มนต์ลดาก้าวขาฉับ ๆ เดินมายังลานจอดรถผู้บริหารท่ามกลางสายตาของพนักงาน สาวสวยแผนกประชาสัมพันธ์ต่างสงสัยว่าเด็กนักศึกษาเดินมาแถวนี้ด้วยธุระอะไร แต่ความสงสัยของพนักงานสาวกลุ่มนั่นได้ถูกคลี่คลายให้กระจ่างด้วยสายตาของท่านประธานบริษัทที่จ้องไปยังหญิงสาวเหล่านั้นด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว ทำให้บรรดาพนักงานสาวต่างก้าวขาฉับเข้าตัวอาคารไป มนต์ลดารับรู้ได้ถึงสายตาเกรี้ยวกราดราวกับส่งรังสีกดดันไปทั่วบริเวณ แทนที่เด็กสาวจะรู้สึกเกรงกลัวต่อสายตาร้ายกาจของท่านประธาน เด็กสาวกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด
ภายในรถยนต์คันหรูสีแดงเพลิงที่คุ้นเคย
“จริง ๆ คุณไม่ต้องไปส่งก็ได้นะคะ น้ำมนต์รู้สึกเกรงใจยังไงก็ไม่รู้” มนต์ลดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“หนูไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” ท่านประธานส่งรอยยิ้มอบอุ่นที่มนต์ลดาเห็นแล้วรู้สึกใจหวั่นไหว
“แต่…”
“เอาน่า ถือซะว่าตามใจผมแล้วกัน” ราเชนทร์เอ่ยเสียงอ้อน พลางส่งสายตาหวานที่ทำให้คนที่มองอย่างมนต์ลดารู้สึกหน้าร้อนผ่าว ใจกระตุกไหว
แม้มนต์ลดาจะเคยเจอสายตาเจ้าชู้จากผู้ชายมา ทั้งรุ่นเดียวกันกระทั่งรุ่นราวคราวพ่อ แต่มีเพียงสายตาคู่นี้ของท่านประธานที่ทำให้หัวใจที่เกือบจะด้านชาของเธอต้องทำงานหนัก เด็กสาวพยายามถามตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าอาการที่เธอเป็นเกิดจากความประทับใจแรกพบ หรือเป็นโหยหาความอบอุ่นมาเนิ่นนาน แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไร เธอรู้ดีว่าความรู้สึกดีค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ สิ่งนี้คือความจริงที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะยอมรับ
‘คุณลุงกับฉันน่ะ เราห่างกันรอบกว่าเชียวนะ แต่เขาก็ยังหล่อจนใจสั่นอยู่ดี’
“คุณน่ะ เป็นท่านประธานที่เอาแต่ใจที่สุดเลยรู้ไหมคะ” มนต์ลดาเอ่ยแซวด้วยสีหน้าแสนซน เธอยู่จมูกใส่เขาก่อนจะหัวเราะด้วยท่าทีสบาย
“หนูคิดแบบนั้นเหรอ” ราเชนทร์มองพลางยิ้มร้ายกาจ
มนต์ลดาพยักหน้ารับ ถึงเด็กสาวพอจะมองคนออกว่าคนที่เข้ามาทำความรู้จักเธอแต่ละคนเป็นคนแบบไหน แต่กับราเชนทร์เธอกลับมองไม่ออก หรือความหลงใหลเขาทำให้เธอตาบอดไปเสียอย่างนั้น สิ่งที่เธอรับรู้คือเขาดีต่อเธอ เอ็นดูเธอ แต่นั่นอาจเป็นการเอ็นดูที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะมีให้เด็กคนหนึ่งก็เท่านั้น หากใครเจอผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้อยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ที่จะโดนปล่ำอหน้าต่อตา อย่างไรเสียเขาก็ต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้ว ถึงไม่ใช่เธอ คุณราเชนทร์ก็ต้องช่วยอยู่ดี ยิ่งเด็กสาวคิดอย่างนั้นเธอยิ่งไม่อยากให้คุณราเชนทร์ดูแลเธอดีกว่าเด็กฝึกงานทั่วไป เพราะการที่เขาทำแบบนั้นมันทำให้ ‘ฉันรู้สึกหนักใจ’
“จริง ๆ ผมก็เอาแต่ใจแค่เฉพาะตอนอยู่กับหนูน้ำมนต์เท่านั้นล่ะครับ”
“คุณดีกับน้ำมนต์มากเกินไปแบบนี้ เพราะอะไรหรือคะ”
“แล้วหนูคิดว่าเพราะอะไรล่ะ” ราเชนทร์โน้มหน้าเข้ามาสบตาเธอใกล้ ๆ
