ตอนที่ 8บริษัทที่ฉันใฝ่ฝัน มีเขาเป็นบอส

มนต์ลดาหยุดยืนที่หน้าชั้นสาม ซึ่งเป็นส่วนของฝ่ายบุคคล เช้าวันนี้เธอต้องยื่นเอกสารกับพี่ขวัญฤทัยเพื่อรายงานตัวว่าเป็นเด็กนักศึกษาที่มาฝึกงานจากมหาวิทยาลัย B ‘บริษัท รัชตะ จิล แอนด์ เจมส์’ เป็นอาคารสูงสิบห้าชั้น มีอาณาบริเวณสำหรับเป็นพื้นที่ส่วนกลางมากที่สุดในบรรดาอาคารสำนักงาน ทั้งอาคารจอดรถที่สร้างเป็นตึกขนาดสี่ชั้นแยกออกมา สวนหย่อม รวมถึงถนนเล็ก ๆ ที่เหมือนเป็นลู่วิ่งเอาต์ดอร์ขนาดเล็ก หากมนต์ลดาไม่รู้ว่าที่นี่คือบริษัทกับอัญมณีแถวหน้าของเมืองไทย เธอคิดว่าที่นี่คือสตูดิโอถ่ายละครขนาดย่อมก็เป็นได้ หน้าอาคารที่สำนักงานมีวงเวียนขนาดไม่ใหญ่ ซึ่งมีพุ่มดอกพุดสีขาวเป็นดอกเล็ก ๆ แซมพุ่มไม้สีเขียวน่ารัก โดยตรงกลางเป็นน้ำพุ

ละอองจากน้ำพุกระเซ็นหักเหกับแสงแดดปรากฏเป็นแสงสีรุ้งสะท้อนมา มนต์ลดายิ้มรับให้กับภาพสวยงามตรงหน้าอย่างอิ่มเอมใจ แล้วทึกทักเอาว่า…นี่อาจเป็นลางบอกเหตุแห่งความโชคดีของเธอก็เป็นได้

แม้มนต์ลดาจะไม่สันทัดเรื่องหลักฮวงจุ้ยมากนัก แต่เธอเคยเห็นบริษัทใหญ่มักมีน้ำพุอยู่หน้าบริษัทเพื่อเสริมสิริมงคล เพิ่มพลังทรัพย์ให้กับเจ้าของธุรกิจส่วนที่เด็กสาวประทับใจมากที่สุดตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงวินมอเตอร์ไซค์พร้อมกับเดินเข้ามาที่บริษัทนี้คงหนีไม่พ้นสวนสไตล์ฝรั่งเศสที่มีซุ้มเป็นโดมสีขาว เธอเคยเห็นแต่ในละครพีเรียดร่วมสมัยที่คุณหญิงคุณนายมักไว้จิบน้ำชายามบ่ายกันที่สวนเท่านั้น

รวมถึงมุมที่เธอไม่อาจละสายตาได้ก็คือพุ่มดอกกุหลาบไล่สีสันตั้งแต่สีขาว สีครีม สีเหลือง สีส้ม และที่เยอะที่สุดคือดอกกุหลาบสีแดงสด มนต์ลดาชื่นชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษ เพราะเป็นดอกไม้ ‘ตัวแทนแห่งความรัก’ โดยมีตำนานของเทพปกรณัมกรีกได้เล่าขานว่า คลอรีส (Chloris) เทพธิดาแห่งมวลดอกไม้ ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้ตนหนึ่งกลายเป็น “ดอกไม้สีแดง” กระทั่งยกให้เป็นราชินีแห่งมวลดอกไม้ ครั้งแรกที่มนต์ลดาได้อ่านเรื่อง ‘ราชินีแห่งมวลดอกไม้’ เป็นตอนที่อยู่ชั้นมัธยมปีที่สอง ตั้งแต่นั้นมาเด็กสาวรู้สึกประทับใจและชื่นชอบดอกกุหลาบเรื่อยมา โดยเฉพาะกุหลาบสีเหลือง ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ดอกกุหลาบสีเหลืองหมายถึงความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน

ช่วงชีวิตของมนต์ลดาที่ผ่านมาค่อนข้างเหนื่อยมาโดยตลอด ก่อนที่เธอจะได้ก้าวเข้ามาทำงานในวงการนางแบบ นอกจากเด็กสาวจะรับทำรายงานให้เพื่อนเพื่อเป็นรายได้เสริมหลังเลิกเรียน มนต์ลดายังรับงานพิเศษช่วยคุณน้านันทาที่เปิดร้านเช่าชุดแต่งงาน เธอทำทุกอย่างที่พอจะช่วยได้ ตั้งแต่เก็บกวาดร้าน ส่งชุดไปร้านซักรีด รวมถึงเป็นลูกมือของน้านันทา กระทั่งช่วงหลังมนต์ลดาเริ่มรับนางแบบจึงไม่มีเวลาเข้าไปช่วยงานที่ร้านเท่าที่ผ่านมา…

ภายในบริษัทตกแต่งทันสมัยโดยเน้นเป็นโทนสีดำ สีขาว และสีแดง ด้านในจัดเป็นสัดส่วน พนักงานในชั้นนี้ไม่มีไม่มาก ระหว่างที่มนต์ลดานั่งรออยู่ที่ด้านหน้าประชาสัมพันธ์ชั้นสาม ด้วยความตื่นเต้น สายตาเธอสอดส่องไปยังด้านหน้าสุดป้ายหน้าห้องเขียนว่า ‘ฝ่ายบุคคล’ ถัดมาเป็น ‘ฝ่ายจัดซื้อ’ ส่วนที่ดูเป็นส่วนตัวมากที่สุดเพราะอยู่อีกฝั่งแม้พื้นที่โดยรวมจะไม่ใหญ่นักแต่รับรู้ได้ถึงรังสีความกดดัน โดยติดป้ายตัวโตเขียนไว้ว่า ‘ฝ่ายบัญชี’

ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งรอคุณขวัญฤทัยอยู่นั้น มนต์ลดาสอดสายตาไปทั่วบริเวณที่นั่งอยู่นั้น นักศึกษาหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาดีราวกับโอปป้าเซตผมเปิดหน้าเดินหันรีหันขวางมาที่มนต์ลดานั่งอยู่

“ขอโทษนะครับ พอดีผมจะยื่นเอกสารรายงานตัวฝึกงานได้ตรงไหนครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุขุม

มนต์ลดายิ้มทักด้วยไมตรีจิต “พอดีเลยค่ะ เราก็นั่งรอคุณขวัญฤทัยอยู่เหมือนกันค่ะ”

ชายหนุ่มหย่อนสะโพกนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหญิงสาวพลางชวนคุยฆ่าเวลา “สวัสดีครับ มาฝึกงานที่นี่เหมือนกันใช่ไหม?” คิมหันต์เริ่มบทสนทนาน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

“ใช่ค่ะ เรามาจากมหา’ลัย B แล้วเธอล่ะ” มนต์ลดาตอบอย่างเขินอาย

“เรามาจากมหา’ลัย AC คณะนิเทศศาตร์” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงมั่นใจพลางส่งสายตาหวานให้หญิงสาวอย่างเป็นกันเอง

“ที่นี่รับคณะอื่นด้วยเหรอคะ”

มนต์ลดาเอียงศีรษะกลมเล็กน้อย แสดงสีหน้าสงสัย เท่าที่เธอรู้มาว่าบริษัทแห่งนี้ค่อนข้างเข้มงวดกับการรับนักศึกษาเข้ามาฝึกงานอย่างมาก ผู้ที่จะได้มาฝึกงานที่นี่ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นนักศึกษาที่เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า เกรด 3 เท่านั้น ยังต้องส่งโปรไฟล์งานที่เคยออกแบบ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนอีกด้วย

รุ่นพี่ที่เคยมาฝึกงานกับบริษัทนี้ได้เล่าต่อ ๆ กันว่า ใครที่ฝึกจากที่นี่จบไปแล้วเก่งทุกคน เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่ให้เราฝึกสิ่งที่เราเรียนรู้จากห้องเรียนสู่สนามการทำงานจริง แต่ผู้บริหารยังส่งเสริมให้นักศึกษาได้ออกความคิดเห็น หรือริเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ หากไอเดียที่นำเสนอมาน่าสนใจเพียงพอก็จะนำไปต่อยอดและให้เครดิตแก่ผู้ที่นำเสมอ สิ่งที่มนต์ลดาสนใจมากที่สุดจนอยากฝึกงานที่นี่ก็คือ หากนักศึกษาคนใดทางหัวหน้าทีมเห็นแวว บริษัทจะทาบทามให้มาทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ และที่สำคัญแม้จะเข้าออฟฟิศไม่บ่อยเท่าพนักงานปกติ เพราะยังต้องเคลียร์เอกสารหรือเก็บหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัย กระนั้นยังได้เงินเดือนเต็มเดือน ทว่าข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือต้องทำงานได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงการฝึกงานที่นี่จะยากแค่ไหน มนต์ลดาก็อยากจะใช้โอกาสที่เธอได้นี้ แสดงศักยภาพว่าเธอก็มีดีไม่แพ้ใคร!

“จริง ๆ ตอนแรกที่ยื่นสมัครเข้ามาเราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรับไหม เพราะเราไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเครื่องประดับมาเลย แต่เราเรียนเกี่ยวกับสื่อสารองค์กรมาน่ะ เลยพอจะทำงานด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ได้ และบังเอิญตอนนั้นผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรก็ต้องการผู้ช่วยพอดี ทางบริษัทจึงตอบรับคำร้องขอฝึกงานเราน่ะ ว่าแต่…เธอเรียนสายตรงมาใช่ไหม” ชายหนุ่มเล่าอย่างจริงจัง

“อื้ม น้ำมนต์เรียนณะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สาขาอัญมณีและเครื่องประดับ มหาวิทยาลัย B จ้ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงหวานแต่มั่นใจ สายตาทอประกายความภาคภูมิใจในมหาวิทยาลัยของตน

“ทั้งสวยทั้งเก่งเลยนะ เอ้อ เราลืมแนะนำชื่อเลย เราชื่อคิมหันต์ เรียกเราว่าคิมก็ได้” คิมหันต์พูดพลางส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้หญิงสาว

“เราชื่อมนต์ลดา เรียกว่าน้ำมนต์ก็ได้ค่ะ”

“ชื่อเพราะจัง”

“คิมก็ชมไปเรื่อย ปากหวานแบบนี้ตลอดเลยหรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยแซว

คิมหันต์โต้ตอบกลับอย่างไม่มีใครยอมกัน “ก็ไม่หรอกครับ จะหวานเฉพาะคนที่น่ารักอย่างน้ำมนต์”

“โอ๊ย พอเลยค่ะ เต๊าะซะน้ำมนต์ทำตัวไม่ถูกแล้ว”

“ว่าแต่เราคุ้นหน้าน้ำมนต์มากเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก” ชายหนุ่มทำท่าพลางนึก

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดคุยกับมนต์ลดามากนัก คุณขวัญฤทัยเดินปรี่ตรงเข้ามาหาเด็กนักศึกษาทั้งสองคน คุณขวัญฤทัยเป็นผู้หญิงใบหน้าคมเข้ม หุ่นดีได้รูป แต่ดูเนี้ยบตั้งแต่ทรงผมจรดรองเท้า แม้ใบหน้าเธอจะยิ้ม แต่แววตากลับมีรังสีอำมหิตที่มนต์ลดาเห็นแล้วถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับพรูลมหายใจออกช้า ๆ อย่างตื่นเต้น

