ตอนที่ 29ของตายที่ยังหายใจ

ฟาริดาหันมองหน้าพี่สาวด้วยสีหน้าซีดเผือด พลางหันกลับมายิ้มเจือนให้ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ พลางยกมือไหว้ค้อมศีรษะอย่างอ่อนน้อมผิดจากกริยาเมื่อครู่ราวกับคนละคน “เอ่อ สวัสดีค่ะ เมื่อครู่นี้น้ำฟ้าขอโทษคุณราเชนทร์ด้วยนะคะ แย่จังเสียมารยาทใส่คุณไปตั้งเยอะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธน้ำฟ้านะคะ”

เมื่อฟาริดารู้ว่าชายผู้นี้เป็นเจ้านายของพี่สาวหล่อนก็รีบขอโทษขอโพย พร้อมกับเชิญเขานั่งด้วยน้ำเสียงกะลิ้มกะเหลี่ย ถึงเจ้านายของพี่สาวจะแลดูสูงอายุไปบ้างแต่ถ้าได้คนรวย ๆ สักคนมาช่วยชีวิตเธอในช่วงเวลานี้ก็คงดีไม่น้อย หล่อนคิดพร้อมกับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางเดินเข้าไปตรงหน้าเจ้านายพี่สาวด้วยท่าทางอ่อนหวาน “ว่าแต่คุณราเชนทร์ไม่โกรธน้ำฟ้าใช่ไหมคะ”

ฟาริดาพูดพลางกอดแขนราเชนทร์แน่นพร้อมกับถือวิสาสะซบลงไปที่ไหล่แกร่งของเขาอย่างอ้อยอิ่งแผ่วเบา “แล้วพอจะมีทางที่คุณพอจะช่วยน้ำฟ้าได้บ้างไหมคะ” หล่อนอ้อนเสียงหวาน ในขณะที่ชายหนุ่มทำเพียงหัวเราะหึในลำคอ พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังแฟนสาว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสีหน้าที่แสดงถึงความชอบใจที่เห็นเขาทำตัวไม่ถูก

ราเชนทร์พยายามแกะมือของน้องสาวแฟนออกอย่างเบามือก่อนจะลุกไปนั่งข้างมนต์ลดา “เรื่องช่วยเหลือหากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ คุณน้ำฟ้าบอกผ่านน้ำมนต์ได้เลยนะครับ อย่างไรเสียคุณก็เป็นน้องสาวของคนรักของผมนี่เนอะ” เขาไม่พูดเปล่าวงแขนอบอุ่นยังโอบรวบเอวมนต์ลดาเอาไว้แน่นเพื่อแสดงให้ฟาริดาเห็นว่าพี่สาวของเธอก็คือคนรักของเขาตามที่กล่าวอ้างไว้

“โธ่ พี่น้ำมนต์ผู้ชายของพี่หรอกเหรอ แล้วทำไมไม่บอกก่อนปล่อยให้น้ำฟ้าอ่อยตั้งนาน เสียหน้าชะมัด” ฟาริดาโวยด้วยน้ำเสียงกะฟัดกะเฟียด สีหน้าเจือนลงไปกว่าคราวแรกหลายขุม

ระหว่างนั้นราเชนทร์ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เขาบังเอิญได้ยินสองพี่น้องคุยกันเรื่องที่เด็กสาวทั้งสองกำลังเผชิญกับปัญหาที่ผู้เป็นพ่อรับเงินเสี่ยทั้งหลายเพื่อแลกกับตัวของลูกสาว

“เดี๋ยวก่อนนะ หรือนี่เป็นเรื่องที่หนูไม่ยอมบอกผมใช่ไหม?”

“คุณหมายถึงอะไรคะ”

“ก็เรื่องที่เจ้าสัวรู้แต่ผมไม่รู้” ราเชนทร์ยังคงฝังใจกับความลับที่เจ้าสัววิฑูรรู้จนบีบบังให้หนูมนต์ลดาจำใจต้องรับเดินแบบให้เมื่อคราวก่อน

“นิคุณยังไม่จบปัญหาเรื่องเจ้าสัวใช่ไหม เรื่องระหว่างเจ้าสัวกับน้ำมนต์ มันไม่มีอะไรนอกจากการจ้างงานนะคะ” มนต์ลดาตอบเสียงหนักแน่น

“หมายถึงเรื่องที่พ่อของพวกหนู...เออ” ราเชนทร์เสียงอ่อนเมื่อเขานึกว่าต้องพูดว่าพ่อของเด็กสาวทั้งสองตั้งใจขายพวกเธอให้เป็นนางบำเรอของพวกเสี่ยนั่นเขาก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“ที่พ่อจะขายพวกหนูให้นอนกับไอ้พวกเสี่ยเจ้าหนี้ใช่ไหมคะ”