มนต์ลดาเขินอาย แววตาเจือความสับสน ลึก ๆ เธออยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาอาจจะมีใจให้เธออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะสนใจเธอเป็นพิเศษทำไมกัน แต่เมื่อเธอคิดถึงภาพลักษณ์ท่านประธานหนุ่มไฟแรงแล้ว การที่คุณราเชนทร์ให้ความสำคัญและสนใจเธออาจเป็นการทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาพนักงาน ยิ่งมนต์ลดาคิดเช่นนั้นเธอก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้รู้สึกมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเขาช่างดีกับเธอ เด็กสาวไม่อยากให้เขาเสียภาพลักษณ์เพราะข่าวลือว่าเขาเป็น ‘สมภารกินไก่วัด’
เด็กสาวจ้องหน้าราเชนทร์ พลางจ้องมองอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดลอยออกมา “จะให้คิดว่าคุณกำลังจีบน้ำมนต์อยู่…ก็ไม่น่าจะใช่หรอกค่ะ น้ำมนต์เป็นแค่เด็กฝึกงาน ไม่รู้สิคะ ที่คุณทำดีกับน้ำมนต์ทุกอย่าง เพราะคุณราเชนทร์ก็แค่ใจดี และเอ็นดูเด็กอย่างน้ำมนต์มั้งคะ”
“อันที่จริง…ผมไม่ได้ใจดีอย่างที่หนูคิดหรอก” ราเชนทร์ยิ้มร้าย
“ใครจะมองคุณเป็นคนแบบไหนน้ำมนต์ไม่รู้หรอกนะคะ สำหรับน้ำมนต์แล้ว คุณราเชนทร์ทั้งใจดี และ…” มนต์ลดาพูดอย่างเขินอายใบหน้าร้อนผ่าว เด็กสาวพยายามเก็บความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เลือนหายลงไปในหัวใจ
ราเชนทร์เลี้ยวหักข้างทางก่อนที่จะถึงทางเข้าหมู่บ้านของมนต์ลดา เด็กสาวตกใจ หันไปขมวดคิ้วยุ่ง “ใจดีและอะไรอีกครับ” ราเชนทร์โน้มตัวเข้าใกล้ พลางจ้องหน้าเด็กสาว ลมหายใจอุ่นกระทบปลายจมูก ชายหนุ่มเข้าใกล้เด็กสาวจนแทบได้ยินเสียงของหัวใจ
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ” เธอพยายามสู้สายตา ข่มคลื่นความรู้สึกให้ลึกสุดใจ
“และ…อะไรครับ” คุณลุงท่านประธาน กระซิบเสียงทุ้ม กระตุกยิ้มร้ายแล้วเลื่อนตัวเข้าใกล้เด็กสาว กระทั่งปลายจมูกโด่งของเขาคลอเคลียพวงแก้มนวล กลิ่นหอมหวานยั่วเย้าใจให้เคลิบเคลิ้ม
มนต์ลดาหายใจถี่กระชั้น วันนี้หัวใจเธอทำงานหนักเกินไปเสียแล้ว ความรู้สึกทั้งหมดที่พยายามสะกดกลั้นมาตลอดระเบิดออก ยามที่ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มใส เธอได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ จากเขา ผสานไออบอุ่นจากแผงอกแผ่ซ่าน จนหัวใจบอบบางของเธอ ยากที่จะทัดทานต่อความอบอุ่นของเขาได้ “คุณราเชนทร์ ทั้งใจดีและอบอุ่นค่ะ” มนต์ลดาก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย เธอเพิ่งพูดความในใจออกไปอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก
‘ฉันพยายามที่จะรู้สึกกับคุณให้น้อยที่สุด แต่คุณนั่นแหละที่เข้ามาปั่นป่วนหัวใจฉัน’ เด็กสาวสบตากับท่านประธานพลางอยู่ในห้วงความคิด
ราเชนทร์ยกมือหนาค่อย ๆ ลูบเรือนผมนุ่มสลวยของเด็กสาวอย่างเบามือ สั่งเธอน้ำเสียงอ่อนโยนเจือความสุขุม “ต่อไปหนูน้ำมนต์ ไม่ต้องเกรงใจผมแล้วนะ”
“ยิ่งคุณทำดีแบบนี้ น้ำมนต์ก็ต้องยิ่งเกรงใจสิคะ ไม่รู้สึกอะไรเลยได้ยังไง” มนต์ลดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประดักประเดิด จะให้เธอรู้สึกดีใจก็ไม่น่าจะใช่ เธอทั้งเขินและเกรงใจจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร
“งั้นก็ตั้งใจฝึกงานและเป็นเด็กดี เท่านั้นก็พอแล้ว” ราเชนทร์ยิ้มอ่อนโยน มองเด็กสาวด้วยความรู้สึกพิเศษที่เขาไม่เคยมีให้กับใคร เขาอยากทะนุถนอมและอยากปกป้องดูแลให้ดีที่สุด
“คุณราเชนทร์ น้ำมนต์ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก”
“งั้นคนไม่เด็กเขาทำอะไรได้บ้างล่ะ” ราเชนทร์สลับใบหน้าเป็นยิ้มร้ายกาจ ก่อนจะกดปลดเข็มขัดนิรภัยของเขาออกแล้วเลื่อนตัวจับไหล่ของเด็กสาวทั้งสองข้าง
