เสียงคลื่นกระทบฝั่งผสานกับลมทะเลโชยพัดผ่านเข้ามายังหน้าต่าง แสงแดดส่องสว่างท้องฟ้าปลอดโปร่ง กลิ่นไอทะเลทำให้มนต์ลดาได้สติหลังจากที่เธอร้องไห้หนักหน่วงตลอดคืน ไม่ว่าเธอจะพยายามคิดอีกสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถหาคำตอบ เหตุใดคุณราเชนทร์ถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ภาพดวงตาคู่นั้นของเขาที่จ้องมองเธออย่างขุ่นเคือง น้ำเสียงดุดันเจือความโกรธเกรี้ยว สีหน้าแลดูเย็นชาชวนให้ใจไหวสะท้าน บรรยากาศที่รายรอบรอบตัวเราทั้งสองคนช่างอึดอัด ผู้ชายใจดีแสนอ่อนโยนคนที่มนต์ลดาเคยรู้จักบัดนี้แปรเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน
เสียงเรียกจากด้านนอกประตูห้องพักทำให้มนต์ลดาหลุดออกจากภวังค์ความคิดก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“น้ำมนต์นี่พี่แก้วเองนะ ตื่นหรือยัง” รุ่นพี่สาวขานเรียกด้วยความเป็นห่วง
“เข้ามาได้เลยค่ะ น้ำมนต์ไม่ได้ล็อก”
รุ่นพี่สาวคนสนิทเปิดประตูเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก หล่อนทิ้งตัวลงนั่งด้านข้างมนต์ลดาพร้อมกับตบบ่าเด็กสาวเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“ท่านประธานให้พวกพี่พาน้ำมนต์กลับจ้ะ” พี่แก้วเอ่ยเสียงอ่อน สายตาแสดงถึงความห่วงใยรุ่นน้องสาวอย่างไม่ปิดบัง สภาพมนต์ลดาในตอนนี้ที่รุ่นพี่แก้วเห็นก็พอจะบอกได้ว่ารุ่น้องสาวกับท่านประธานมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน
“แล้วเขา…ไปไหนแล้วคะ” น้ำมนต์เอ่ยถามเสียงเลื่อนลอย
พี่แก้วถอนหายใจยาว เม้มปากแน่น “ท่านประธานกลับไปแต่ตอนเช้ามืดแล้ว พี่พอจะรู้ปัญหาเรื่องสร้อยงานประมูลเมื่อคืนแล้วนะ”
“ค่ะ” น้ำมนต์ตอบรับเสียงห้วนพลางถอนหายใจยาว
“น้ำมนต์มีเรื่องอะไรเล่าให้พี่ฟังได้นะ” พี่แก้วพูดพร้อมดึงมือน้องร่วมทีมมากุมไว้หลวม ๆ
“เออคือ...” เธอลากเสียงยาวหัวคิ้วขมวดจนพันกันเป็นปม
มนต์ลดากระอักกระอ่วนลำบากใจที่จะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจ้านายให้รุ่นพี่สาวได้ฟัง จะให้เธอบอกพี่แก้วได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อตอนนี้แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรา แค่เด็กฝึกงาน คนรัก คู่นอน หรือเป็นเพียงนางบำเรออย่างที่เขาปรามาส
“แต่ถ้าไม่สบายใจจะเล่าก็ไม่เป็นไรจ้ะ อยากให้รู้ไว้ว่าพี่แก้วอยู่ตรงนี้ คอยเป็นกำลังใจให้น้องน้ำมนต์เสมอนะ” รุ่นพี่สาวคลี่ยิ้มกว้าง แม้แววตาเป็นกังวล หล่อนรู้ดีว่าน้ำมนต์เป็นเด็กสู้ชีวิตที่เข้มแข็งมาโดยตลอด แต่สุดท้ายเธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะทานทนแรงกดดันที่โหมกระหน่ำ บีบบังคับทุกหนทางได้อีกนานแค่ไหน
ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปเสียดแทงในอก มนต์ลดาโผกอดรุ่นพี่สาวแล้วปล่อยโฮอย่างไม่เก็บอาการ “พี่แก้ว เขาใจร้ายกับน้ำมนต์มาก” เธอเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือเจือความน้อยใจอยู่ในที
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่แก้วช่วยน้องเก็บของนะ” ในเวลานี้สิ่งที่แก้วทำได้ดีที่สุดเห็นจะเป็นเพียงการปลอบประโลมใจและแอบมองอยู่ห่างๆ หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายที่แสนดีต้องทำร้ายจิตใจของน้องเล็กถึงเพียงนี้
ระหว่างการเดินทางกลับโดยเอกรินทร์เป็นผู้ขับรถ พี่ทีมนั่งด้านข้างคนขับเพื่อช่วยดูเส้นทาง มนต์ลดากับพี่แก้วนั่งด้านหลัง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงัน ถึงพี่ทีมกับพี่แก้วพยายามพูดคุยสร้างบรรยากาศ แต่เด็กสาวก็ทำได้เพียงยิ้มบางเบาก่อนจะทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าวิตกกังวล
กระทั่งเข้าถึงเขตกรุงเทพฯ จราจรเริ่มติดขัดแล้วพี่เอกก็ได้เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบและคำพูดนั้นได้สร้างความแปลกใจให้แก่น้ำมนต์อย่างมาก
“เดี๋ยวพี่ขับไปส่งน้ำมนต์ที่บ้านท่านประธานก่อนเลยนะ”
“ไปส่งน้ำมนต์ที่นั่นทำไมกันคะ”
“พี่เอกคิดว่าท่านประธานบอกกับน้องน้ำมนต์แล้วซะอีก” หัวหน้าทีมแสดงสีหน้าลำบากใจ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับวิธีของท่านประธาน อย่างไรเสียเอกรินร์ก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางเรื่องส่วนตัวของราเชนทร์ได้ แต่ในฐานะเพื่อนเขาทำได้เพียงให้ราเชนทร์ใช้สติมากขึ้น ในการกระทำที่ตัดสินใจก็เท่านั้น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่ค่ะ น้ำมนต์จะกลับหอ” เด็กสาวยืนกรานเสียงแข็ง วูบหนึ่งสายตาเกรี้ยวกราดก่อนจะพยายามข่มจิตใจเบือนหน้าหนีพลอยเคืองพี่เอกรินทร์อย่างคนพาล