ฟาริดารีบพูดตัดบทเพราะยังกรุ่นโกรธเรื่องที่หล่อนถูกพ่อแท้ ๆ ที่รักกระทำกับเธอราวกับเป็นสิ่งของ ที่เขานึกจะขายให้ใครก็กระทำได้ตามอำเภอใจ ถึงหล่อนจะรักพ่อบังเกิดเกล้ามากแค่ไหน แต่คงไม่คิดเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้พ่อเอาเงินไปเล่นการพนันหรอกนะ

ราเชนทร์พยักหน้าพร้อมกับจ้องตามนต์ลดาราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ เมื่อเด็กสาวถูกต้อนจนมุมเธอก็จำใจต้องเล่าเรื่องที่เธอไม่อยากเล่าที่สุดให้เจ้านายพ่วงตำแหน่งคนรักฟังอย่างเสียไม่ได้ มนต์ลดาเล่าเพียงครอบครัวของเธอติดหนี้ก้อนโตเมื่อราวสามปีก่อน ตอนนั้นพ่อยังทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่บริษัทหนึ่ง แต่หลัง ๆ รู้มาว่าพ่อเริ่มเล่นการพนันทำให้หมดเงินไปมาก หนำซ้ำเจ้าหนี้ยังไปทวงที่ทำงานทำให้ติดทัณฑ์บน ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยกระทั่งบริษัทไล่ออก ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาหมุนใช้ หากเป็นการใช้จ่ายจริง ๆ ภายในบ้านก็ยังพอที่จะชดใช้คืนได้เนื่องจากบ้านเราก็เปิดร้านขายของแม้จะได้กำไรไม่มากนักแต่ก็ทำให้ครอบครัวเราพอมีกินอยู่ได้ หลายครั้งที่เจ้าหนี้มาทวงเงินที่บ้านขู่จะทำร้ายและเอาตัวลูกสาวไปเป็นนางบำเรอขัดดอก

“เพราะแบบนี้ใช่ไหมไอ้เสี่ยคนนั้นถึงไปตามรังควานหนูถึงหน้าบริษัท” ราเชนทร์เอ่ยถามด้วยความอ่อนใจ

มนต์ลดาพยักหน้าพลางหลุบตาลงต่ำอย่างหดหู่ เธอไม่อยากให้ราเชนทร์ต้องมารับรู้ภูมิหลังครอบครัวของเธอ มันน่าอับอายมากเกินกว่าจะให้เขามาแบกรับเรื่องพรรค์นี้ได้

“แล้วตอนนี้พ่อของหนูยังติดหนี้อีกเยอะไหม” ราเชนทร์ถามด้วยความกังวลพลางใช้ความคิด หากยังปล่อยเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็กลับเข้าวงจรเดิมและเด็กสาวทั้งสองก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี

“เท่าที่น้ำมนต์ชดใช้อยู่ตอนนี้ก็เหลือแสนกว่า ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อจะไปเอาเงินใครอีกตอนไหน และก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นซ้ำกี่ครั้งกี่หนกัน” มนต์ลดาเล่าพลางถอดถอนใจ

ฟาริดาได้ฟังที่พี่สาวพูดพลางขมวดคิ้วแน่นก่อนจะแฝดเสียงเล็กแหลมถามด้วยความเกรี้ยวกราด “เดี๋ยวก่อนนะ น้ำฟ้างงไปหมดแล้ว พี่น้ำมนต์โดนใครตามถึงบริษัทคะ”

“เสี่ยอู๊ดตามพี่ไปถึงบริษัทน่ะ เมื่อคืนวันเสาร์ก่อนมันโทรมาบอกพี่ให้หาเงินคืนมันต้นสี่หมื่น ดอกอีกสี่พัน ภายในวันจันทร์ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ก็ต้องไปนอนกับมันเป็นนางบำเรอใช้หนี้ ที่สำคัญเสี่ยอู๊ดบอกว่าเรื่องนี้พ่อเป็นคนยื่นข้อเสนอให้เอง” เธอเล่าให้น้องสาวฟังด้วยความรู้สึกสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด

มนต์ลดาเคยเห็นแต่ในละครก่อนข่าวที่พ่อแม่ขายลูกเป็นนางบำเรอเสี่ยเพื่อหวังเพียงเศษเงินของพวกมัน โดยที่ไม่สนความรู้สึกของลูกจะเป็นอย่างไร ขอเพียงได้เงินเข้ากระเป๋าตนเองเป็นพอ ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเธอและน้องสาวในเวลาใกล้เคียงกันเช่นนี้

“ถ้าน้ำฟ้าไม่โดนกับตัวเอง สาบานเลยว่ายังไม่ก็ไม่อยากเชื่อว่าพ่อแท้ ๆ จะทำกับพวกเราได้ลงคอ” ฟาริดาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