“เดี๋ยวเด็ก ๆ นั่งรอตรงนี้สักครู่นะ รอให้เด็กนักศึกษาที่จะฝึกงานในปีนี้มากันครบทุกคนก่อน วันนี้พวกน้องโชคดีมากเลยนะที่ท่านประธานอารมณ์ดี เขาจะแวะเข้ามาต้อนรับเด็กนักศึกษาที่ฝึกงานวันแรกด้วยตัวเองเลย” คุณขวัญฤทัย หัวหน้าฝ่ายบุคคลกล่าวเสียงนิ่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ทิ้งให้มนต์ลดารู้สึกหน้าชา ตัวเกร็งจนเกือบจะลืมหายใจ

‘ท่านประธานจะมาต้อนรับด้วยตัวเอง โชคดีงั้นหรือ? โชคดีก็เหี้ยแล้วสิคะ!!! ยัยน้ำมนต์ แกจะทำยังไงดีเนี่ย’ น้ำมนต์พยายามสงบสติอารมณ์ที่ลนลานฟุ้งซ่าน ปลอบใจตัวเองว่าบริษัทใหญ่โตเบอร์นี้ อาจมีท่านประธาน กรรมการผู้จัดการ หรือ CEO ท่านอื่นที่ไม่ใช่คุณราเชนทร์หรอกมั้ง คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก ใช่ไหมนะ?

มนต์ลดาและบรรดาเด็กฝึกงานทั้งหมดหกคน ประกอบไปด้วยนักศึกษาที่เรียนสายตรงเกี่ยวกับอัญมณีและการออกแบบเครื่องประดับสี่คน นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชีหนึ่งคน และคนสุดท้ายคิมหันต์ที่มาจากคณะนิเทศศาสตร์ นักศึกษาทุกคนเข้านั่งพบท่านประธานที่ห้องประชุมเล็ก คุณทิพย์มณีเป็นพนักงานฝ่ายบุคคลอีกท่านที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านฝึกอบรม และยังใจดีมาก หล่อนเป็นหญิงสาวรูปร่างเล็ก ผอมบาง ทิพย์มณีแจกเอกสารเกี่ยวกับบริษัทและกฎระเบียบเบื้องต้นให้กับนักศึกษาฝึกงานทั้งหกคน ก่อนที่หล่อนจะเดินเข้ามาข้าง ๆ มนต์ลดาที่นั่งอยู่คนเดียวด้านในสุด “เอกสารจ้ะ”

“ขอบคุณมากค่ะ” น้ำมนต์เอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เด็กสาวตื่นเต้นที่ได้ทำงานในบริษัทในฝันก็จริง แต่ตอนนี้เธอกลับตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อต้องลุ้นว่า ‘ท่านประธาน’ คนที่ฝ่ายบุคคลบอกว่าจะแวะเข้ามาพบปะนักศึกษาฝึกงานในวันนี้จะใช่คนเดียวกับคนที่เธอคิดหรือไม่!?

‘เห็นคุณแล้วนึกถึงที่ออฟฟิศผมเลย วันนี้ที่บริษัทจะมีเด็กฝึกงานมาด้วย’

‘หระ...เหรอคะ คุณเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้ทำงานร่วมกันกับเด็กฝึกงานนี่คะ’

‘คุณคิดว่านักศึกษาอย่างคุณ สามารถทำงานและแสดงศักยภาพเทียบเท่ากับพนักงานปกติได้ไหม?’

‘น้ำมนต์ไม่ค่อยเห็นผู้บริหารคนไหนถามคำถามแบบคุณราเชนทร์เลยนะคะ’

‘บริษัทผมถึงจะเปิดมาตั้งแต่รุ่นคุณตา แต่ตอนนี้ผมเข้ามาบริหาร ผมก็อยากให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข เพราะพวกเขาใช้เวลาอยู่ออฟฟิศมากกว่าอยู่บ้านซะอีก อะไรที่พอจะสนับสนุนได้ผมก็อยากทำให้พวกเขา ที่ธุรกิจของผมเติบโตมาถึงจุดนี้ได้เพราะพวกเขาเป็นส่วนสำคัญ’

‘ถ้าพนักงานของคุณราเชนทร์ได้ยินแบบนี้ พวกเขาต้องดีใจแน่ ๆ น้ำมนต์คิดว่า…นักศึกษาฝึกงานขาดเพียงแต่โอกาสและคำแนะนำค่ะ ถ้าหากได้รับสิ่งเหล่านั้น น้ำมนต์เชื่อว่าพวกเราก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแค่ยังเรียนไม่จบไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ หรือไม่มีไอเดียนี่คะ สิ่งหนึ่งที่พนักงานทำงานมานาน ๆ มักขาดไปคือไฟในการทำงานค่ะ’

‘ยังไงครับ’

‘ก็พนักงานที่ทำงานมานานมักจะขาดแรงบันดาลใจ บางคนก็หมดไฟ สำหรับนักศึกษาฝึกงานหรือเด็กจบใหม่ มักมีไฟแรงพร้อมเรียนรู้ ชอบความท้าทาย’

‘ผมก็ทำงานมานานมากแล้ว แต่ผมยังมีไฟอยู่นะ ไม่เชื่อลองจับดูสิ’ เขาไม่พูดเปล่า ฉวยดึงมือบอบบางของเด็กสาวมากอบกุมไว้ที่ตักของตน

‘ไฟเขียวแล้วค่ะ ขับรถไปเลยนะ คนแก่เจ้าเล่ห์’ น้ำมนต์ใบหน้าร้อนผ่าว เม้มปากแน่น ความรู้สึกผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก

มนต์ลดาเผลอนั่งเหมาติดอยู่กับห้วงความคิดและบทสนทนาของราเชนทร์เมื่อเช้านี้ “เอ่อ พี่ถามอะไรหน่อยสิคะ” คุณทิพย์มณีเอ่ยเสียงกระซิบทำให้มนต์ลดาสะดุ้งตัวโยนหลุดออกจากห้วงความคิด ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกร้อนผ่าวที่พวงแก้มเนียนใส

“หนูคือน้องน้ำมนต์ที่สวมสร้อยบุษราคัมล้อมเพชรในงานเดินแบบประมูลการกุศลของคุณหญิงแอ๋วสักราว ๆ สองปีก่อนหรือเปล่าจ๊ะ” พี่ทิพย์มณีเอ่ยถาม

“เอ่อ ใช่ค่ะ พี่จำน้ำมนต์ได้ด้วยเหรอคะ เขินจังเลย”

“จริง ๆ พี่ติดตามงานน้องตลอดเลยนะ” พี่ทิพย์มณียังคงคุยเสียงเบาด้วยความเกรงรุ่นพี่อย่างคุณขวัญฤทัยจะเข้ามาเห็นที่แอบทำตัวตีซี้กับเด็กนักศึกษาฝึกงาน รายนั้นชอบวางตัวให้ทุกคนเชื่อถือ ผิดกับทิพย์มณีที่อัธยาศัยดี นักศึกษาผ่านมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็รักและเคารพพี่ทิพย์เพราะความใจดี เอาใจใส่ และเป็นกันเอง

มนต์ลดายกมือไหว้น้อม “ขอบคุณมากเลยค่ะ แต่หลังจากนี้คงไม่ได้รับงานอะไรแล้วค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ เสียดายแย่”

“น้ำมนต์อยากตั้งใจฝึกงานค่ะ”

“จริง ๆ ฝึกงานที่นี่ก็ไม่ยากหรอกนะคะ แต่อาจจะต้องอดทนเยอะสักหน่อย สู้ ๆ เข้านะ น้อง ๆ ทุกคนด้วย มีอะไรแวะมาปรึกษาพี่ทิพย์ได้ตลอดนะจ๊ะ”

“น้อง ๆ คะ นั่งรอสักแป๊บนึงนะ ปกติการเริ่มงานวันแรกของน้องนักศึกษาฝึกงานก็ไม่มีอะไรมาก จะมีพี่ทิพย์แนะนำเกี่ยวกับบริษัท และพาน้อง ๆ ไปยังแผนกงานที่เหมาะสมกับสาขาที่น้องเรียนค่ะ แต่วันนี้ถือว่าน้อง ๆ โชคดีมากเลยนะคะที่บอสของเราแวะมาพูดคุยกับน้องเพื่อเป็นการเติมไฟในตัวให้ลุกโชนก่อนที่พวกน้องจะเริ่มงานจริง งั้นเดี๋ยวน้อง ๆ ทั้งหกคนทำความรู้จักกันไปก่อนนะคะ ถึงจะฝึกงานคนละแผนกกัน แต่ถึงยังไงก็จะต้องติดต่อกันงานกัน คุยกันไว้ก่อนจะได้สนิทกัน งั้นพี่ทิพย์ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวเข้ามาใหม่จ้า” พี่ทิพย์มณีพูดอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเดินออกจากห้อง ทิ้งให้น้องนักศึกษาแต่ละคนทำความคุ้นเคยกัน

นักศึกษาทั้งหกคน ต่างมหาวิทยาลัย ต่างที่มา แต่ด้วยความสามารถและโชคชะตาก็ได้มารวมตัวกันที่บริษัทแห่งนี้ คนที่นั่งข้างมนต์ลดาชื่อ ‘น้ำเหนือ’ หญิงสาวหน้าตาคมเข้มชื่อน้ำเหนือแต่เป็นคนภาคใต้ น้ำเหนือเป็นคนยิ้มง่าย ดูเป็นมิตร คนที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดชื่อ ‘ลัดดา’ สาวหมวยอวบอึ๋มดูอัธยาศัยดี และที่สะดุดตาที่สุดก็คงหนีไม่พ้นขนมซองเล็ก ๆ ที่ลัดดาใส่กระเป๋ามาด้วย เธอบอกว่าเป็นแหล่งพลังงานเอาไว้เติมระหว่างวัน ส่วนคนตรงข้ามคือ ‘คิมหันต์’ ผู้ชายคนเดียวของกลุ่ม ดูดีแต่ขี้หลีไปสักหน่อย ข้างคิมหันต์คือ ‘ลอเรซ’ สาวอีสานลูกครึ่งรัสเซีย สาวสวยคมมีมั่นใจตัวเองสูง ลอเรซบอกว่าตั้งใจมาฝึกงานที่นี่เพื่อเอาเทคนิคความรู้ที่ได้ไปพัฒนาธุรกิจในครอบครัวเธอ และคนสุดท้าย ‘ลิลรณี’ สาวน้อยเรียบร้อย สวมแว่นหนาเตอะ แต่งตัวเนี้ยบ กลีบกระโปรงคมกริบ เธอคนนี้เป็นนักศึกษาสาขาบัญชีเพียงคนเดียว ลิลรณีดูเป็นคนเงียบ ๆ แต่ก็พอเห็นรอยยิ้มจากดวงหน้าขาวใสของเธอ