ทุกคนในทีมต่างรู้ดีว่าพี่เอกกับท่านประธานเป็นเพื่อนกัน แม้ในเวลางานเขาจะวางตัวดีเสียจนไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกันได้ ทั้งการแสดงออก คำพูด และท่าทาง ก็ไม่ต่างจากเจ้านายลูกน้องทั่วไป แต่นอกเวลางานพวกเขากลับสนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“น้ำมนต์ใจเย็นก่อนนะ อันที่จริงเรื่องส่วนตัวของเจ้านายพี่ก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งหรอก แต่ครั้งนี้เสียงเขาดูจริงจังมากเลยนะ ตอนตีห้าเขาโทรมาวานให้พี่ช่วยมารับน้ำมนต์กลับไปที่บ้านของเขาด้วย แล้วต่อจากนี้ไปน้ำมนต์จะพักที่นั่น” เอกรินทร์พูดเสียบเรียบ
“ไม่ค่ะ น้ำมนต์ไม่ไป พี่เอกพาน้ำมนต์ไปส่งที่หอนะ” น้ำมนต์ยังยืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงเจือความกรุ่นโกรธ
“แต่...” เอกรินทร์แสดงสีหน้ากังวล หัวคิ้วขมวดจนเป็นปม สายตาเว้าวอนของรุ่นน้องในทีมทำให้พี่เอกใจอ่อนยอมพาเด็กสาวไปส่งที่พัก ทว่า พวกเขายังคงจอดรถรออยู่ที่หน้าหอเพื่อรอคอยให้เด็กสาวลงมาตามที่คุยกับเจ้านายไว้เมื่อตอนเช้ามืด เพราะท่านประธานบอกเขาว่าที่เหลือจะจัดการทุกอย่างไว้ให้ขอแค่ทำทุกอย่างตามที่วางแผนไว้ก็เพียงพอ
๐๐๐
[เดี๋ยวสัก 10 โมงไปรับน้ำมนต์กลับมาที่บ้านผมด้วยนะ] ราเชนทร์กรอกเสียงเข้มออกคำสั่งไปยังปลายสาย
“ให้พากลับไปที่บ้านท่านประธานหรือครับ” เอกรินทร์ถามด้วยความสงสัยหรือเจ้านายของเขาจะตื่นเช้าเกินไปจนสั่งผิดกันแน่
[ใช่ บ้านของผม หลังจากนี้น้ำมนต์จะมาอยู่กับผมที่บ้าน ส่วนคุณ…มีหน้าที่เอาตัวเธอมาส่งที่บ้านให้ได้ ไม่งั้นผมจะไล่คุณออก]
ราเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ท่านประธาน ผมว่าเรื่องนี้ออกจะเกินไปหน่อยไหมครับ” เอกรินทร์ตอบน้ำเสียงขุ่น เขาไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้านายนำตัวน้องเล็กในทีมไปอยู่ด้วยที่บ้าน แม้ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองลึกซึ้งแค่ไหน แต่การที่จะพาผู้หญิงสักคนเข้าไปอยู่ชายคาเดียวกันกันนั้นสำหรับเอกรินทร์ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ท่านประธานควรพาเธอเข้าบ้านด้วยตัวเองถึงจะเหมาะสม ทว่าเขากลับออกคำสั่งให้บีบบังคับเธอเช่นนั้น ก็ไม่ต่างจากลักพาตัวเอาเธอไปกักขังหน่วงเหนี่ยว ‘นี่มันไม่ถูกต้อง!’
หากเป็นคนอื่นอาจจะกริ่งเกรงเสียงวางอำนาจของราเชนทร์ แต่นั่นคงไม่ใช่กับเอกรินทร์ ผู้เป็นเพื่อนกับราเชนทร์มาสิบกว่าปี จู่ ๆ ออกคำสั่งให้พาน้องเล็กในทีมไปอยู่ด้วยกัน นี่เขาเสียเงินแค่สามล้านเมื่อคืนทำให้ราเชนทร์เสียสติเชียวหรือ?
[เกินไปยังไง สั่งยังไงก็ทำตามนั้นเถอะน่า] คนออกคำสั่งจิ๊ปากอย่างหัวเสีย เมื่อราเชนทร์รู้ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถบังคับให้เอกรินทร์ทำตามความต้องการของเขาได้โดยง่าย จากเดิมที่เขาเสียงแข็งเมื่อครู่ น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเชิงขอร้องแทน
“ถ้าจะให้ผมพาน้ำมนต์ไปอยู่กับคุณอย่างน้อยก็ควรบอกเหตุผลที่แท้จริงมาก่อน ไหนเล่าสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง” เอกรินทร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก แม้คนฟังไม่เห็นหน้าทว่ากลับขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ
[นี่ขนาดผมขู่ว่าจะไล่ออกคุณยังไม่กลัวเลยเหรอ]
“ไม่ครับ ไล่ออกก็หางานใหม่ได้ นี่ท่านประธานคิดอะไรอยู่” เอกรินทร์เค้นเสียงเข้มราวกับเป็นการเตือนสติ
[คุณถามในฐานะอะไร]
“ถ้าในฐานะเพื่อนคุณลองตอบหน่อยสิ ทำแบบนี้ทำไม แล้วน้องน้ำมนต์จะรู้สึกยังไง”
[ผมขาดเธอไม่ได้]
ราเชนทร์หมดสิ้นมาดที่พยายามสร้างไว้ หลังจากนั้นท่านประธานหนุ่มก็ยอมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เพื่อนที่รู้จักกันมานานฟังอย่างไม่ปิดบัง…
“แต่มันมีอีกหลายวิธีในการง้อให้น้ำมนต์ใจอ่อน แล้วทำไมถึงไปพูดจาไม่ให้เกียรติน้องแบบนั้น อายุก็จะเข้าเลขสี่แล้วอย่าให้อารมณ์มาบดบังสติสิ” เอกรินทร์เตือนสติอย่างหน่ายใจ
[ทำไมผมต้องง้อ คนที่ควรจะง้อต้องเป็นน้ำมนต์สิ ไม่ใช่ผม] ราเชนทร์ยังคงไม่ยอมรับความผิด เขาเถียงกลับเสียงแข็งอย่างไรเสียก็ยังยืนยันที่จะให้เอกรินทร์พาน้ำมนต์มาอยู่กับเขาที่บ้านให้จงได้
“ถ้าคุณคิดดีแล้วก็ตามใจ แต่ผมไม่รับปากว่าน้ำมนต์จะยอมไปนะครับ”
[อย่างน้อย ๆ การที่น้ำมนต์มาอยู่กับผมที่นี่ก็อยู่ในสายตา ไม่มีใครหน้าไหนมาวอแวเธอได้]
“อ้อ หึงสินะ ถ้าคุณหึงก็บอกน้องไปสิว่าหึง”
[เปล่า คุณเข้าใจผิดเอง]
“แล้วทำไมไม่อยู่ที่คอนโดล่ะ ปกติไม่ได้อยู่บ้านมาตั้งนานแล้วนิครับ”
[อย่างน้อยที่บ้านก็สะดวกกว่า น้ำมนต์จะได้มีคนดูแลเวลาที่ผมทำงานอยู่ วดีก็อยู่ที่บ้านด้วย ทั้งสองคนอายุไม่ห่างกันมาก น้ำมนต์จะได้ไม่เหงาเกินไป]
“โธ่ ผมก็คิดว่าจะแน่” เอกรินทร์หลุดขำออกมา คราวแรกเขาคิดว่าการที่ท่านประธานนำตัวรุ่นน้องในทีมไปอยู่บ้านจะเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวเหมือนละครเรื่องจำเลยรัก ที่เอกรินทร์เคยเห็นป้าชอบดูในวัยเด็ก แต่เมื่อท่านประธานหลุดปากพูดแบบนั้นก็ทำให้ความกังวลใจของเขาคลายลงไปบ้างเล็กน้อย