“นี่คุณ มะ...หมายถึงอะไรคะ” มนต์ลดาพูดตะกุกตะกัก เด็กสาวตกใจกับท่าทีที่แสนไบโพลาร์ของคุณลุงท่านประธาน เดี๋ยวก็ดูแสนอบอุ่นยิ่งกว่าสามีแห่งชาติ พอเธอวางใจหลงกลกับคารมอ่อนหวาน จู่ ๆ เขาก็กลายเป็นผู้ชายร้าย ๆ ที่พร้อมจะจับเธอฉีกกระชากกลืนลงท้องได้ทุกเมื่อ
‘คุณลุงท่านประธานนี่ร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย’ แม้น้ำมนต์อยากจะต่อว่าเขามากมายเพียงใด แต่เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มและท่าทางที่ยียวนของราเชนทร์ เด็กสาวก็อดที่จะคลี่ยิ้มหวานออกมาไม่ได้ มนต์ลดาผลักอกแกร่งออกอย่างเบามือก่อนจะสบตาหวาน มือบางประคองแก้มของเขาอย่างเบามือ เธอสู้ตาเขากลับอย่างขี้เล่น ความซุกซนของเด็กสาวยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวใจกระตุกวูบไหวจนแทบอยากดึงเธอเข้ามาสวมกอด ‘สายตาแบบนั้น คุณคิดว่าคุณทำเป็นคนเดียวหรือคะ คุณลุงท่านประธาน’ มนต์ลดาระบายยิ้มยั่วเย้า มืออีกข้างโอบรอบคอแกร่ง
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมารับนะครับ” ราเชนทร์เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะใช้หัวแม่โป้งลูบพวงแก้มใสอย่างอ่อนโยน
“คุณจะขับวนไปมาทำไมคะ บ้านน้ำมนต์ไม่ใช่ทางผ่านนะคะ ไกลด้วย”
“อย่าคิดมากเลย พรุ่งนี้ผมมารับเช้าหน่อยนะ เจ็ดโมงเช้า หนูไหวไหมครับ”
“ไหวค่ะ แต่น้ำมนต์…”
“ไม่มีแต่ครับ”
“เนี่ย เป็นคุณลุงเอาแต่ใจอีกแล้ว ไม่เข้าใจอะไรน้ำมนต์เลย” เธอบ่นพึมพำ
ท่านประธานได้ยินและรับรู้ทุกอย่าง แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจ อาจจะจริงเขาเป็นคุณลุงชอบเอาแต่ใจ แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ครั้นจะให้ราเชนทร์คอยจีบหนูมนต์ลดาแบบที่วัยรุ่นสมัยนี้ทำกัน ส่งไลน์หาตลอดเวลา โทร.คุยกันทั้งคืนยันเช้าแบบนั้นน่ะหรือ? เขาคงก็ไม่มีเวลามากพอ และคงไม่ใช่แนวทางของราเชนทร์ชายหนุ่มเลือกใช้การกระทำและการแสดงออก แต่กลายเป็นเธอกลับเข้าใจว่าการที่เขาดูแลเธอเป็นพิเศษนั้น เป็นความเอ็นดูของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีต่อเด็กเท่านั้น ‘เอ็นดู’ เหรอ? นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ราเชนทร์รู้สึกกับหนูมนต์ลดามันมากกว่านั้นเกินไปมาก
แม้ราเชนทร์เพิ่งรู้จักหนูมนต์ลดาเพียงไม่นาน แต่ช่วงชีวิตสี่สิบกว่าปีทำให้เขาได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตบางอย่าง ‘คนที่ใช่อาจโคจรเข้ามาในวันที่ไม่ได้ตามหา หลายครั้งคนเราที่ชอบอาจจะไม่ถูกใจสายตาคนรอบข้าง หากเรายอมรับได้ว่าเธอคือที่หัวใจตามหาและเรียกร้องเร็วมากเท่าไร โอกาสที่จะจีบสำเร็จจะมีมากกว่าเสมอ แม้ผมจะไม่ค่อยคบผู้หญิงคนไหนจริงจัง แต่เรื่องนี้เห็นคนรอบตัวผมมานักต่อนักแล้ว อายุที่ห่างกันนั้น ไม่เป็นอุปสรรคในความรัก ถ้ายังเชื่อใจและเข้าใจกัน ปรับทัศนคติเข้าหากัน เรียนรู้ที่จะประคองความสัมพันธ์กันไปได้ อุปสรรคของผมคือหนูมนต์ลดาเป็นเด็กฝึกงานนี่สิ ผมผู้ซึ่งไม่เคยมีประวัติเสียเรื่องผู้หญิง การที่ผมเดินหน้าจีบเธอ ผมคิดไว้ล่วงหน้าแล้วต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเธอจะรับแรงกดดันนั้นได้ไหม? ผมไม่ชอบอะไรที่มั่นใจไม่ได้ การที่เธอไม่ปฏิเสธการมารับมาส่งนั่นก็เป็นข้อสังเกตว่าหนูมนต์ลดาต้องมีใจให้ผมบ้างไม่มากก็น้อย!’