ประตูบานใหญ่ของห้องประชุมถูกเปิดออก ทำให้เสียงพูดคุยในห้องที่จอแจเมื่อครู่เงียบลงอย่างกะทันหัน หลังประตูบานนั้นปรากฏชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เซตผมทรงเปิดหน้า คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากสีเข้มแต่น่าชวนมอง นัยน์ตาดำขลับ ดูมีพลังสมกับเป็นท่านประธานบริษัท แม้ว่าชายหนุ่มจะดูอายุมากกว่าเด็กนักศึกษาฝึกงานอย่างพวกเราอยู่มากนัก แต่การแต่งตัวที่ดูภูมิฐานรับกับใบหน้าหล่อเหล่าของเขาทำให้ทุกอย่างละมุนลงตัวไปเสียหมด “สวัสดีครับ ขอโทษที่ให้รอนานนะ” ท่านประธานเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มพลางยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะเดินมายังโต๊ะประชุมด้วยท่าทีสบาย ๆ เด็กนักศึกษาฝึกงานต่างยกมือกล่าวสวัสดีด้วยใบหน้าเกรงใจ

มนต์ลดามองท่านประธานขณะที่เขานั่งอยู่หัวโต๊ะประชุม หัวใจของเด็กสาวแทบจะหยุดเต้น ทั้งที่เธอเตรียมใจแล้วว่าคนที่จะเข้ามามีโอกาสเป็นเขาเกินครึ่งแต่เมื่อเห็นหน้าของเขาชัด ๆ ในมาดท่านประธานบริษัท จิตใจของหญิงสาวราวกับแท่งหยก ถึงแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าก็พร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ

‘คุณราเชนทร์ในลุคท่านประธานทำฉันใจเต้นแรงกว่าตาลุงคนเมื่อเช้าอีกนะ หัวใจของฉันทำงานหนักเกินไปแล้ววันนี้ ถ้าคุณราเชนทร์รู้ว่าฉันฝึกงานที่บริษัทเขาจะทำหน้ายังไงกันนะ’ มนต์ลดาพยายามก้มหน้างุด พลางขยับเบียงให้ลัดดาที่เป็นสาวน้อยร่างท้วมช่วยบดบังเธอ แม้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี แต่เธอก็ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อยิ้มรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 'คนอะไร มาดทำงานดูดีชะมัด แค่เห็นก็อยากละลาย' เด็กสาวพยายามดึงสติของตัวเอง เพียงแค่ช้อนตามองท่านประทาน เอ่ยกล่าวแนะนำตัวและทักทาย บวกกับรอยยิ้มติดกวนประสาทนัยน์ตาพราวระยับ 'นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย เขาเป็นถึงท่านประธาน หยุดคิดหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว!'

มนต์ลดาไม่อาจละสายตาจากท่านประธานได้เลย ยิ่งเธอใช้สมองสั่งการตัวเองให้หยุดคิด สายตากลับไม่เชื่อฟัง หัวใจกลับยิ่งทรยศเต้นดังโครมครามจนเธอกลัวใครจะได้ยิน…

C’mon baby มาสิครับ เด็กดีของผม

ท่านประธานยิ้มอบอุ่นให้กับน้องนักศึกษาฝึกงานทุกคน แล้วเอ่ยแนะนำตัวทักทายอย่างเป็นกันเอง เด็กสาวในห้องประชุมต่างมองหนุ่มใหญ่ประธานบริษัทด้วยสายตาพริ้มพราย เว้นเสียแต่เด็กผู้หญิงผมยาวติดโบสีชมพูอ่อนกลับก้มหน้าลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจิกกันจนเกิดริ้วสีแดงจางๆ

“พอดีปีนี้ผมมีโปรเจ็กต์อยากได้ไอเดียของใหม่ ๆ และผมอนุญาตให้น้องนักศึกษาร่วมกันแข่งประกวดผลงานครับ หากทีมไหนชนะ ผมมีรางวัลให้ด้วยนะ” ท่านประธานยิ้มอย่างใจดี

ลัดดายกมือขึ้นแล้วก้มหัวเชิงขออนุญาต “และทีมที่แพ้ล่ะคะ ได้อะไร”

ลอเลซบ่นอุบ “ที่ถามอะ คิดก่อนแล้วใช่ไหมฮะ”

ปกติราเชนทร์ไม่สนใจนักศึกษาฝึกงานเท่าไรนัก แต่ช่วงหลังเขาเห็นว่าทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่ค่อยมีผลงานเข้าตา และการให้ตั้งทีมแข่งขันกันภายในบริษัทเพื่อช่วยกันออกแบบเป็นอีกกลยุทธ์ที่จะทำให้พนักงานกระตือรือร้นมากขึ้น

ราเชนทร์เชื่อว่าเด็กสมัยนี้มีความรู้ความสามารถและไอเดียที่ดีรอให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาเจียระไน ทว่านักศึกษาฝึกงานส่วนใหญ่ขาดแต่โอกาสที่จะได้ทำงานจริง ๆ อย่างที่เขาได้คุยกับมนต์ลดาเมื่อเช้านี้ บริษัทบางแห่งในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ยังให้เด็กฝึกงานชงกาแฟ ถ่ายเอกสารเดินเอกสารอยู่เลย ซึ่งราเชนทร์มองเห็นว่าการทำแบบนั้นไม่ได้ประโยชน์กับนักศึกษาเลย การที่รับนักศึกษาฝึกงานเข้ามานอกจากบริษัทจะถ่ายทอดสอนวิชาความรู้ให้น้อง ๆ แล้ว บริษัทจะได้เรียนรู้พฤติกรรมของเด็กรุ่นใหม่ อัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ จากน้องนักศึกษาด้วยแบบนี้ถึงได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เขายังเชื่อมั่นในตัวทีมงานและพนักงานของเขาทุกคน

ราเชนทร์จึงให้ความสำคัญกับสวัสดิการและพื้นที่ส่วนกลางให้กับพนักงานทุกคนให้ทำงานอย่างมีความสุขเพื่อให้ผลิตผลงานให้เขาอย่างมีคุณภาพ