[นี่จะรู้มากเกินไปแล้วทำตามที่ผมสั่งนั่นล่ะ อย่าถามมากเรื่องมากความ] ท่านประธานกรอกเสียงดังแล้วรีบวางสายไปด้วยความหมดมาด
“พี่เอกคะ พาน้ำมนต์ไปส่งที่หอเถอะค่ะ” มนต์ลดาขอร้องเสียงสั่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
“ก็ได้ แต่พี่จะจอดรอตรงนี้สักสิบห้านาทีนะ เผื่อน้ำมนต์จะเปลี่ยนใจ”
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นอนค่ะ พี่เอกไม่ต้องเสียเวลามาจอดรอน้ำมนต์หรอก”
เด็กสาวประกาศกร้าวด้วยเสียงมั่นใจ
“เอาน่าถ้าขึ้นไปเตรียมของ…ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ลงมานะ” เอกรินทร์พูดเสียงเรียบเมื่อนึกถึงแผนการราวกับเด็ก ๆ ของเจ้านาย ที่ร่วมกันวางแผนกับรูมเมทของรุ่นน้องสาว ก็อดที่จะหนักใจไม่ได้ใครมันจะไปยอมทำตามเขากัน
มนต์ลดาถือสัมภาระทั้งหมดเดินขึ้นหอพักด้วยหัวใจร้าวรานก่อนจะเคาะประตูห้องเรียกเพื่อนสาวคนสนิทให้เปิดประตูเนื่องจากเธอลืมเอากุญแจห้องมาด้วย ไม่นานนักลัดดาเปิดประตูออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่จำนวนสองใบ ลากออกมาให้มนต์ลดาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ลัดดาดีใจจริง ๆ ที่น้ำมนต์กับท่านประธานลงเอยกัน ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของน้ำมนต์เราเก็บให้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ลัดดาขอให้น้ำมนต์มีความสุขกับคุณประธานสุดหล่อนะจ๊ะ แล้วเจอกันที่บริษัทนะ ออ มีอะไรไลน์หาลัดดาได้ตลอดเลยนะ ฟินที่สุดเลยไม่ต้องห่วงนะ…ส่วนเรื่องนี้ลัดดาปิดปากเงียบกริบไม่บอกใครแน่นอน”
ลัดดาร่ายยาวเสียงใส สีหน้ากรุ้มกริ่ม หัวเราะคิกคัก ก่อนจะรีบปิดประตูลงกลอนต่อหน้าต่อตามนต์ลดา หญิงสาวยืนเคว้งอยู่หน้าห้องพยายามเคาะประตูเรียกเพื่อนสาวเกือบห้านาทีแต่ก็ไม่มีวี่แววที่รูมเมทจะเปิดประตูออกมาแม้แต่น้อย
มนต์ลดาขนของทั้งหมดลงลิฟต์โดยสารอย่างมึนงง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกปรากฏภาพของพี่แก้ว พี่ทีม และพี่เอกจ้องหน้าเธอด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกพี่ ๆ ช่วยกันขนกระเป๋าให้น้องเล็กโดยไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ กระทั่งมนต์ลดากลับเข้ามาในรถอีกครั้ง เด็กสาวขมวดคิ้วและสับสนกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พร้อมกับความรู้สึกคับแค้นใจที่ราเชนทร์มัดมือชกให้เธอต้องจำใจไปอยู่กับเขาหมายมาดจะกักขังให้เธอไร้อิสรภาพงั้นหรือ?
‘ในเมื่อเขารังเกียจฉันถึงเพียงนี้ จะให้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาเพื่ออะไรกัน!?’
นกน้อยในกรงสีชมพู
รถพี่เอกรินทร์จอดเทียบหน้าบ้านตระกูล เกริกก้องรัชตะ ที่นี่มีขนาดใหญ่ราวกับคฤหาสน์ ประตูรั้วอัลลอยด์สูงตกแต่งด้วยลวยลายวิจิตรบรรจง เปิดต้อนรับแขกคนพิเศษด้วยระบบอัตโนมัติ บรรยากาศภายในรั้วร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นซุ้มดอกกุหลาบสีขาวที่ปลุกเรียงรายอยู่บริเวณสวนส่วนหน้า พร้อมกับน้ำพุที่เป็นเหมือนจุดกลับรถ ความหรูหราของบ้านหลังนี้ไม่ต่างกับละครหลังข่าวที่เด็กสาวชอบดูเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ บ้านหลังนี้สูงห้าชั้น ตั้งอยู่แถวชานเมืองค่อนข้างห่างจากบริษัทพอสมควร ด้วยเหตุผลนี้ประธานหนุ่มจึงเลือกที่พักคอนโดฯ มากกว่าจะกลับบ้าน ทว่าราเชนทร์กลับให้มนต์ลดาย้ายเข้ามาอยู่กับเขาโดยจัดเตรียมห้องให้กับเธอเป็นการพิเศษโดยที่เด็กสาวต้องเซอร์ไพรส์แน่นอน
“น้ำมนต์ถ้าไอ้ประธานทำอะไรที่รุนแรงน้องโทรตรงเข้าหาพี่ได้ตลอดเลยนะ” เอกรินทร์พูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ถ้าน้ำมนต์หนี...” เธอลากเสียงยาวพึมพำ
“เชื่อพี่เถอะไอ้ประธานมันไม่กล้าทำอะไรน้องหรอก นิสัยมันอาจจะหัวร้อนไปสักหน่อย อย่างว่าโตแต่ตัว...เป็นพวกเด็กหวงของน่ะ” เอกรินทร์ปลอบน้องเล็กในทีม เมื่อนึกถึงเจ้านายพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทแล้วเขาก็อดจะอมยิ้มให้กับขี้หวงของราเชนทร์
“ดูพี่เอกจะรู้จักเขาดีนะคะ อย่างว่าเป็นพวกเดียวกันก็แบบนี้…” มนต์ลดาเอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อ
“พี่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าข้าง เอาเป็นว่าต่างคนต่างใช้เวลาค่อย ๆ เรียนรู้กันไปเลิกอคติแล้วทุกอย่างมันจะดีเองเชื่อพี่นะ” เอกรินทร์เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเจือความเป็นห่วงรุ่นน้องในทีม