แม้ราเชนทร์เพิ่งรู้จักหนูมนต์ลดาเพียงไม่นาน แต่ช่วงชีวิตสี่สิบกว่าปีทำให้เขาได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตบางอย่าง ‘คนที่ใช่อาจโคจรเข้ามาในวันที่ไม่ได้ตามหา หลายครั้งคนเราที่ชอบอาจจะไม่ถูกใจสายตาคนรอบข้าง หากเรายอมรับได้ว่าเธอคือที่หัวใจตามหาและเรียกร้องเร็วมากเท่าไร โอกาสที่จะจีบสำเร็จจะมีมากกว่าเสมอ อายุที่ห่างกันนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคในความรัก ถ้ายังเชื่อใจและเข้าใจกัน ปรับทัศนคติเข้าหากัน เรียนรู้ที่จะประคองความสัมพันธ์ แต่อุปสรรคของราเชนทร์ตอนนี้ก็คือ การที่หนูมนต์ลดายังเป็นเด็กฝึกงานนี่สิ การที่เขาเดินหน้าจีบเธอ ต้องพบกับปัญหาแน่นอน’ ราเชนทร์ไม่แน่ใจว่าเธอจะรับแรงกดดันนั้นได้ไหม?
หากเขาพร้อมจะเสี่ยงก็อยากรู้ว่าหนูมนต์ลดาพอจะมีใจให้บ้างไหม?
การที่เธอไม่ปฏิเสธการมารับมาส่งของเขา เป็นข้อสันนิฐานว่าหนูมนต์ลดาต้องมีใจให้บ้างไม่มากก็น้อย
“ส่งน้ำมนต์หน้าซอยก็ได้ค่ะ”
“ทำไมไม่ให้ผมไปส่งหน้าบ้านล่ะครับ คุณพ่อคุณแม่ดุเหรอ” เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด“เอ่อ…” เด็กสาวไม่แน่ใจว่าจะเอ่ยตอบให้เขาฟังอย่างไรว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขา เพียงแต่…
“ขับมาตั้งไกล แต่ให้ส่งหน้าซอยเนี่ยเหรอ ใจร้ายจังนะหนูน้ำมนต์”
“งั้นก็ตามใจคุณค่ะ” มนต์ลดาพูดเสียงเบาพลางทอดถอนใจ
มนต์ลดาไม่ได้รู้สึกรังเกียจคุณราเชนทร์แต่อย่างใด แต่สิ่งที่เธอกังวลคือการที่มีรถยนต์คันหรูมาส่งเธอถึงหน้าบ้าน พ่อแม่ก็ไม่วายที่จะไล่ต้อนถามอีกว่าคนที่มาส่งคือใคร? เด็กสาวไม่อยากให้ใครพาดพิงหรือกล่าวหาคุณราเชนทร์ในทางที่ไม่ดี
คุณราเชนทร์นอกจากจะเป็นเจ้านายของเธอ คุณราเชนทร์ยังเป็นคนที่เธออยากจะยกเอาไว้เหนือทุกคนมากที่สุด แม้จะรู้จักเขาเพียงไม่นาน แต่ทุกครั้งที่เธออยู่ใกล้เขา เธอมักจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ไม่ว่าชีวิตเธอจะเจอเรื่องร้าย ๆ หรือวันที่ไม่สดใส เพียงแค่รอยยิ้มมุมปากที่เขาชอบทำ กับสายตาที่เจือความอบอุ่น เท่านั้นก็ทำให้ความอึดอัดในใจของเธอได้รับการปลอบโยนโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
‘ฉันเหมือนคนคลั่งรักมากเลยสินะ’
“ขับรถดี ๆ นะคะ วันนี้ขอบคุณมากเลยค่ะ” เธอยกมือไหว้ก่อนจะค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม ราเชนทร์ยิ้มรับอย่างอ่อนโยน แล้วหยิบแว่นตาดำขึ้นมาสวมใส่
“พี่น้ำมนต์ ใครมาส่งอะ เดี๋ยวนี้มีเสี่ยเลี้ยงแล้วเหรอ” ฟาริดาผู้เป็นน้องสาวที่นิสัยต่างกันคนละขั้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน
“ไม่ใช่” มนต์ลดาสวนกลับทันควัน
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็น้ำฟ้าเห็นรถคันนี้หน้าหมู่บ้านคุยกันตั้งนานสองนาน”