“เป็นคำถามที่น่าสนใจครับ คนที่ชนะได้รางวัล ส่วนทีมที่แพ้เดี๋ยวผมไปคิดก่อนว่าจะให้อะไรปลอบใจดี ทุกทีมที่เข้าร่วมจะได้ทั้งประกาศนียบัตรและของรางวัล รายละเอียดเดี๋ยวให้คุณขวัญฤทัยมาชี้แจงอีกครั้งนะครับ ผมขอให้พวกคุณ…นักศึกษาฝึกงานทุกท่านตั้งใจและเก็บเกี่ยวความรู้ที่จะได้ให้มากที่สุด ที่นี่จะเปิดโอกาสให้พวกคุณทำงานเหมือนกับพนักงานคนอื่นทั่วไป ทุกคนพยายามเข้านะครับ ผมเป็นกำลังใจให้” ท่านประธานพูดพลางกวาดสายตามองนักศึกษาที่มาใหม่ กระทั่งสะดุดกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านในสุด

‘น้ำมนต์ฝึกงานที่นี่งั้นหรือ ยัยเด็กแสบ ไม่คิดจะบอกกันสักหน่อยเลยหรือไง’ ท่านประธานคิดในใจพลางกระตุกยิ้มร้าย

มนต์ลดาเงยหน้าสบสายตาร้ายแกมเจ้าเล่ห์ของท่านประธาน เธอเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศจ่อที่ศีรษะเธอจนผมปลิว หัวใจเต้นระรั่วยิ่งกว่าจังหวะ EDM เธอสบตาท่านประธานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยมือสั่นระริกเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ ‘นี่มันคุณราเชนทร์จริง ๆ ด้วย สายตาเขาเหมือนจะกินหัวฉันเลย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ แค่ฝึกงานที่บริษัทของคุณเอง แล้วนี่เขาไม่ทำการทำงานหรือยังไง แวะมาดูหน้าเด็กฝึกงานทำไมกัน เอ๊ะ หรือข้อสันนิฐานที่ฉันสงสัยว่าเขาชอบกินเด็ก จะเป็นความจริง’ มนต์ลดาสบตาท่านประธานพลางคิดพานหัวเสียอย่างไม่มีสาเหตุ ส่งผลให้ใบหน้าเธอบูดบึ้ง สายตาไม่พอใจเอาเสียดื้อๆ

“คุณขวัญฤทัยคุยกับนักศึกษาฝึกงานต่อได้เลยครับ ผมขอนั่งฟังด้วยคน” ท่านประธานพูดเสียงนุ่มก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ได้ค่ะท่านประธาน” ขวัญฤทัยยิ้มรับก่อนจะลุกยืนที่ด้านหน้าโปรเจกเตอร์

ปกติหน้าที่แนะนำพนักงานใหม่ หรือนักศึกษาฝึกงานเป็นหน้าที่ของทิพย์มณี แต่วันนี้ท่านประธานลงมานั่งฟังด้วยตัวเอง ขวัญฤทัยในฐานะหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคลจึงจัดการทุกอย่างด้วยตนเองโดยมีทิพย์มณีเป็นเพียงผู้ช่วย

“คุณมานั่งตรงหัวโต๊ะแทนผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปนั่งตรงโน้น”

ท่านประธานหนุ่มพูดพลางก้าวเท้าฉับ ๆ ไปยังฝั่งตรงข้ามกับคุณขวัญฤทัย โดยด้านขวาเป็นมนต์ลดา ชายหนุ่มพลางมองหน้าเด็กสาวยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งพร้อมกับขยิบตาอย่างคนเจ้าชู้ให้หนูมนต์ลดา เด็กสาวสบตาเขา ค้อมศีรษะเป็นเชิงทักทายอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน ดวงหน้าซีดเผือด

‘ตายแล้ว นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เขาขยิบตาให้ฉันงั้นเหรอ มุกเหล่สาว ‘ลุง’ ชะมัด’ น้ำมนต์คิดพลางหลุดขำออกมาเบา ๆ ทำให้เขามองเธออย่างสงสัย

ขวัญฤทัยบรรยายเกี่ยวกับบริษัทพร้อมกับฉายโปรเจ็กเตอร์ไปพลาง ก่อนจะให้ทิพย์มณีแจกเอกสารงานจัดตั้งทีมประกวดให้กับนักศึกษาฝึกงานทุกคน ในขณะที่มนต์ลดาสะดุดตากับรางวัลทีมที่ชนะการประกวด เป็นเงินรางวัล สามแสนบาท

“งั้นเดี๋ยวน้องฝึกงานรอให้พี่เลี้ยงที่เป็นบัดดี้แต่ละแผนกมารับสักครู่นะคะ อ้อ พี่ลืมบอกไปว่า ถ้าทีมที่น้องเข้าร่วมชนะการประกวดในครั้งนี้ ทางบริษัทจะรับเข้าทำงานทันที ยังไงพี่ขวัญเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ นะจ๊ะ”

ขณะที่ขวัญฤทัยคุยกับน้องนักศึกษาฝึกงาน ท่านประธานหนุ่มยกยิ้มกริ่มสบตามนต์ลดาพลางคิดเรื่องดี ๆ ต่อหัวใจตัวเองได้ ราเชนทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมไลน์ เลือกรายชื่อเลขาคนสนิท