มนต์ลดาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพรู่ออกช้า ๆ ไม่ว่าชีวิตเธอต้องเจอกับเรื่องอะไรก็จะอดทนพร้อมเผชิญปัญหา อย่างน้อยที่สุดเธอยังหวังให้เขาหายบ้าแล้วกลับมาเป็นคุณลุงคนดีคนเดิมของเธอ เด็กสาวก้าวขาลงไปเผชิญหน้ากับโลกใบใหม่ที่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ‘เอาวะ แค่เปลี่ยนที่พัก ไม่ถึงกับตายหรอกน่า’
ก้าวแรกที่มนต์ลดาเหยียบบ้านตระกูลเกริกก้องรัชตะ เบื้องหน้าปรากฏหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผอมเพียวได้รูป ยืนยิ้มหวานเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นมิตร “สวัสดีจ้ะ นี่น้องน้ำมนต์ใช่ไหม” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาเปล่งประกายจนคนมองสัมผัสได้
เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มอย่างเต็มความสามารถ คะเนจากสายตาและการที่หล่อนเรียกแทนเธอว่า 'น้องน้ำมนต์' หญิงสาวคนนี้ต้องอายุมากกว่าแน่ ๆ เธอยกมือขึ้นไหว้เอ่ยสวัสดีด้วยคำง่าย ๆ แววตาเปี่ยมด้วยความสงสัย
‘หรือเธอคนนี้จะเป็นเมียหลวงของคุณราเชนทร์กันนะ ต้องใช่แน่ ๆ’ เมื่อเด็กสาวคิดเช่นนั้น เธอก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจสั่นไหวแต่ก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มจิกมือทั้งสองแน่นข่มทุกความรู้สึกเอาไว้
เอกรินทร์ลงจากรถพร้อมกับสัมภาระของรุ่นน้องพร้อมเอ่ยทักทายหญิงสาวเบื้องหน้าทำให้ความสงสัยของน้ำมนต์คลี่คลายลงในชั่วพริบตา
“สวัสดีครับ น้องวดีไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“พี่เอกสวัสดีค่ะ ขับรถทางไกลเหนื่อยแย่เลยพี่กับเพื่อน ๆ เข้าในบ้านมาพักก่อนสิคะ วดีให้แม่บ้านเตรียมอาหารไว้เยอะเลย” หญิงสาวเอ่ยเสียงใสระบายยิ้มอ่อนโยนเต็มดวงหน้าสวย
“ไม่เป็นไรครับ พี่แค่แวะมาส่งน้องน้ำมนต์”
“ลืมแนะนำไปเลย คนนี้คือคุณรินทร์วดี เกริกก้องรัชตะ น้องสาวคนเดียวของท่านประธานครับ” เอกรินทร์หันมาแนะนำสาวสวยที่อยู่เบื้องหน้าเราทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“สวัสดีอีกครั้งนะคะ คุณรินทร์วดี” เมื่อรู้ว่าหล่อนเป็นเพียงน้องสาวของราเชนทร์ จู่ ๆ หัวใจที่ห่อเหี่ยวกับเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้เขาจะยังเข้าใจเธอผิดทั้งพูดร้ายกาจกับเธอแค่ไหน แต่มนต์ลดาก็ไม่อยากเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะนางบำเรออยู่ดี
“เรียกว่า พี่วดี เฉย ๆ ก็ได้นะ ยังไงเราก็คนกันเอง” รินทร์วดีระบายยิ้มทั่วใบหน้าอย่างเป็นมิตร ดวงตาฉายแววยินดีที่บ้านหลังนี้จะมีใครสักคนที่คอยเป็นเพื่อนคลายเหงา หนำซ้ำยังเป็นคนพิเศษของพี่ชายหล่อนอีก แบบนี้แล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน
“ค่ะ คุณวดี”
รินทร์วดีเหลือบเห็นกระเป๋าเดินทางราว ๆ สี่ใบ ที่วางอยู่บนพื้นพร้อมกับเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “ทั้งหมดนี่ของน้ำมนต์ใช่ไหมจ๊ะ เดี๋ยวให้แม่บ้านถือเข้าไปเก็บในห้องนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้ำมนต์ถือไปเองก็ได้” มนต์ลดารีบโบกมือห้าม ยิ่งหล่อนเป็นน้องสาวของคุณราเชนทร์เธอต้องยิ่งระวังตัว กลัวเหลือเกินจะนิสัยเสียเหมือนพี่ชาย แรก ๆ ก็ทำให้หลงรักแสร้งให้ตายใจ สุดท้ายคิดจะกักขังกันซะแล้ว นี่คงเอาคิดจะให้เธอมาอยู่ที่นี่เป็นคนใช้ไม่ก็นางบำเรออย่างที่เขาปรามาสไว้เป็นแน่
“ไม่ได้หรอกจ้ะ คนสำคัญของพี่เชนจะให้มายกของได้ยังไง เราเข้าไปพักในบ้านกันก่อนดีกว่า” รินทร์วดีเอื้อมมืออบอุ่นมากอบกุมมือน้ำมนต์ก่อนจะจูงมือเธอเข้าภายในตัวบ้าน เมื่อเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวหล่อนนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกลาพี่เอกรินทร์จึงระบายยิ้มเจือน มือข้างหนึ่งลูบท้ายทอยแก้เขิน พร้อมกับหมุนตัวหันไปหาเพื่อนสนิทของพี่ชายอีกครั้งเพื่อบอกลา
หลังจากนั้นรินทร์วดีจึงพาน้ำมนต์กลับเข้ามายังด้านในบ้าน หล่อนเป็นผู้หญิงหน้าสวยได้รูป ผมยาวประบ่า พูดจาฉะฉานดูมีความมั่นใจสูงดวงตาสีเข้มต่างจากคุณราเชนทร์ที่รายนั้นนัยน์ตาสีอ่อนกว่า เมื่อเดินเข้ามาถึงยังห้องโถงรับแขกมนต์ลดาถึงกับตกตะลึงในความอลังการของบ้านหลังนี้ ราวกับหลุดเข้ามาอยู่ในเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น
ด้านนอกตัวบ้านว่างดงามแล้ว การตกแต่งด้านในยิ่งทำให้หัวใจของเด็กสาวพองโตเข้าไปอีกหลายขุม คุณรินทร์วดีเล่าให้เธอฟังว่าบ้านหลังนี้อยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณตาทวดการตกแต่งภายในบ้านจึงเป็นแนววินเทจเสียส่วนใหญ่ แต่พอมารุ่นพ่อรุ่นแม่จึงได้ทำการรีโนเวทใหม่หมดทั้งหลัง แต่ให้คงกลิ่นอายความเป็นวินเทจ เติมความเรียบง่ายและสไตล์โมเดิร์นเข้าไว้อย่างลงตัว
“พี่เชนเล่าให้ฟังว่าน้องน้ำมนต์เป็นนางแบบที่กำลังหาสังกัดอยู่ใช่ไหม? บริษัทที่พี่หุ้นกับเพื่อนกำลังหานางแบบอยู่พอดี งั้นมาเซ็นสัญญาอยู่กับพี่เลยไหม”
“ค่ะ ดีเลย แต่...”
