือนผมนุ่มมาที่พวงแก้มใส

“คุณเป็นคนแปลกนะคะ” มนต์ลดาขยับตัวออกอย่างเหนียมอาย

“อื้ม ใครก็บอกกับผมแบบนั้นล่ะ” ราเชนทร์ยิ้มรับคำที่เด็กสาวเอ่ยแซว

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” เธอสบตาคุณราเชนทร์พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวาน

“สบายใจขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ผมไปส่งที่บ้านนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์เกรงใจคุณ”

ราเชนทร์ขมวดคิ้วแน่น “ผมไม่ชอบที่คุณเรียกผมว่า ‘คุณ’ เลย”

“ถ้าไม่อยากให้เรียกว่าคุณ จะให้เรียกว่าอะไรดีคะ? ลุง อา เฮีย หรือแบบนี้ดีไหมคะ คุณพ่อ” มนต์ลดาพูดพลางหัวเราะชอบใจ ใบหน้าที่เคร่งเครียดในตอนแรกดูผ่อนคลายลงไปมาก

ความอบอุ่นยามที่มนต์ลดาได้อยู่ใกล้ผู้ชายตรงหน้าเหมือนคุณราเชนทร์เข้ามาเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับหัวใจของเด็กสาวโดยที่เธอไม่รู้ตัว

“ดูเรียกแต่ละอย่าง ผมฟังแล้วรู้สึกแก่ขึ้นมาอีกหลายสิบปีเลยนะ”

ราเชนทร์พูดพลางขมวดคิ้วยุ่ง ปกติเขาจะเดตกับหญิงสาววัยยี่สิบปลาย ไม่ก็สามสิบต้น ๆ แต่สำหรับมนต์ลดา เขารู้สึกพิเศษกว่าหญิงสาวคนไหนที่เคยพบ ราเชนทร์ไม่เคยมีความรู้สึกดีอยากปกป้องใครเท่ามนต์ลดามาก่อน แต่ยังติดอยู่อย่างเดียวตรงที่หนูมนต์ลดาอายุน้อยกว่าสเปกไปสักหน่อย ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

“คุณไม่แก่หรอก แค่อายุเยอะกว่าฉันรอบกว่าเท่านั้นเอง” เธอเอ่ยแซวเสียงใส ขณะที่ราเชนทร์มองสายตาดุ แต่มนต์ลดายังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

‘จะว่าไปเขาก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะ’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