แม้ฟาริดาจะหลงใหลแบรนด์เนม แต่งตัวตามสมัยนิยม ชื่นชอบรองเท้าและกระเป๋าสวย ๆ อยากกินอาหารหรูหรา แต่หล่อนก็ยังไม่ถึงขั้นขายตัวเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้น ท้ายที่สุดฟาริดารู้ดีว่าหลังจากนี้หล่อนต้องเปลี่ยนแนวคิดการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด ทว่าการต้องปรับตัวในช่วงแรกนั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่ดีกว่าที่เธอต้องเอาศักดิ์ศรีเข้าแลกเพื่อเงินของใคร ที่สำคัญอาจเสียตัวฟรีเงินก็ไม่ได้สักบาท เพราะพ่อบังเกิดเกล้าคงเอาเงินที่ได้ไปถลุงที่บ่อน ไม่ก็ลงไปกับการพนันจนหมด

“นั่นสิ แค่เป็นหนี้หาจ่ายแต่ละงวดก็ลำบากสายตัวจะขาดแล้ว ต้องมาทนให้พ่อไล่ไปอยู่กับคนรวย ๆ บ้าง ไปหาเสี่ยขัดดอกบ้าง มันเกินจะทนจริง ๆ นะ”

มนต์ลดาเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องสาวเธอพูด ครั้งหนึ่งสมัยที่สองพี่น้องยังเยาว์พวกเราชอบเล่นด้วยกันแม้จะไม่สนิทกันมากนักแต่ก็ไม่ห่างเหินกันเฉกเช่นทุกวันนี้ อย่างน้อยที่สุดเรื่องแย่ ๆ อย่างการที่พ่ออ้างเราสองพี่น้องไปขัดดอกให้พวกเสี่ยตัณหากลับพวกนั้น ก็เป็นโอกาสให้เราสองคนได้มีโอกาสเปิดใจคุยปรับความเข้าใจในเรื่องที่ผ่านมา แม้ชีวิตเราสองพี่น้องจะมืดมัวเจอพายุโหมกระหน่ำแต่มนต์ลดาก็เชื่อเสมอว่า หลังจากพายุผ่านพ้นไป ท้องฟ้าจะสดใสและมีเรื่องดี ๆ รอพวกเราอยู่แน่นอน ขอเพียงเราอดทนมั่นใจทางที่เราเลือกเดิน แม้ผลจะเป็นอย่างไร เธอต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยความเต็มใจอย่างน้อยก็ยังภูมิใจกับสิ่งที่เราเลือกด้วยตัวเอง ยังดีกว่านั่งยิ้มหวานกับวิมานฉาบฉวยแต่น้ำตาตกใน ทนทุกข์ระทมบอกใครไม่ได้

“แล้วเรื่องนี้เราจะทำยังไงได้ พี่น้ำมนต์ก็รู้ว่าแม่หลงพ่อจะตายไป กี่ครั้งแล้วที่ตบตีกันจนเข้าโรงพยาบาลเดี๋ยวสุดท้ายก็กลับไปดีกัน” ฟาริดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แววตาที่มั่นใจในคราวแรกค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง

ระหว่างที่สองพี่น้องปรับความเข้าใจกันผู้เป็นแม่นอนฟังและทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาพร้อมกับความขมขื่นใจ ที่ผ่านมาเธอเห็นแก่ตัวเองมาตลอดปล่อยให้ครอบครัวต้องกลายเป็นแบบนี้โดยไม่คิดที่จะปกป้องหรือแก้ไขให้มันถูกต้อง

เพียงเพราะเธอไม่อยากให้ลูกขาดพ่อ เพียงเพราะรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้

หรือจริง ๆ เธอใช้ข้ออ้างทั้งหมดรอบตัวเพื่อเป็นข้ออ้างที่ยังรั้งพ่อของลูกไว้

เพียงเพราะเธออ่อนแอไม่กล้าพอที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอะไร จึงจำยอมเป็นสนามรองรับอารมณ์ผู้เป็นสามีมาโดยตลอด นิรมนต์รวบรวมความกล้าพร้อมที่จะเผชิญความจริงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเอ่ยปากท่ามกลางความประหลาดใจแก่ลูกสาวทั้งสอง “ครั้งนี้แม่จะหย่า”

เมื่อลูกสาวทั้งสองเห็นคุณแม่ฟื้นคืนสติจึงรีบกรูเข้าไปขนาบข้างเตียงคนไข้ “คุณแม่เป็นยังไงบ้าง” ลูกสาวทั้งสองเอ่ยพร้อมกับสีหน้าเป็นกังวล