ด้วยสัญชาตญาณที่พร้อมจะทำงานของมนต์ลดาทำให้เธอรีบตอบคุณรินทร์วดีไปด้วยความรวดเร็ว ทว่าเธอนึกได้ว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นอิสระเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ความกังวลใจจึงแสดงออกผ่านสีหน้าจนคิ้วขมวดเป็นปม
‘แต่ถ้าฉันไม่มีงานเสริมทำ แล้วชาติไหนฉันจะหาเงินไปใช้หนี้เขาได้ล่ะ เงินเป็นล้าน ไหนจะหนี้ที่บ้านที่พ่อก่อไว้อีก ชีวิตมีแต่หนี้ หนี้ หนี้ อยากหนีไปให้ไกล’
“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
เสียงรินทร์วดีทำให้เธอได้สติหลุดออกจากห้วงความคิด พลางยิ้มเจือนสนิท แววตาเป็นทุกข์จนหล่อนสัมผัสได้ “ไม่มีค่ะ คุณวดีคะ น้ำมนต์ขอเสียมารยาทถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิจ๊ะ”
“คุณราเชนทร์ให้น้ำมนต์มาอยู่ที่นี่ในฐานะ...คนใช้ใช่ไหมคะ”
รินทร์วดีได้ฟังคำถามของมนต์ลดา หล่อนตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะเด็กน้ำมนต์จนน้ำตารื้น ปกติหล่อนไม่ค่อยปลื้มผู้หญิงของพี่ชายมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละคนที่เข้ามามีแต่ร้าย ๆ ต่อหน้าพี่เชนแสดงตัวว่าอ่อนโยน บอบบาง แท้จริงแล้ว แต่ละคนเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น ท้ายที่สุดพอพี่เชนบ้างานไม่มีเวลาให้ สาวพวกนั้นก็ค่อย ๆ หายกันไปล้วนแล้วเป็นแบบนี้ทุกราย
“เดี๋ยวได้เห็นห้องก็จะรู้ พี่พาไปเดินทัวร์รอบๆ บ้านดีกว่า คนนี้ป้าเดือนเป็นแม่นมของพี่เชน และยังดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างของบ้านหลังนี้ด้วยจ้า” รินทร์วดีเอ่ยกับเด็กสาวพร้อมกับแนะนำให้รู้จักสมาชิกและส่วนต่าง ๆ ภายในบ้าน กระทั่งเดินขึ้นมาพักที่ห้องโถงชั้นสอง แม่บ้านยกน้ำชาและของว่างมาหญิงสาวทั้งสองต่างพูดคุยเพื่อทำความรู้จักกัน
รินทร์วดีได้คุยกับน้ำมนต์หล่อนก็รู้ได้ทันทีเพราะความน่ารักอ่อนหวาน แต่มีความเข้มแข็ง ทัศนคติดีและที่สำคัญดูแล้วจะขยันชอบทำงานพอ ๆ กับพี่เชน ยิ่งรินทร์วดีคุยกับน้ำมนต์ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตาซึ่งเป็นความรู้สึกดีจนยากอธิบาย
“คุณวดีทั้งสวยทั้งใจดีนะคะ” มนต์ลดาพูดเสียงสั่นพร่า ความตื้นตันตีตื้นขึ้นมาจนหยาดน้ำตารื้น
“น้องน้ำมนต์ร้องไห้ทำไม ไม่เอาไม่ร้อง ไหนบอกพี่สิเป็นอะไร?”
“จริง ๆ น้ำมนต์ไม่ใช่คนขี้แยนะคะ แต่ช่วงนี้อาจเจอมรสุมในชีวิตหนักมาก พอยิ่งเจอคุณวดีเมตตาและใจดีขนาดนี้ อดตื้นตันใจไม่ได้ค่ะ”
“โธ่ เด็กน้อย พี่ก็คิดว่าเป็นอะไร อยู่ที่นี่ไม่ต้องคิดมากนะ” รินทร์วดีโผเข้าโอบกอดน้ำมนต์ มือบางแต่แสนอบอุ่นลูบหลังเบา ๆ เพื่อปลอบโยน
“เดี๋ยวพี่พาไปพักที่ห้องก่อนดีกว่า”
เจ้าของบ้านพาน้ำมนต์เดินขึ้นไปชั้นสาม แทนที่จะเป็นเรือนด้านหลังบ้านซึ่งเป็นที่พักแม่บ้าน ชั้นนี้แตกต่างจากสองชั้นแรกค่อนข้างมากบรรยากาศค่อนข้างเงียบการตกแต่งสไตล์มินิมอลโทนสีขาว ตกแต่งด้วยไม้ประดับสีเขียวดูสบายตา ซึ่งแตกต่างจากชั้นอื่น ๆ ที่มักจะตกแต่งด้วยแนววินเทจ มีแจกันเก่าแก่พร้อมกับดอกไม้สวยงาม “ชั้นนี้ดูสบายตาดีนะคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ เราสองพี่น้องตั้งใจปรับชั้นนี้ให้เป็นพื้นที่สบายตา ห้องนอนของน้ำมนต์อยู่ทางนี้จ้ะ…ตามมาเลย” รินทร์วดีเดินนำไปยังส่วนของปีกซ้ายของบ้าน ประตูห้องสีขาวสูงดูเรียบง่าย ทว่าน้ำมนต์กับรู้สึกเสียวสันหลังเมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าของบ้าน “พี่เชนโทรมาบอกให้พี่ช่วยเตรียมห้องตั้งแต่ตอนตีสอง ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องเรียบร้อยที่สุดดูดีที่สุด อย่าหาว่าเมาธ์พี่ชายเลย นี่เป็นน้องสาวมาเกือบสามสิบปียังไม่เคยเห็นพี่เชนกระตือรือร้นเท่าวันนี้ แสดงว่าพี่เชนต้องรักน้องน้ำมนต์มาก” รินทร์วดีพูดพร้อมสบตาเด็กสาวอย่างค้นหาคำตอบ