ฟาริดาพูดพลางมองพี่สาวด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะเดินไปนั่งข้างพ่อหวังจะขอเงินเพิ่ม ช่วงค่ำวันนี้ฟาริดาตั้งใจจะไปงานวันเกิดของรุ่นพี่สุดหล่อ เด็กสาวจึงตั้งใจจะโกหกพ่อแม่ว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อนเหมือนทุกครั้ง
“พี่ขึ้นห้องก่อนนะ” มนต์ลดาพูดตัดบทก่อนจะรีบเดินขึ้นบันได
“อ้าว เถียงไม่ได้ก็หนีขึ้นห้องเหรอ” ฟาริดาตะโกนตามหลังชวนหาเรื่องทะเลาะ มนต์ลดาถอนหายใจยาวก่อนจะรีบขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องนอนส่วนตัว แต่ยังไม่ทันจะได้ขึ้นไปพักดั่งใจหวัง
“แหม ไหนใครบอกว่าไม่มีเสี่ยเลี้ยง กูเห็นรถคันนี้หลายครั้งแล้วนะ ยังไงล่ะ มันให้แกเดือนเท่าไร” ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นี่พ่อ พูดจาดูถูกน้ำมนต์อีกแล้วนะ”
“อะไรวะ หรือมันไม่จริง เอ็งจะขายตัวจะมีเสี่ยเลี้ยงหรือจะอะไร กูไม่สนใจมึงหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ก็พอแล้ว” มนต์ลดาเม้มปากแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง มือบางจิกกำเข้าที่ฝ่ามือแน่นเพื่อสะกดกลั้นโทสะจนเกิดริ้วรอยแดง เลือดในกายสูบฉีดแรง หัวใจเต้นระรัวด้วยความโกรธ เหมือนกับเธอถูกบดขยี้ให้แหลกลาญด้วยคำพูดดูถูกซ้ำ ๆ จนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ครอบครัวควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้พิงพักใจในวันหนักหน่วง แต่สำหรับมนต์ลดาแล้ว ‘บ้าน’ เหมือนหลุมดำที่ดูดเอาพลังงานดี ๆ ในชีวิตไปจนเสียหมดสิ้น
‘หรือผิดที่ฉันเอง เป็นคนเงียบยอมให้ทุกคนกระทำมาตลอด เพราะคิดว่าเขาคือครอบครัวของฉัน ภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันต้องเจอ ทั้งเหนื่อยและหนักใจแค่ไหนฉันก็ไม่เคยปริปากบ่น ส่วนลึกในใจฉัน ขอแค่เศษเสี้ยวความรักให้แก่กันบ้าง แต่สิ่งที่ฉันได้รับมีแต่คำดูถูก เหยียดหยาม คำด่าทอ ราวกับไม่ใช่ลูก เขาจะพูดดีกับฉันบ้างตอนจะขออะไรสักอย่างจากเท่านั้น หลายครั้งฉันก็คิด ถ้าฉันไม่เป็นตัวเงินตัวทองของครอบครัว จะยังมีใครต้องการฉันอยู่ไหม’
ภายในห้องนอนที่มนต์ลดารู้สึกว่าเป็นที่หลบภัยเดียวของเธอในตอนนี้ หญิงสาวทิ้งตัวลงบนที่นอน ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ฉากหน้าที่ใครหลายคนต่างอิจฉา บ้างก็มองว่าฉันดีกว่าใคร แต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตที่แสนธรรมดาเรียบง่ายต่างหากที่ใจเธอถวิลหา แล้วเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมไลน์แผดดังจนเธอพลิกตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อเปิดดู กรุ๊ปไลน์ : ฝึกงานนี้เราต้องรอด!