“ถ้าหาก…แม่จะหย่ากับพ่อ ลูก ๆ รับได้ไหมถ้าครอบครัวเราจะ...” นิรมนต์ลากเสียงยาว แววตาเต็มไปด้วยความกังวล หัวคิ้วขมวดแน่น มือข้างหนึ่งที่กุมลูกสาวทั้งสองคนเย็นเฉียบราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ มนต์ลดาสบตาน้องสาวพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้หล่อนเอ่ยตอบ

“คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ที่ผ่านมาหนูก็ไม่รู้หรอกนะทำไม คุณแม่ถึงต้องยอมพ่อทุกเรื่องขนาดนี้ อาจเพราะหลงพ่อ หรือกลัวว่าพวกหนูจะขาดพ่อ แต่ถ้าพ่อเขารักพวกเราก็คงไม่ตบตีคุณแม่จนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ไม่เอาหนูทั้งสองคนไปเที่ยวเร่ขายให้เสี่ยบ้ากามแบบนั้นหรอก ตั้งแต่ถูกไล่ออกจากงานมาวัน ๆ หนูเห็นเอาแต่ทำตัว...”

“พอแล้วน้ำฟ้า” มนต์ลดาปรามน้องสาวเมื่อเธอเห็นว่าน้ำฟ้าพูดความจริงที่กำลังแทงใจดำผู้เป็นแม่ แต่เธอก็ไม่อยากให้เรื่องจริงนั้นมาทำร้ายจิตใจของคุณแม่ไปมากกว่านี้

“แล้วพ่อจะยอมหย่าเหรอ เพราะถ้าหย่าใครจะหาเงินให้เขาถลุง” ฟาริดาถามด้วยสีหน้าไม่แยแส แม้เด็กสาวแสดงออกเช่นนั้น แต่ข้างในใจกลับเจ็บปวดร้าวกับมีกริชปักแทงขั้วหัวใจให้ค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ ความผิดหวังนี้หยั่งลึกลงไปยังจิตวิญญาณ โชคยังดีที่เธอปรับความเข้าใจกับพี่สาวได้ทำให้โลกนี้ยังไม่โหดร้ายกับเธอจนเกินไป ที่ผ่านมาฟาริดาสนิทกับพ่อมาก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้จิตใจของหล่อนเสียสูญแตกเป็นเสี่ยง หากการที่ฟาริดาต้องจำใจขายตัวเพราะครอบครัวลำบาก ไม่แน่หล่อนอาจจะยอมเพราะรักพ่อก็ได้ แต่การที่เธอต้องไปนอนกับพวกนั้นเพียงเพราะความไม่รู้จักพอของเขา ฟาริดาไม่อาจรับได้ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบนี้แล้วหล่อนก็ไม่อาจทำใจเคารพคนที่เธอเรียกว่าพ่อได้อีก

เมื่อทั้งสามคุยตกลงเรื่องพ่อกันจบแล้วสายตาของนิรมนต์เหลือบมองแขกคนสำคัญของลูกสาวคนโตพร้อมกับเรียกให้ชายหนุ่มเข้ามาหาหล่อนใกล้ๆ

“คุณแม่คะ น้ำมนต์ลืมแนะนำเลยค่ะ คนนี้คือคุณราเชนทร์เจ้านายของน้ำมนต์เองค่ะ” ลูกสาวคนโต แนะนำเจ้าหนุ่มพ่วงตำแหน่งแฟนด้วยสีหน้าขวยเขิน

“แค่นั้นเหรอพี่น้ำมนต์” ฟาริดาเอ่ยแซวเสียงใส

“อะ เออ...”

“แฟนของลูกเหรอ” คุณแม่เอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

มนต์ลดาหลุบตาลงต่ำ ก้มหน้างุด พ่วงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอแอบมองหน้าคุณลุงท่านประธานที่ยังคงตีหน้าขรึมแล้วยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก

“แม่ฝากดูแลน้ำมนต์ด้วยนะ ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องให้คุณมารับรู้เรื่องแย่ ๆ ของครอบครัวแม่” นิรมนต์ฝากฝังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตาจริงจังในคำพูด ที่ผ่านมาเธอรับรู้มาตลอดว่าลูกสาวคนโตดูแลทุกคนในครอบครัวดีมาตลอด เมื่อตอนนี้เธอมีคนรักที่พร้อมจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในฐานะหล่อนผู้เป็นแม่ก็อยากให้ลูกสาวคนโตออกจากสังคมแบบนี้เพื่อไปมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรเลยครับ สำหรับเรื่องหนี้และเรื่องอื่น ๆ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้คุณแม่บอกผมได้เลยนะครับ” ราเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ขอบคุณมากเลยจ้ะ”

จู่ ๆ ราเชนทร์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “คือ...ผมมีเรื่องจะหนึ่งอยากจะขอโทษและสารภาพครับ”