“ไม่ก็…เกลียดมากต่างหากค่ะ” มนต์ลดาบ่นพึมพำ
“เกลียดเหรอ พี่ว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ...นี่จ้า ถึงห้องแล้วพอดีพี่มีเวลาเตรียมไม่มาก เลยยกห้องที่ตั้งใจเตรียมให้น้องสาวคนเล็กเป็นห้องของน้ำมนต์แทน”
“อ้าว แล้วน้องของคุณวดีเธอจะ...” วูบหนึ่งมนต์ลดาแอบเห็นความหวั่นไหวในแววตารินทร์วดี ก่อนที่หล่อนจะระบายยิ้มกว้างเต็มดวงหน้า บีบมือเธอแน่นราวกับขอกำลังใจ “น้องสาวพี่ไปเป็นนางฟ้าตั้งแต่คุณแม่ท้องเข้าเดือนที่เจ็ดแล้วล่ะ”
“เสียใจด้วยนะคะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ไม่เป็นไรหรอก น้องน้ำมนต์ก็มาเป็นน้องสาวพี่แทนแล้วกัน ลองเข้าไปดูในห้องสิว่าชอบไหม เมื่อเช้าพี่สั่งพวกของตกแต่ง ของเครื่องใช้ โซฟา จากร้านของเพื่อนให้รีบมาส่งเป็นกรณีพิเศษเลยนะ” รินทร์วดีเชิญชวนด้วยสีหน้าภูมิใจ
“ขอโทษที่ทำให้คุณวดีเหนื่อยนะคะ”
ยิ่งคุณรินทร์วดีบอกว่าพี่ชายโทรศัพท์ให้หล่อนช่วยเตรียมห้องตั้งแต่เมื่อคืน ก็ยิ่งทำให้น้ำมนต์รู้สึกเกรงใจ
‘การที่จะเอาตัวฉันมาขังไว้ทำไมต้องลำบากคนอื่นเขาไปทั่วด้วยก็ไม่รู้ คนรอบตัวฉันต้องวุ่นวายเพราะคนแก่เอาแต่ใจเพียงคนเดียว’ มนต์ลดาขมวดคิ้วสวยจนพันกันยุ่งเมื่อนึกถึงราเชนทร์ ดวงหน้าหล่อเหล่าที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าเขาเป็นเจ้าชายแสนดี ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเธอผ่านช่วงยากลำบากหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้น่ะเหรอ แทบจะขี่ควายไล่ขวิดเธออย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ลมหายใจก็ไม่อยากใช้ร่วมด้วย แล้วเขาคิดบ้าอะไรอยู่…ถึงเอาตัวเธอมาอยู่ที่บ้านนี้
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่งห้องรับน้องน้ำมนต์ก็สนุกดีเหมือนกัน พี่อยู่บ้านนี้คนเดียวมาตั้งนานแล้ว จริง ๆ ต้องขอบคุณน้องนะ ที่ทำให้พี่เชนย้ายกลับมาอยู่ที่นี่” รินทร์วดีพูดพลางฉีกยิ้มอย่างตื่นเต้น
“คุณราเชนทร์ไม่พักที่คอนโดฯแล้วหรือคะ”
“เห็นว่าหลังจากนี้จะย้ายกลับมาพักที่นี่แล้ว พี่อยู่ห้องข้าง ๆ น้ำมนต์เรียกพี่ได้ตลอดเลยนะ”
มนต์ลดาเปิดประตูห้องเข้าไปวูบแรกเด็กสาวตกตะลึงจนเกือบลืมหายใจ ภายในห้องตกแต่งด้วยของเครื่องใช้สีชมพู ผนังสีชมพูมุก โซฟา โต๊ะ ตู้ เตียง แม้แต่โต๊ะเครื่องแป้งก็ยังเป็นสีชมพู เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มึนศีรษะ ตาลาย ราเชนทร์รู้ดีว่าเธอเกลียดสีชมพูยิ่งกว่าสิ่งใด การที่เขาตั้งใจตกแต่งห้องให้หวานแหววละลานตาเช่นนี้ แน่นอนว่าคุณราเชนทร์ตั้งใจจะยั่วโมโหเธอแน่นอน
ผู้หญิงหลายคนอาจชอบการตกแต่งห้องสีหวานแหวว แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบสีชมพูอย่างมนต์ลดาแล้ว นี่ถือเป็นการกลั่นแกล้งแบบที่ไม่น่าให้อภัย แววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด มือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ หายใจไม่ทั่วท้องโชคยังดีที่โคมไฟแชนเดอร์เรียนั่นไม่ใช่สีโรสโกลด์ วูบหนึ่งมนต์ลดาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เธอต้องทนอยู่กับห้องเจ้าหญิงนี่จริงหรือ!?
“เป็นไงจ๊ะ พี่เชนย้ำว่าให้แต่งห้องเป็นสีชมพูทั้งหมดเลยนะ นี่ช่างที่ติดตั้งวอลล์เปเปอร์เพิ่งกลับไปก่อนน้องน้ำมนต์มาถึงราวสองชั่วโมงเองนะ ชอบไหม?” รินทร์วดีพูดด้วยเสียงภาคภูมิใจ
“เออ...” เด็กสาวยังคงตาค้างกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า พลางลอบถอดถอนหายใจยาว
“นั่นไงชอบใช่ไหม ถึงกับอึ้งน้ำตาคลอเลยเหรอจ๊ะ” รินทร์วดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม “ค่ะอึ้งสุดๆ เลย...”