Ladda : ทุกคน มีใครสนใจหารห้องพักกับลัดดาบ้างไหม
Linlanee : ลินขอผ่านจ้า
Namnung : น้ำเหนือพักกับป้า ขอผ่านเหมือนกัน
Roses : โนจ้า เราพักคอนโดเดียวกับแฟน
Ladda : ลอเรซอะ ขิงแล้วหนึ่ง อิจฯ คนมีแฟน เราขอซบอกชาบูดีกว่า
Kim : หอพักแถวไหนลัดดา เราก็หาที่พักอยู่เหมือนกัน บ้านเราโคตรไกลเลย
Ladda : หารแค่ผู้หญิงสิจ๊ะ นายจะมาอยู่กับเราได้ไง อร๊าย ผิดผีนะ คิกคิก
Kim : เราแค่บอกว่ากำลังหาที่พักอยู่ ไม่ได้บอกว่าจะหารด้วยซะหน่อย แต่จะว่าไปเราพักที่เดียวกัน มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันไง
Ladda : เออ ก็ดีนะ ลัดดาพักคอนโดรัชมน เอสเตจ แถวออฟฟิศนั่นแหละ แต่ค่าหอมันแพงอะ ลัดดาเลยกะหาเพื่อนช่วยหาร มีใครสนใจไหมน้า?
Monlada : น้ำมนต์สนใจ เดี๋ยวโทร.หานะ
มนต์ลดาตัดสินใจได้ในทันทีที่เห็นข้อความของลัดดาการที่เธอแยกตัวออกไปพักข้างนอกชั่วคราว น่าจะทำให้สุขภาพจิต ทว่าเธอก็ยังเป็นห่วงแม่ จึงตัดสินใจลุกไปหาแม่เพื่อจะคุยเรื่องนี้ “แม่คะ น้ำมนต์เอง”
“เข้ามาสิลูก” ผู้เป็นแม่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน ยิ้มทักทายลูกสาวคนโต
“แม่กำลังทำอะไรอยู่คะ ไม่สบายหรือเปล่า”
“แค่รู้สึกมึนหัว ก็โรคเดิม ๆ นั่นล่ะ กินยาไปแล้วเดี๋ยวก็ค่อยยังชั่ว แล้วหนูมีอะไรกับแม่หรือเปล่าจ๊ะ” แม่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ปกติลูกสาวคนโตของเธอไม่ค่อยเข้ามาหาแม่หากไม่มีธุระสำคัญ
“แม่จะว่าอะไรไหมถ้าน้ำมนต์จะออกไปอยู่หอ หนูจะไปอยู่ที่อื่นก็อดเป็นห่วงแม่ไม่ได้” มนต์ลดาพูดด้วยเสียงกังวล
“ทำไมถึงจะไปอยู่ข้างนอกล่ะลูก” แม่เอื้อมมือลูบเรือนผมเธออย่างอ่อนโยน
“ที่ฝึกงานไกลค่ะ พอดีมีเพื่อนชวนหารที่พักด้วย”
“แฟนเหรอลูก ถ้าน้ำมนต์จะแยกออกไปพักกับแฟนแม่ก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“เพื่อนจริง ๆ ค่ะ เพื่อนผู้หญิงด้วยค่ะ” เธอพูดพลางหยิบโทรศัพท์เปิดภาพของลัดดาเพื่อนที่เพิ่งรู้จักจากที่ฝึกงาน แม่สบตากับมนต์ลดาก่อนจะแสดงสีหน้าลำบากใจ “แล้วเรื่องหนี้…เอ่อ...”