มนต์ลดาหันขวับส่งสายตาดุให้แฟนหนุ่ม “เรื่องอะไรคุณ”

“ผมขอให้น้ำมนต์ไปอยู่กับผมที่บ้านนะครับ”

แม้ความจริงหนูมนต์ลดาก็พักอยู่ที่บ้านของราเชนทร์อยู่ก่อนแล้ว การที่เขาได้เอ่ยขออนุญาตคุณแม่ของเธออย่างเป็นทางการก็น่าจะดีกว่า เขาคะเนสถานการณ์ในตอนนี้การที่มนต์ลดาย้ายมาอยู่กับเขาก็ยังดีกว่าพักอยู่ที่บ้าน

“แบบนั้นมันจะดีเหรอจ้ะ” นิรมนต์ทำสีหน้าเป็นกังวล

ราเชนทร์โอบกระชับเอวมนต์ลดาพร้อมกับย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังกว่าเดิม “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้ำมนต์ให้ดีที่สุด ถ้าน้องเรียนจบแล้วผมจะให้ทางบ้านมาสู่ขอนะครับ”

“นี่คุณ...ใครจะไปแต่งกับคุณกัน” มนต์ลดาใบหน้าร้อนผ่าว มือบางพยายามผละเขาออกแต่ราเชนทร์กลับยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

“ถ้าน้ำมนต์รักใครแม่ก็รักด้วย ยังไงฝากดูแลลูกสาวแม่ด้วยนะ” นิรมนต์เอ่ยเสียงอ่อน แววตาเปี่ยมด้วยความสุข

“คุณแม่ หนูยังไม่ได้ตกลงเลย แล้วใครพูดกันว่ารักเขา คุณแม่จะยกหนูให้คนอื่นง่ายไปไหม?”

“พี่น้ำมนต์จะอะไรนักหนา ถ้าพี่ไม่เอาคนนี้หนูเอาแทนนะ” ฟาริดาแสยะยิ้มร้ายพร้อมกับเดินเข้ามาขนาบข้างแฟนพี่สาวพร้อมกับแกล้งซบที่แขนแกร่งอย่างหยอกเย้าพี่สาว

“หล่อ รวย ใจป๋าแบบนี้ ถ้าพี่น้ำมนต์ไปเอา น้ำฟ้ายินดีนะคะ” เด็กสาวพูดเสียงกรุ้มกริ่มพลางกระตุกยิ้มร้าย ในขณะที่มนต์ลดาดึงราเชนทร์กลับคืน พร้อมกับแสดงสีหน้ามู่ทู้ใส่น้องสาวอย่างหัวเสีย

“จริง ๆ ที่ลูก ๆ ต้องมาลำบากแบบนี้ก็เป็นเพราะแม่เองที่ไม่เข้มแข็งพอ”

“คุณแม่อย่าดึงดราม่าสิ” ฟาริดาบ่นอุบ

“ถ้าพ่อกลับมาแล้วแม่จะบอกเรื่องหย่าให้จริงจัง ที่ผ่านมาแม่ขอโทษนะลูก” คุณแม่เอ่ยขอโทษน้ำเสียงสั่นเครือ

“อันที่จริงคุณแม่ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก ครั้งหนึ่งพ่อก็เคยดีแต่พวกหนูรู้ว่าที่ผ่านมาแม่ก็พยายามอดทนมาตลอด ตอนนี้หนูโตแล้วนะไม่มีเขาพวกเราก็อยู่กันได้ น้ำมนต์จะทำงานเลี้ยงแม่กับน้องเอง”

“น้ำฟ้าก็จะทำงานด้วย”

“นี่ยัยน้ำฟ้าตั้งใจเรียนไปก่อนเลย เรื่องหาเงินเดี๋ยวพี่จัดการเอง” มนต์ลดาดุน้องสาวเสียงแข็ง เธออยากให้น้องสาวตั้งใจเรียนมากกว่าสนใจเรื่องการหาเงิน อีกแค่เดือนเดียวเธอก็เรียนจบทีนี้ก็จะมีเวลาหาเงินเลี้ยงคุณแม่กับน้องอย่างเต็มที่

“เนี่ยพี่น้ำมนต์ก็สปอยล์ฟ้าไม่ต่างจากพ่อเลยนะ แล้วแบบนี้เมื่อไรฟ้าจะได้เท่อย่างพี่บ้าง” ฟาริดาผ่อนลมหายใจยาวอย่างอ่อนใจ

“รอเรียนจบก่อนก็ยังทัน เอาน่าเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

“ว่าไปแล้วพ่อจะยอมหย่ากับคุณแม่เหรอ?” ฟาริดาถามเสียงกังวล อย่างไรเสียเธอก็รู้จักนิสัยของพ่อดี คนอย่างพ่ออะไรที่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน

ระหว่างที่ทุกคนพยายามพูดคุยหาทางออกของเรื่องราววุ่น ๆ จู่ ๆ เสียงผู้ชายวัยกลางคนก็ตะเบ็งเกรี้ยวกราดทำลายบรรยากาศอันแสนสุขให้พังทลายลง “อะไรกัน ใครจะหย่ากับใคร”

เมื่อมนต์ลดาผู้เป็นพ่อเดินหน้าบอกบุญไม่รับเข้ามาก็รีบยกมือไหว้เอ่ยทักทาย ทว่ากลับถูกก่นด่าโดยกล่าวหาว่าเธอเป็นคนเป่าหูให้ทั้งน้องสาวและแม่กระด้างกระเดืองกับตน อีกทั้งยังปลุกปั่นให้น้ำฟ้าไม่ยอมไปเป็นเด็กเลี้ยงของเสี่ยแดง ผู้เป็นพ่ออ้างว่าเสี่ยแดงเพียงเอ็นดูน้ำฟ้าและอยากรับไปอุปการะไม่ได้ให้ไปเป็นนางบำเรออย่างที่เข้าใจผิดกัน ก็คงมีแต่คนโง่ไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่จะเชื่อคำพูดของชายผู้ที่อ้างตนเองเป็นพ่อ ยิ่งเขาพยายามยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ชักแม่น้ำทั้งห้าสายพูดโน้มน้าวลูกสาวคนเล็กมากเท่าไร แทนที่ฟาริดาจะเข้าใจผู้เป็นพ่อกลับกลายเป็นสุ่มไฟโทสะของเด็กสาวที่มีอยู่ให้โหมมากยิ่งขึ้น

“ที่พ่อทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูกนะ น้ำฟ้า หนูก็รู้ว่าพ่อรักหนูมากแค่ไหน” วุฒิชัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“ก็เพราะรู้…ว่าพ่อรักหนู เพราะแบบนั้น หนูถึงไม่เข้าใจว่าทำไมขายพวกหนูแลกกับการนอนกับไอ้เสี่ยพวกนั้น” ยิ่งฟาริดาฟังคำพูดของพ่อความอดทนของเด็กสาวก็ถึงขีดสุด ลูกสาวคนเล็กโพล่งออกมาพร้อมกับหนีออกห้องไปทิ้งให้พ่อหันกลับมาต่อว่ามนต์ลดาต่ออย่างเสียไม่ได้

หลังจากวุฒิชัยผู้เป็นพ่อพยายามหาข้ออ้างดี ๆ ให้ลูกสาวคนโปรด แต่ยิ่งกลับทำให้ฟาริดายิ่งกรุ่นโกรธจนกระแทกเท้าหนีไป ความเดือดดาลทั้งหมดในครั้งเลยตกมาอยู่ที่มนต์ลดาแทน “แล้วไอ้นี่เป็นใคร”

“เออ คนนี้คุณราเชนทร์เจ้านายน้ำมนต์ค่ะ เขาพาหนูมาส่งที่โรงพยาบาล” มนต์ลดาพูดแนะนำเสียงเย็นชา

“เจ้านายเหรอ หึ แค่กูมองก็รู้แล้วว่าเป็นเสี่ย แหมทีหลังก็บอกสิว่ามีคนรับเลี้ยงอยู่แล้ว ไหนบอกมาสิมันให้เงินแกเดือนเท่าไร” พ่อพูดเสียงกระโชกโฮกฮากดูแคลนลูกสาวคนโตอย่างไม่ไว้หน้า

“นี่พ่อพูดจาให้เกียรติคุณราเชนทร์หน่อยสิ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงแข็ง

“เสี่ยอู๊ดมันเล่าให้กูฟังหมดแล้ว ว่าผัวของมึงเป็นคนจ่ายหนี้ให้แทน”

“พ่อฟังน้ำมนต์ก่อน”

วุฒชัยแสยะยิ้มร้าย ปรายตามองทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาพราวระยับเมื่อเห็นนาฬิกาข้อมือของเจ้านายลูกสาวที่ดูก็รู้ว่าถ้าไม่รวยจริงไม่สามารถใส่รุ่นนี้ได้ “พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ดีด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องไปทำงานเดินแบบอะไรนั้นให้เหนื่อย แค่นอนกับคนพวกนี้ก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ พ่อบอกให้ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ เป็นยังไงล่ะ ติดใจแล้วใช่ไหม?” คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นพ่อ กระซิบกับลูกสาวเสียงลอดไรฟัน ทว่าก็ยังดังพอที่ทุกคนในห้องจะได้ยินคำพูดร้ายกาจนั้น