Rachen : คุณดาว ผมอยากได้นักศึกษาฝึกงานมาช่วยงาน

Dao : ขนาดพนักงานผู้ช่วย ท่านประธานไม่เคยสนใจเลยนี่คะ

Rachen : คุณหาทางเนียน ๆ ให้หน่อยนะ

Dao : จะให้น้องฝึกงานมาช่วยเดือนไหนดีคะ

Rachen : วันนี้

คุณประกายดาว เลขาคนสนิทที่รู้ใจเพราะเธอทำงานกับราเชนทร์ตั้งแต่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งท่านประธาน ประกายดาวรู้ว่าจริง ๆ และท่านประธานของเธอไม่ใช่คนดุหรือโหดอย่างที่คนในบริษัทนินทากัน เพียงแต่เจ้านายไม่อยากสนิทกับพนักงานคนไหนเป็นพิเศษ แต่เพราะอะไรคนที่ชอบทำงานลุยเดี่ยว ถึงอยากให้เด็กฝึกงานมาช่วย ยิ่งประกายดาวคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำให้ต้องลงไปดูที่ห้องประชุมเล็กด้วยตัวเอง ‘เด็กสาวคนไหนนะที่ทำให้ท่านประธานของเจ๊ดาวใจแตก’

ไม่นานนักประกายดาวมาถึงยังห้องประชุมเล็กก่อนจะเดินตรงรี่หาเจ้านายของเธออย่างรู้หน้าที่ “คุณราเชนทร์ต้องการน้องคนไหนให้ช่วยงานคะ”

ท่านประธานเอ่ยไม่ตอบ เพียงแต่เสตาไปทางเด็กสาวหน้าตาสะสวยที่นั่งอยู่ด้านข้างของเขา ประกายดาวมองไปตามสายตาของเจ้านายก่อนจะได้คำตอบ เธอพยักหน้าอย่างรู้ใจก่อนจะเดินไปกระซิบที่ข้างหูขวัญฤทัย

“พี่ขวัญคะ พอดีว่าท่านประธานอยากให้น้องผู้หญิงคนที่นั่งตรงข้างท่าน มาช่วยงานกับทีมพัฒนาและออกแบบที่กำลังฟอร์มทีมใหม่ค่ะ” เลขาท่านประธานพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งทางการ

ขวัญฤทัยขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัย แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไรมากกว่านั้น นอกจากคลี่ยิ้มบาง พลางพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พนักงานรุ่นพี่แต่ละแผนกต่างรับเด็กนักศึกษาฝึกงานไปพร้อมกับนั่งประจำที่คอยแนะนำงาน เหลือเพียงมนต์ลดาที่เป็นนักศึกษาฝึกงานนั่งหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ในห้องประชุมเพียงลำพังท่ามกลางผู้ใหญ่ที่น่าเกรงกลัวอย่าง ‘ท่านประธาน’

“พี่ทิพย์กับพี่ขวัญไปก่อนนะจ๊ะ น้ำมนต์สู้ ๆ นะ” พี่ทิพย์มณีพูดพลางยิ้มแหย แล้วรุดออกห้องไปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องเหลือเพียงมนต์ลดา พี่ประกายดาว และท่านประธาน เด็กสาวยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เธอก้มหลุบตาลงต่ำ ก้มหน้างุด จิกมือแน่นกว่าเดิมจนขึ้นริ้วจ้ำและเป็นรอยเล็บฝังในเนื้อบอบบาง

‘ทำไมฉันไม่มีรุ่นพี่มารับฉันไปเข้าแผนกเลยล่ะ นี่ฉันเป็นนักศึกษาฝึกงานที่เหลือเลือกเหรอ ไม่สิ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ แล้วอีตาท่านประธานไม่ไปทำงานหรือไง ไหนเคยบอกกับฉันว่างานยุ่งนักยุ่งหนา’

“น้องจ๋า จำพี่ดาวได้ไหมคะ” พี่ประกายดาวหันมายิ้มหวานอย่างใจดีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ทำให้ความเงียบงันและความตึงเครียดทุเลาลง

“จำได้ค่ะ พี่เคยช่วยน้ำมนต์ไว้” มนต์ลดาคลี่ยิ้มเต็มดวงหน้า เธอจดจำพี่ดาวได้อย่างขึ้นใจ วันนั้นเธอเพิ่งเจอเหตุการณ์แย่ ๆ ได้อ้อมกอดจากพี่ประกายดาวและคำปลอบโยนทำให้เด็กสาวรู้สึกดีขึ้นมา

“โน ๆ จ้า คนที่ช่วยหนู ท่านประธานโน่น พี่แค่ทำแผลให้น้องเอง”

“ยังไงน้ำมนต์ก็ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ” มนต์ลดายกมือขึ้นไหว้ ค้อมศีรษะ

ราเชนทร์ยังคงนั่งดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ยิ่งทำให้มนต์ลดารู้สึกกดดัน ไม่นานนักประตูห้องประชุมเปิดอีกครั้งก่อนที่จะมีพนักงานอีกสามคนเข้ามานั่งข้าง ๆ มนต์ลดา เด็กสาวทำสีหน้าไม่ถูก ขมวดคิ้วแน่น เธอไม่เข้าใจว่าพี่ ๆ เข้ามาทำไมกัน หรือพี่พวกนี้เป็นรุ่นพี่ที่เธอต้องอยู่ด้วย เด็กสาวพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวาน

“มากันครบแล้วนะคะ วันนี้ขอโทษด้วยที่พี่ดาวเรียกมาประชุมก่อนเวลา ท่านประธานมีเรื่องอยากจะแจ้งค่ะ” ประกายดาวกล่าวทักทายพนักงานที่เข้ามาใหม่

“สวัสดีครับ รบกวนเวลางานแต่เช้าเลยนะครับ ช่วงนี้อย่างที่รู้กันว่าผมมีแพลนอยากจะทำเครื่องประดับเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงได้ตั้งฟอร์มทีมงานที่ผมมั่นใจฝีมือและคิดว่าทุกคนจะเข้ากันได้ดี อันที่จริงวันนี้ไม่มีอะไรที่เป็นทางการหรอกครับ ผมแค่อยากจะฝากน้องนักศึกษาฝึกงานให้พวกคุณช่วยกันสอนงาน” ราเชนทร์เอ่ยเสียงเข้ม พลางหันมาสบตามนต์ลดาแล้วพยักหน้า