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงน้ำมนต์จะไม่ได้อยู่บ้านแต่ก็จัดการเรื่องนั้นได้ พักข้างนอกแค่ไม่กี่เดือนเอง เดี๋ยวหนูจะกลับมาทุกเสาร์-อาทิตย์นะคะ”
จู่ ๆ พ่อเปิดประตูเข้ามาพร้อมมองลูกสาวด้วยสายตาดูแคลน
“จะย้ายไปอยู่กับเสี่ยคนนั้นทำไมไม่บอกแม่แกไปตรง ๆ เลยล่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” มนต์ลดาพูดด้วยเสียงผิดหวัง น้ำตารื้นเอ่อในดวงตาใส เธอรู้ว่าพ่อให้ความรักความสนใจน้ำฟ้ามากกว่าเธอ แต่การที่พ่อพูดจาแบบนี้บ่อยครั้งทำให้เส้นความอดทนของมนต์ลดาขาดผึง ครั้นจะให้เธอทะเลาะหรือก้าวร้าวใส่พวกท่าน เธอก็มองไม่เห็นข้อดีในการกระทำนั้น และการที่เลือกก้าวออกจากบ้านหลังนี้ เพราะเธอคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจของเธอในตอนนี้
“แหม แกไม่ต้องอายหรอกน้ำมนต์ ช่วงนี้งานแกก็ไม่ค่อยมีงานไม่ใช่เหรอ บอกเงินไม่ค่อยมีแต่ริจะไปอยู่ข้างนอกให้เปลืองเงิน ถ้าไม่ใช่ผู้ชายเลี้ยงแล้วจะอะไร”
“หนูไม่กวนแม่แล้วค่ะ แม่พักเยอะ ๆ นะ”
มนต์ลดากลับมายังห้องตัวเองด้วยความรู้สึกปวดร้าว ถึงเธอจะทำใจเรื่องครอบครัวได้ แต่การที่ได้ยินเขากล่าวหาแบบนี้ก็อดที่จะรู้สึกไม่ดีไม่ได้
มนต์ลดาตัดสินใจกดโทรศัพท์หาลัดดาเพื่อสอบถามเรื่องที่พัก แม้ว่าเธอจะรักครอบครัวมากแค่ไหน แต่เมื่อพ่อพยายามยัดเยียดตราบาปในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ และคำพูดนั้นมันก็รุนแรงเกินกว่าจิตใจของเธอจะรับไหว การเลือกเดินออกจากที่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับแล้ว…อย่างน้อยก็ในเวลานี้
“สวัสดีจ้ะ ลัดดา เราขอรายละเอียดหน่อยสิ”
[เราดีใจมากเลยที่จะมีน้ำมนต์เป็นรูมเมต]
“เราต้องจ่ายให้ลัดดาเป็นก้อนเลยไหม พอดีเรา…เอ่อ”
[เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากหรอก เรามัดจำไปแล้ว น้ำมนต์แค่หารค่าห้องกับก็พอ ส่วนเรื่องอื่นเราไม่คิดมากหรอก]
“แล้วที่บ้านลัดดาเขาไม่ว่าเหรอ”
[ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ดีด้วยซ้ำมีเพื่อนอยู่ด้วย แล้วจะย้ายของมาวันไหนล่ะ]
“จะเป็นอะไรไหม…ถ้าเราอยากจะรบกวนไปคืนนี้เลย”
[ได้สิ เดี๋ยวลัดดาส่งโลเกชันให้นะ ว่าแต่น้ำมนต์มีปัญหาที่บ้านเหรอ]
[ช่างเถอะ ๆ ยังไงก็รีบมานะ เดี๋ยวดึกซะก่อน ให้คิมหันต์ไปช่วยขนของไหม]
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เกรงใจอะ”
[งั้นเดี๋ยวลัดดารอนะ เราไปกินหมูกระทะกันไหม จะได้นัดคิมเลย ตื่นเต้นจัง]
“เออ ก็ได้จ้ะ แต่น้ำมนต์กินไม่ค่อยคุ้มน่ะสิ”
[ไม่เป็นไร ลัดดากินจุและคุ้มมาก]
“งั้นเดี๋ยวน้ำมนต์รีบเก็บของก่อนนะ แล้วเจอกันจ้า” หลังจากวางสายลัดดา มนต์ลดาก็รีบเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นแล้วรุดออกจากบ้านอย่างรีบร้อน โชคยังดีที่หมู่บ้านของเธออยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่มากนัก เธอเรียกรถแท็กซี่คันแล้ว คันเล่า กว่าเธอจะได้ขึ้น คันนี้ก็เป็นคันที่ห้า