ราเชนทร์เดือดดาลเลือดขึ้นหน้าพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อวุฒชัยไว้แน่น “นี่มันลูกสาวคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมพูดจาแบบนี้”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ ออ หรือหลงอีน้ำมนต์จนไม่ลืมหูลืมตา เป็นไงล่ะ มันเด็ดไหม...” เขากระซิบถามเจ้านายลูกสาวด้วยเสียงเจ้าเล่ห์

วุฒิชัยยังไม่ทันพูดจบประโยคเขาก็ถูกราเชนทร์ผลักลงไปกองกับเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้อย่างแรง “อะไรกันวะ ผมเรียกค่าเสียหายได้นะ ที่คุณทำร้ายร่างกายผม”

“พ่อ พอได้แล้ว เงิน เงิน เงิน ในหัวของพ่อมันมีแต่เรื่องเงินหรือยังไง?” มนต์ลดาโพล่งออกมาเสียงดังอย่างเหลืออด

“แล้วที่มึงทำทุกอย่างนี่ไม่ใช่เพราะเงินหรอกเหรอ ที่ยอมเป็นอีหนูของเจ้านายไม่ใช่เพราะเงินแล้วเพราะอะไรกันล่ะ”

“ผมกับน้ำมนต์กำลังคบกันครับ” ราเชนทร์เอ่ยตอบแทนแฟนสาวที่กำลังกรุ่นโกรธจนร่างสั่นเทิ้ม

วุฒิชัยพยุงตัวขึ้นแล้วลูบศรีษะลุกสาวคนโตอย่างแผ่วเบา ใบหน้าแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มลงไปกระซิบรอดไรฟัน “น้ำมนต์ลูกรักนี่เก่งมากเลย ที่จับคนรวยได้จนเขาเอาเป็นแฟน นี่ถ้าได้ตบแต่งด้วยนะ หึ”

“หยุดได้แล้วพี่ เรื่องของลูกอย่าไปยุ่งกับมันเลย” นิรมนต์เอ่ยห้าม ยิ่งหล่อนตัดสินใจได้ว่าจะหย่าขาดจากสามี ทุกการกระทำของวุฒิชัยก็ยิ่งทำให้หล่อนรับไม่ได้อีกต่อไป

“แล้วจะให้ด่าแกต่อเหรอ ว่าเลี้ยงลูกมักน้อยแบบตัวเอง ชีวิตมึงถึงอยู่แบบนี้ยังไงกันล่ะ” วุฒิชัยหันไปตะคอกใส่ภรรยาที่นอนป่วยด้วยความเดือดดาล

“แล้วชีวิตของฉันมันทำไมเหรอ” นิรมนต์แผดเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ครั้งนี้นิรมนต์ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ผู้เป็นสามีกดขี่อีกต่อไป ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาการอดทนไม่ใช่ทางออก หนำซ้ำยังทำให้เธอกับลุกสาวทั้งสองคนต้องมาเดือดร้อนกับความไม่เด็ดขาดของตัวเธอเอง หลังจากนี้นิรมนต์จะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองและลูกสาวทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องตกอยู่ภายใต้เงาของสามีที่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป

“ก็...” นิรมนต์ตวาดเสียงแข็ง ทว่าจริงจังในทุกคำเอ่ยออกไป “ที่เราเป็นหนี้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะพี่ทำตัวเองหรอกเหรอ ทำชีวิตตัวเองลงเหวยังไม่พอ ยังจะมาดึงน้ำมนต์กับน้ำฟ้าไปตกนรกด้วยทำไม”

“การที่กูให้ลูกทั้งสองคนมันไปอยู่กับคนรวย ๆ มันไม่ดีตรงไหน หรือจะให้มันมาจมปลักอยู่แบบนี้” วุฒิชัยยังคงอ้างเอาความดีเข้าตัวทั้งที่ความเป็นจริง เขาต้องการเพียงแค่เงินเพื่อไปลงทุนต่อยอดเท่านั้น

“แล้วพ่อถามน้ำมนต์หรือยัง ที่พ่อบอกให้เสี่ยอู๊ดมันมาเอาตัวน้ำมนต์ถึงหน้าบริษัท พ่อคิดบ้างไหมว่าหนูจะรู้สึกยังไง พ่อทำเกินไปมากจริงๆ” มนต์ลดารับเหตุผลของพ่อไม่ได้ ขนาดน้องสาวของเธอยังรู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วพ่อก็ต้องการแค่เงินไปเล่นพนันเท่านั้น

“ฉันจะหย่า ต่อจากนี้พี่จะไม่มีสิทธิ ในตัวลูกทั้งสองคนอีก แล้วอย่าเที่ยวไปเอาลูกเร่ขายให้ใครต่อใครอีกนะ” คุณแม่ตวาดพร้อมกับกดกริ่งเรียกพยาบาลให้เข้ามาในห้อง

“ไม่ กูไม่หย่า เรื่องอะไรต้องหย่า”