“ถึงพี่จะชอบสีชมพูแต่ก็ไม่เคยกล้าแต่งห้องแบบนี้ นี่พี่เชนเขากำชับมาเลยนะ ว่าน้ำมนต์ชอบสีโทนนี้มาก ช่วยหาทุกอย่างเป็นสีชมพู ที่สำคัญงบไม่อั้นด้วยล่ะ” รินทร์วดีเอ่ยด้วยเสียงร่าเริงราวกับได้รับมอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่
อาหารมื้อแรกที่มนต์ลดาก้าวเข้าสู่บ้านตระกูลเกริกก้องรัชตะ เย็นวันนี้เธอทานอาหารเย็นกับรินทร์วดีเพียงสองคน เนื่องจากราเชนทร์ติดงานด่วนจำเป็นต้องไปเซ็นสัญญาที่โรงแรมฝั่งธน เขาจึงไม่อยากให้หญิงสาวทั้งสองคนหิ้วท้องรอ ด้วยความที่เด็กสาวเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวันจากการเดินทางเมื่อย้ายเข้าบ้านท่านประธาน มนต์ลดายังต้องเปิดคอมพ์แก้งาน ทำให้เธอเพลียและหลับไปในที่สุด
เวลาล่วงเลยจนเกือบตีหนึ่งราเชนทร์ขับรถกลับเข้ามาถึงบ้านด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงมนต์ลดาเข้าบ้านวันแรกเขาควรเป็นคนอยู่กับเธอแทนที่จะทิ้งให้อยู่กับรินทร์วดีเช่นนี้ แต่การเช็นสัญญาวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
ราเชนทร์เดินขึ้นไปชั้นสาม หยุดยืนอยู่หน้าห้องมนต์ลดาก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา ภาพที่ราเชนทร์เห็นปรากฏภาพของหนูมนต์ลดานอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเจ้าหญิงสีขาวมุกพร้อมชุดนอนลูกไม้สีขาวเย้ายวนใจ ทว่าบนที่นอนกลับเต็มไปด้วยเอกสารรายงานที่เขาสั่งให้เธอแก้พร้อมทั้งแบบร่างแหวนโปรเจ็กต์ล่าสุด ชายหนุ่มมองภาพของเด็กสาวเบื้องหน้าเผลอระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปยังที่นอนของหนูมนต์ลดา ก้มเก็บเอกสารทั้งหมดจัดใส่แฟ้มงานที่อยู่ตรงโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะดึงผ้าห่มปกคลุมเรือนกายหวังให้เธออบอุ่น มือหนาลูบเรือนผมอย่างเบามือ หัวใจชายหนุ่มไหวสะท้านอย่างที่เคยเป็นมาตลอดทุกครั้งเมื่อเจอกับเธอ เขาโน้มหน้าลงสูดกลิ่นกายของเธออย่างลืมตัว ในใจราเชนทร์ปั่นป่วนรุนแรงประหนึ่งคลื่นซัดสาด ชายหนุ่มสะบัดหน้าเรียกสติแล้วหมุนตัวหวังจะออกไปก่อนที่เด็กสาวจะตื่นขึ้นมาเห็นเสียก่อน ทว่าข้อมือเขากลับถูกหนูมนต์ลดารั้งไว้อย่างเบามือ
“คุณลุงเหรอคะ?” เด็กสาวเอ่ยเสียงงัวเงียขณะที่นัยน์ตายังปิดสนิท
“หืม”
“อย่าเพิ่งไปสิคะ…คุณลุงกำลังเข้าใจหนูผิด” มนต์ลดาพึมพำพลางดึงให้ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงของเธอ ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เปิดตาขึ้นอย่างช้า ๆ วูบหนึ่งลึกในใจของมนต์ลดาจะดีใจที่ราเชนทร์ไม่ปล่อยเธอทิ้งไว้ที่บ้านหลังนี้คนเดียว แต่ครั้นเมื่อเธอได้สติพลันนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่โทสะที่ยังหลงเหลืออยู่ค่อย ๆ แล่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ กระทั่งหัวคิดเริ่มขมวดเป็นปม
“คุณเข้ามาได้ยังไง?” เธอแผดเสียงใส่เขาพร้อม กระเถิบตัวออกจากอ้อมกอด
ราเชนทร์ขมวดหัวคิ้วยุ่ง แสยะยิ้มร้ายอย่างยียวน “นี่เป็นบ้านของผม แล้วทำไมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แต่นี่มันเป็นห้องของฉัน” มนต์ลดาพูดกระแทกเสียงพร้อมกับเบือนหน้าหนี
“แหมๆ พูดได้เต็มปากว่าห้องของฉัน”
“เออคือ...อย่างน้อย คุณก็บให้น้ำมนต์พักห้องนี้…นี่มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวด้วย”
“แล้วยังไง” ราเชนทร์ยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง แววตาเย็นชา พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้ดวงหน้าสวยจนเธอรีบยกมือขึ้นมาผลักหน้าอกแกร่งอย่างระแวดระวัง
“ทำไมจู่ ๆ คุณก็กลายเป็นคนเข้าใจอะไรยากกันล่ะ” เธอทำหน้ามู่ทู้เอ่ยด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
ราเชนทร์ขยับขึ้นมานอนบนเตียงมนต์ลดาหมายมาดตั้งใจกวนประสาทให้เธอหงุดหงิดใจ
“วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว”
เขาพูดพร้อมกับนอนกอดอก หลับตาพริ้ม อย่างไม่แยแส ทั้งที่ที่ราเชนทร์นอนอยู่คือเตียงของหนูมนต์ลดา แต่ประธานหนุ่มยังคงตีหน้ามึนนอนสบายใจอย่างไม่ทุกข์ร้อน…
“นี่คุณราเชนทร์ ไปนอนห้องของคุณสิ”
มนต์ลดาไม่พูดเปล่ามือบางทั้งสองข้างพยายามฉุดให้เขาลุกขึ้นมาจากเตียงนอนของเธอ มนต์ลดาไม่ยอมให้เขาแสดงท่าทีราวกับเขาไม่เคยมีปัญหากับหรอก ไหนเขาปรามาสว่าเธอคือผู้หญิงไม่ดีแล้วเหตุใดเขาถึงยังอยากอยู่ใกล้ชิดเธออีก ยิ่งเด็กสาวคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ยังไงที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณ ถ้าอยากนอนที่นี่นัก เชิญคุณนอนไปตามสบาย น้ำมนต์จะไปนอนที่อื่น” น้ำมนต์พูดจบ เธอจึงหันหยิบหมอนใบโตหวังจะใช้โซฟาเป็นที่พักพิงในคืนนี้ ทว่าราเชนทร์กลับพลิกตัวแล้วกระชากเธอจนเสียหลักล้มลงมายังที่นอนดังเดิม
“จะทำอะไรน่ะ” ตอนนี้กลายเป็นว่ามนต์ลดากำลังอยู่ในอ้อมของราเชนทร์ วงแขนอบอุ่นที่เด็กสาวคิดถึงมาตลอด ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นความอึดอัด
“นอนที่นี่นั่นล่ะ” ราเชนทร์ยังคงหลับตาพริ้มดึงมนต์ลดาเข้ามาสวมกอด มือข้างหนึ่งกดศีรษะให้แนบอกแกร่งของตน แน่นอนว่าเด็กดื้อยังคงรั้นอยู่วันยังค่ำ
“ไม่ค่ะ” เด็กสาวขืนตัวสุดแรงพลางดิ้นรนออกจากวงแขนแกร่งนั่น
“ทำไม!” นัยน์ตาสีนิลถลึงจ้องมองหนูมนต์ลดาด้วยความเกรี้ยวกราด
เด็กสาวเห็นสายตาของเขาราวกับมีไอรังสีกดดัน ทำให้รู้สึกอึกอัดใจจึงพยายามบ่ายเบี่ยง อย่างไรเสียช่วงนี้เราทั้งสองก็เถียงกันมามากแล้ว เธอไม่อยากจะมีปัญหากับเขาอีกแล้ว หนำซ้ำวันนี้เธอก็เหนื่อยมาทั้งวันการที่ไม่ทะเลาะกับเขาคงจะดีที่สุดสำหรับเวลานี้
“แล้วทำไมน้ำมนต์ต้องนอนเตียงเดียวกับคุณ ในเมื่อคุณอยากจะนอนตรงนี้ก็นอนไปสิ ฉันจะไปนอนโซฟาตรงโน้นเอง”
“หนูต้องนอนตรงนี้”
ราเชนทร์ออกคำสั่งเสียงเข้ม มือข้างหนึ่งบีบต้นแขนเธออย่างลืมตัว
“ไม่ค่ะ” มนต์ลดาขมวดคิ้วแน่น พยายามแกะมือที่รั้งอยู่ตรงต้นแขนของเธออย่างสุดกำลัง ‘ฉันก็พอรู้อยู่ว่าเป็นวัยทองจะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงง่าย แต่ไม่เห็นต้องหงุดหงิดกับฉันแบบนี้ ป่าเถื่อนชะมัด!’