‘เดี๋ยวก็ไปเติมแก๊ส คันต่อมาก็รีบไปส่งรถ อีกคันบอกว่าไกลเกินไป นี่ฉันกำลังฝ่าด่านเคราะห์กรรมใช่ไหม? ยังดีที่คันนี้ใจดีรับฉันขึ้นรถ ฉันคิดเสมอว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งอะไรที่ดีกว่าเสมอ อย่างน้อยก็ขอหนีความวุ่นวายและคำพูดแย่ ๆ ของคนที่บ้านไปก่อน โชคดีที่ลัดดากำลังหารูมเมตแชร์ห้องด้วยพอดี หลังจากนี้ฉันคงต้องประหยัดมากขึ้นอีกหน่อย เงินเก็บที่มีอยู่ก็เริ่มเหลือน้อยเต็มทน สงสัยต้องหางานรีวิวเพิ่มด้วยแล้ว การที่พี่บัวตัดฉันออกจากโมเดลลิงต้องยอมรับว่าทำให้การเงินของฉันได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังดีบริษัทที่ฉันฝึกงานให้เงินเดือน อย่างน้อยก็พอค่าที่อยู่ค่ากิน แต่หนี้สินรุงรังนี่สิ จะไปเอาที่ไหนมาจ่ายกัน’
มนต์ลดานั่งครุ่นคิดระหว่างเดินทาง ไม่นานนักหญิงสาวก็มาถึงยังหอพัก ลัดดาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หลังจากที่มนต์ลดานำกระเป๋าเข้าไปเก็บที่ห้องพัก เธอกับเพื่อนสาวก็พากันไปกินหมูกระทะร้านแถวหอพัก โดยมีคิมหันต์ตามมาสมทบ
ชายหนุ่มคีบหมูที่สุกกำลังดี กลิ่นหอมวางบนจานของมนต์ลดาก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ทำไมน้ำมนต์ดูเครียดละ แล้วจู่ ๆ ทำไมรีบมาดึกดื่นแบบนี้ มันอันตรายนะรู้ไหม”
“นี่คิมหันต์ เสียมารยาท” ลัดดาเอ่ยขัด
“ไม่เป็นไรหรอกจ้า ถามได้…” มนต์ลดายิ้มบางเบาพร้อมกับสายตาอ่อนล้าอย่างไม่ปิดบัง
“งั้นเล่าให้พวกเราฟังก็ได้นะ ถึงเราเพิ่งรู้จักกันแต่ลัดดาเชื่อว่า เราจะเติมเต็มกำลังใจให้กันและกัน” ลัดดาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง หน้าตาขึงขังขัดกับบุคลิคก่อนหน้าหล่อนเป็นคนดูสบาย ๆ ติดไปทางตลกเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของความรู้สึก ลัดดากลับแสดงออกอย่างจริงจัง ส่งผลให้ทั้งมนต์ลดาและคิมหันต์รู้สึกดีไปด้วย
“ใช่ ๆ เราเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม อย่างน้อยให้เราดูแลและเป็นที่พึ่งให้พวกเธอนะ ถึงเราจะหล่อไปหน่อย ดูคุณหนูไปนิด แต่คิมหันต์คนนี้พึ่งพาได้นะ”
“เกือบจะดีแล้วคิมหันต์เอ้ย” ลัดดาเอ่ยแซว
“อ้าว แล้วไม่ดีตรงไหนล่ะ”
มนต์ลดาสบตาลัดดาสลับกับคิมหันต์ด้วยความซึ้งใจ ก่อนจะคีบหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมายิ้มหวานจนตาหยี ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจังไม่ต่างกัน “งั้นให้หมูติดมันชิ้นนี้เป็นพยานว่า เราจะเป็นเพื่อนที่ดีและช่วยเหลือกันตลอดไป”
ทั้งลัดดาและคิมหันต์ต่างหัวเราะชอบใจ พร้อมใจกันคีบหมูย่างที่อยู่ในจานขึ้นมาเข้าปากพร้อมกับแชร์ความรู้สึกที่มีต่อกัน ทั้งเรื่องมหาวิทยาลัยของพวกเขาและความชอบส่วนตัว เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีเพื่อนใหม่ที่น่ารัก ทำให้ผ่านคืนวันที่โหดร้ายไปได้ ลึก ๆ เด็กสาวทบทวนกับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ‘การที่เธอออกมาพักข้างนอกเช่นนี้เป็นการหนีปัญหาหรือไม่? แต่เมื่อเธอตัดสินใจทำลงไป ต้องรับผลที่ตามมา เธอจะไม่มานั่งเสียใจในภายหลัง’ มนต์ลดาสะบัดหน้าแรงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
‘อะไรที่ทำลงไปแล้ว ฉันคิดดีแล้ว ทุกอย่างมันต้องดีสิ ฉันก็ไม่ได้ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพียงเพื่อความสบายใจของตัวเองคนเดียว การที่ออกมาอยู่เองทำให้มีแรงกำลังใจหาเงินใช้หนี้ ฉันรู้ดีว่าการที่ไม่อยู่บ้าน ทุกคนไม่มีใครไยดีฉันหรอก ก็มีแต่ตัวของฉันที่สำคัญตัวเองผิดเสมอว่าพวกเขายังสนใจอยู่ แท้จริงแล้วทุกคนสนใจแค่ ‘เงิน’ เท่านั้น หลังจากนี้ฉันก็ต้องทำอะไรเพื่อตัวฉันเองบ้างแล้ว!’
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?