“งั้น…ฉันจะฟ้องหย่า” นิรมนต์เถียงกลับด้วยความเด็ดเดี่ยว

“ณีจ๊ะ คนอย่างแกอะมันจะทำอะไรได้ วัน ๆ ก็ทำได้แต่ทำกับข้าวอยู่หน้าเตากับเปิดร้านขายของเฮงซวยนั่น อย่างแกเหร๊อจะมีปัญญามาฟ้องหย่า หึ” วุฒิชัยพูดเสียงดูแคลน ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นบีบปลายคางนิรมนต์แน่น ในขณะที่หล่อนสะกดกั้นความกรุ่นโกรธไว้ ปลายมือจิกกำผ้าห่มไว้แน่น “มันจะมากไปแล้วนะ”

“ทำไม มันจะมากอะไร ยังไงกูก็ไม่เลิก…อยากให้กูเลิกก็ฟ้องหย่าเอาสิ ถ้าแกมีปัญญานะ” วุฒชัยแสยะยิ้ม ปรายตามองสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันร้องไห้อย่างดูแคลน กระแทกเท้าปิดประตูเสียงดังลั่นจนพยาบาลที่กำลังเดินเข้ามาเอ่ยตักเตือน

“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องหนี้และหาทนายในการฟ้องหย่าให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะครับ”

“คุณไม่น่ามาได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมาลำบากด้วยเลย”

“ไม่ลำบากหรอกครับ อันที่จริงผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร ก่อนหน้านี้ผมก็ทำผิดกับน้ำมนต์เอาไว้มาก ให้ผมได้ช่วยเหลือเพื่อเป็นการไถ่โทษเถอะนะครับ” ราเชนทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม่ว่าหนูกับเขามีเรื่องต้องคุยกัน แม่อยู่โรงพยาบาลไม่เป็นอะไรหนูไปเถอะ” นิรมนต์ลูบศรีษะกลมของลูกสาวอย่างภูมิใจ

แม้นิรมนต์ไม่ค่อยเอ่ยคำว่า ‘รัก’ แต่มนต์ลดาเป็นลูกสาวที่นิรมนต์ห่วงที่สุด เพราะเธอมักจะเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ ทำงานเยอะจนเกินตัว หากมองย้อนกลับไปสาเหตุทั้งหมดที่ลูกสาวต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ก็เป็นจากตัวหล่อนเองที่ดูแลลูกไม่ดีพอ ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อทำเรื่องจนให้มนต์ลดาต้องคอยจ่ายหนี้แทน หลังจากนี้นิรมนต์ตั้งใจจะปรับตัวใหม่ ยืนหยัดด้วยตัวเองเป็นแม่ที่ดีกว่าเดิมให้ได้

“เดี๋ยวแม่ให้น้ำฟ้ามาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”

“งั้นเดี๋ยววันพรุ่งนี้หนูมาหาแม่ใหม่นะคะ” มนต์ลดาเอ่ยลาคุณแม่ หลังจากนั้นจึงโทรศัพท์เรียกน้องสาวให้มาดูแลแม่แทนเธอ

“พี่น้ำมนต์จะกลับแล้วใช่ไหมคะ”

“เดี๋ยวพี่กับคุณราเชนทร์จะไปเคลียร์เรื่องเสี่ยแดงให้น้ำฟ้าก่อน”

“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริง ๆ” ฟาริดาดึงมือพี่สาวเข้ามากุมไว้แน่น

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน” มนต์ลดาเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดึงน้องสาวเข้ามากอดไว้ ก่อนจะหยิบเงินสดจำนวนหนึ่งให้น้องสาวติดตัวเอาไว้ใช้ระหว่างเดินทางมาเฝ้าไข้คุณแม่ “เงินนี่เก็บเอาไว้ใช้ระหว่างมาเยี่ยมแม่ แล้วอย่าเอาไปใช้ไม่มีประโยชน์ล่ะ”

“ทำไมเยอะขนาดนี้ละคะ”

“ไม่เป็นไรติดตัวเอาไว้ แล้วยังไงเดี๋ยววันพรุ่งนี้พี่มาเยี่ยมแม่ใหม่นะ”

“เดี๋ยวน้ำฟ้าดูแลแม่เองนะ พี่ไม่ต้องกังวล” สองพี่น้องเอ่ยกล่าวคำลาพร้อมกับแยกย้ายตามหน้าที่ของตนเอง มนต์ลดาเอ่ยขอบคุณราเชนทร์ด้วยความจริงใจ อันที่จริงเธอไม่อยากให้เขาเข้ามาพัวพันเรื่องวุ่นวายภายในครอบครัวของเธอ แต่ท้ายที่สุดแล้วมนต์ลดาก็ไม่สามารถจบเรื่องนี้ได้หากไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