“ทำไมดื้อ...ผมสั่งอะไรก็ทำตาม มันยากนักหรือไงฮะ” เขาถอดถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรหนูมนต์ลดาก็ไม่ยอมเขาเลย
“แล้วทำไมต้องทำตามด้วย ไม่ค่ะ ยังไงก็ไม่…น้ำมนต์บอกคุณราเชนทร์ไปแล้วไงคะ ว่าเรื่องระหว่างเรา มัน-จบ-ไป-แล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยน้ำมนต์ไปอีก”
ราเชนทร์ได้ยินประโยคตัดเยื่อใยที่เด็กสาวพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ยิ่งทำให้ความอดทนของราเชนทร์ถึงขีดสุด จริงอยู่ที่เขาอาจจะโกรธหนูมนต์ลดาที่ปล่อยให้คนอื่นถึงเนื้อถึงตัว แต่ต้องเป็นเธอไม่ใช่หรือที่ง้อเขา เหตุใดเรื่องมันกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ราเชนทร์พลิกตัวขึ้นคร่อมเหนือร่างมนต์ลดามือทั้งสองรวบข้อมือบางตรึงไว้กับที่นอน พร้อมสบตาเธอให้ชัดพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าจริงจังในทุก ๆ คำที่พูดออกมา “ทำไมอยากจะเลิกกับผมมากนักหรือไง”
ชายยหนุ่มโน้มหน้าเข้าใกล้มนต์ลดาจนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอบอุ่นเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ของเขา “นี่คุณดื่มมาเหรอคะ?” เธอถามน้ำเสียงอ่อน
“ผมถามว่า…อยากเลิกกับผมมากนักหรือไง”
ราเชนทร์ตะเบ็งเสียงดังขึ้น ทำให้มนต์ลดาหวาดกลัว นัยน์ตาสั่นระริก เด็กสาวพยายามสะกดกลั้นก้อนความเสียใจ แต่แล้วหยาดน้ำตาใสก็ไหลอาบสองแก้มเนียน ครั้งนี้เธอไม่คิดที่จะหนีหรือต่อต้านเขาอีก สิ่งที่ยังคงค้างในใจคือความสับสน
เมื่อราเชนทร์เห็นน้ำตาเม็ดโตของมนต์ลดาไหลอาบสองแก้ม ทำให้สติของเขาเริ่มกลับมาอีกครั้ง อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวร้ายกาจกับเธออย่างที่ผ่านมา เพียงแต่ท่าทางห่างเหินและคำพูดที่อยากเลิกของน้ำมนต์ทำให้ราเชนทร์แสดงออกไปอย่างนั้นเพียงเพราะไม่อยากเสียเธอไป
“หนูนอนที่นี่ล่ะ เดี๋ยวผมไปเอง” ราเชนทร์พูดพลางปล่อยข้อมือเธอให้เป็นอิสระ หัวแม่มือเกลี่ยหยาดน้ำตาด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับห่มผ้านวมให้เธอกลับคืนอย่างเบามือ ก่อนจะลุกเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรทิ้งให้มนต์ลดาแปลกประหลาดใจกับท่าทีของเขา
“คุณราเชนทร์…” มนต์ลดาเอ่ยเรียกประธานหนุ่มด้วยเสียงสั่นเจือความสับสน ทำให้เขาหยุดชะงัก ทว่ายังไม่หันกลับมาเพียงแต่ขานรับเสียงทุ้มต่ำ “หืม”
“คุณเคยบอกจะดูแลปกป้องและรักหนูเพิ่มขึ้นทุกวัน ที่เคยบอกตอนนั้น ทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่คำหลอกลวงคะ” เธอเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นกังวล
“แล้ว...หนูคิดว่ายังไงล่ะ” ราเชนทร์พยายามสะกดกั้นอารมณ์มากมายที่ถาโถมเข้ามา
“ทำไมถึงใจร้าย หนูทำอะไรให้คุณไม่พอใจก็บอกหนูสิ”
“ดึกมากแล้วรีบนอนซะนะ” ราเชนทร์ยังคงพูดน้ำเสียงเย็นชา ทว่าในหัวใจเขากลับรู้สึกปวดร้าวเหลือคณานับ
“ถ้าคุณไม่รักหนู...ก็ช่วยปล่อยหนูไปได้ไหม” มนต์ลดาวิงวอนขอ สะอื้นไห้ ปลายนิ้วจิกกันแน่นจนขึ้นริ้วแดง
“อย่าคิดว่าจะหนีจากผมไปไหนได้” ราเชนทร์หันกลับมาพร้อมเอ่ยเสียงแข็งเป็นเชิงประกาศกร้าวเฉกเช่นคำที่เขาบอก
“หนูเป็นของผม และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”
ราเชนทร์ยังคงหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูหากเขาเห็นหน้าของเธอตอนนี้กับความดื้อรั้นที่คิดแต่อยากจะหนีเขาไปแสนไกล ราเชนทร์กลัวใจตัวเองเหลือเกินจะทำให้เธอใจบอบช้ำไปยิ่งกว่านี้ “รีบนอนซะพรุ่งนี้มื้อเช้าตอนหกโมงครึ่งนะ อย่าช้าล่ะ เราต้องรีบออกเช้าหน่อยเดี๋ยวรถจะติด”
เมื่อมนต์ลดาเห็นว่าเขาไม่สนใจในสิ่งที่เธอกำลังสื่อ ยิ่งทำให้เธอเริ่มฟูมฟายใส่เขาตะโกนถามราเชนทร์ทั้งน้ำตา
“น้ำมนต์ไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจนักหนา ถึงได้กลายเป็นคนเย็นชาขนาดนี้”
ราเชนทร์หันไปสบตาครั้งหนึ่งด้วยหัวใจไหวสะท้าน เขาไม่เพียงหาคำตอบให้เธอไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกัน หากเขารักหนูมนต์ลดามากเพียงนี้ ทำไมต้องทำตัวร้ายกาจกับเธอด้วย ราเชนทร์สะบัดหน้าแรงไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องของเด็กสาวไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?