เด็กสาวตกใจ นั่งนิ่งราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ท่านประธานจึงถือวิสาสะใช้มืออบอุ่นกุมมือเธอใต้โต๊ะเชิงให้กำลังใจเธอ

“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าทีมนะ พี่ชื่อเอกรินทร์ น้องแนะนำตัวให้พวกพี่รู้จักหน่อยสิครับ” เอกรินทร์เอ่ยเสียงเรียบ แววตาดูอบอุ่น ใจดี

ราเชนทร์บีบมือเธอแน่นขึ้น ขณะที่สายตาเขามองไปทางอื่นราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ใต้โต๊ะเลยสักนิด

“สวัสดีค่ะ มนตร์ลดา เลิศพาณิชย์ภัคดี เรียกว่าน้ำมนต์ก็ได้ค่ะ น้ำมนต์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ คณะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สาขาอัญมณีและเครื่องประดับ มหาวิทยาลัย B ค่ะ”

“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อแก้วนะ พี่เรียนจบจากที่เดียวกับน้องน้ำมนต์เลย ส่วนคนนี้ชื่อพี่ทีม” แก้วพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างเต็มดวงหน้า หล่อนรู้สึกถูกชะตากับมนต์ลดาตั้งแต่แรกเห็น หรือบางทีการที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันอาจทำให้แก้วรู้สึกถึงความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย

“งั้นแยกย้ายกันไปทำงานเถอะครับ คุณดาว จัดที่นั่งให้นักศึกษาฝึกงานด้วยนะครับ” ท่านประธานเอ่ยพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี

ภายในห้องเหลือเพียงท่านประธานกับเด็กนักศึกษาฝึกงานเพียงสองคน มนต์ลดาก้มหน้างุดเนื่องจากยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งที่เพื่อนคนอื่นไปฝึกงานในแผนกทั่วไป แต่เพราะเธอรู้จักกับท่านประธานจึงมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นงั้นเหรอ มนต์ลดารู้สึกไม่สบายใจกระทั่งถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

“คุณถอนหายใจทำไม ไม่พอใจที่ต้องทำงานทีมเดียวกับผมเหรอ”

“น้ำมนต์ไม่ชอบให้คุณใช้เส้นสาย” เด็กสาวพูดพลางขมวดคิ้วแน่น

“อะไรกัน ผมใช้เส้นตรงไหน”

“ไม่รู้แหละ คนอื่นไม่เห็นได้ทำกับทีมงานคุณเลย”

ราเชนทร์ประคองใบหน้าสวยขึ้นมาก่อนจะสบตาคนที่กำลังคิดมาก

“ก็คนอื่นไม่ใช่หนูนิ”

ทั้งสองสบตากันราวกับเวลาหยุดหมุนลง กระทั่งท่านประธานพูดขึ้น

“เมื่อเช้าก็มาด้วยกันแท้ ๆ ทำไมไม่บอกว่าฝึกงานที่ออฟฟิศผม”

“ก็…” มนต์ลดาหลุบตาลงต่ำ หนีสายตาจับผิดของท่านประธาน

ชายหนุ่มเลื่อนมือมาเชยคางมนของเด็กสาว “ก็…อะไรครับ ไม่รู้ล่ะ คุณต้องมาทำงานทีมผม และผมจะให้คุณนั่งอยู่ในระยะสายตาของผมด้วย เตรียมตัว เตรียมใจได้เลยครับ” ราเชนทร์พูดเสียงใส ริมฝีปากได้ปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์

“คุณมัน ลุงแก่ชอบเอาแต่ใจ”

มนต์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด ยู่จมูกอย่างที่เธอชอบทำ

“คุณว่าผมแก่อีกแล้วนะ” ราเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง เขาเผลอยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเด็กสาว

“เปล่านะคะ ใครจะกล้าว่าท่านประธานได้ล่ะคะ” มนต์ลดาพูดกระแทกเสียง พลางปัดมือที่ราเชนทร์ฉวยโอกาสลูบเรือนผมอย่างถือวิสาสะ

“เจ้าเล่ห์นะ คุณน่ะ”

“ถ้าไม่เจ้าเล่ห์ก็ไม่ใช่ผมสิ” ท่านประธานพึมพำเบาๆ

“อะไรนะคะ”

“ขึ้นไปชั้นที่ทำงานของเรากันดีกว่า”

“เดี๋ยวสิคะ คะ...คุณจะพาฉันไปเหรอ”

“อ้าว ก็ใช่สิ งั้นจะให้ใครพาคุณไปล่ะ ผมเป็นพี่เลี้ยงบัดดี้คุณ ถ้าไม่ใช่ผมจะให้ใครพาไป” ราเชนทร์พูดพลางมองเด็กสาวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ คิ้วเลิกสูงอย่างยียวน แล้วลุกแล้วเดินนำออกไปทางประตูอย่างไม่สนใจเสียงทัดทานของมนต์ลดา

“C’ mon C’ mon baby”

“เดี๋ยวก่อนสิคะ ใครเบบี๋ นี่คุณ ฉันไม่ใช่เด็กนะ รอน้ำมนต์ด้วยค่ะ”

มนต์ลดารีบเก็บเอกสารพลางก้าวขาฉับตามท่านประธานไปท่ามกลางสายตาของพนักงานทั้งออฟฟิศ

‘โอ๊ย ตาลุงบ้า คุณทำให้ฉัน…หวั่นไหว’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