“ทำไมรีบกลับจังคะ เรามีไปงานของสมาคมตั้ง 2 ทุ่มไม่ใช่เหรอ” มนต์ลดายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาพลางขมวดคิ้วยุ่ง ขณะนี้เป็นเวลาสี่โมงครึ่งเท่านั้น ที่สำคัญโรงแรมที่จัดงานอยู่ไม่ไกลจากที่พักใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็น่าจะถึง หรือคุณลุงจะจำเวลาผิดไป
“ผมนัดช่างแต่งหน้าทำผมไว้ให้หนู ตอนนี้น่าจะมารอที่พักแล้วละ”
เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ อย่างที่ชอบทำมาตลอด ประธานหนุ่มตั้งใจเนรมิตให้คู่ควงของเขาในคืนนี้สวยหมดจดไร้ที่ติโดยเฉพาะรอยจ้ำที่เขาตั้งใจทำเพื่อแสดงความรัก
“ดะ เดี๋ยวนะคะ ช่างแต่งหน้าทำผม นัดมาทำไมคะ”
“แฟนของผมต้องสวยที่สุดในงานยังไงล่ะครับ”
“อันที่จริงน้ำมนต์แต่งเองได้นะคะ คุณมินแนะนำโทนสีแต่งหน้าและทรงผมให้แล้ว” เด็กสาวเอ่ยเสียงอ่อนพลางเปิดภาพอ้างอิงจากโทรศัพท์มือถือส่งให้ราเชนทร์ดู ทว่าเขากลับบอกว่าไม่มีใครสวยเท่าแฟนของเขา
‘นี่คุณลุงจะคลั่งรักเกินไปไหมนะ’
“เดี๋ยวหนูกลับไปถึงที่พักก็รู้เองนั่นละ” ราเชนทร์พูดเสียงเรียบ แววตามีประกายระยับทำให้เด็กสาวรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ทำไมคุณทำหน้าแบบนี้ น้ำมนต์ชักจะกลัวแล้วนะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” คุณลุงท่านประธานกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางจิ้มผลไม้ป้อนแฟนสาวให้คลายความกังวล จู่ๆ มนต์ลดาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ มือบางกอดแขนแกร่งไว้แน่น ศีรษะกลมพิงซบลงมาอย่างออดอ้อน “คุณลุงขา น้ำมนต์ขอแต่งตัวเองไม่ได้เหรอคะ” ราเชนทร์เอียงหน้ารับจุมพิตหวานที่เด็กสาวเอาใจ พลางเอ่ยกระซิบบอกมนต์ลดาด้วยหวังให้เธอได้รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รีบกลับไปแต่งตัว
“เดี๋ยวคุณแก้วกับคนอื่นๆ จะตามมาตอนหกโมง ถ้าหนูอยากให้พวกนั้นเห็นรอย...ก็ตามใจนะ ผมไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังใครอยู่แล้ว” ราเชนทร์พูดพลางปรายตาไปยังรอยรักสีกลีบกุหลาบที่ตัวเองทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้อย่างภาคภูมิใจ สายตาแฝงความปรารถนาที่ไม่ซ่อนเร้นทำเอาเด็กสาวแก้มแดงก่ำ มือข้างหนึ่งพลางปัดป้องบริเวณลำคอ ส่วนอีกข้างควานหากระจกบานเล็กในกระเป๋าสะพายขึ้นมาส่องดูปรากฏรอยรักสีจางที่มองอย่างไรก็เดาได้ว่าเธอพึ่งผ่านศึกรักเร่าร้อนมาเมื่อไม่นานนี้ ส่วนคนสร้างรอยก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากท่านประธานเจ้าเล่ห์คนนี้นี่เอง
“ก็ได้ค่ะ แต่น้ำมนต์ขอทานขนมให้หมดก่อนนะคะ” เด็กสาวทำหน้าตาบูดบึ้งเพราะความชอบเจ้ากี้เจ้าการของแฟนหนุ่ม แต่เมื่อเธอมานึกคิดอีกทีการที่เขาใส่ใจดูแลเธอนั่นหมายถึงเขาสนใจเธอ แทนที่จะทำหน้าบูดเป็นปลาทูอัมพวาสู้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกันให้มีความสุขเสียดีกว่า
“พี่แก้วจะมาแต่งตัวกับเราด้วยเหรอคะ”
“ครับ หนูน้ำมนต์จะได้ไม่เหงา”
“ขอบคุณนะคะ คุณลุงของน้ำมนต์น่ารักที่สุด” มนต์ลดาใช้สองมือเล็กประคองหน้าคุณลุงท่านประธานพร้อมใช้ปลายจมูกถูไถไปมาอย่างเด็กขี้แกล้ง เธอรู้สึกมีความสุขเหมือนได้รับการเติมเต็มนอกจากการดูแลเอาใจใส่ เขายังนึกถึงจิตใจของเธอมาก่อนเสมอ ‘แบบนี้จะไม่ให้รักไม่ให้หลงได้ยังไงกันล่ะ’
“หนูน้ำมนต์” จู่ๆ เขาก็สบตาเธอพลางขมวดคิ้วแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้ม จนเด็กสาวใจแป้วมือทั้งสองที่กำลังกอบกุมแก้มเขาอยู่รีบปล่อยลงอย่างรวดเร็ว มนต์ลดาลืมนึกไปว่าแม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเธอ อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นผู้อาวุโสกว่าเธออยู่มากโข การลูบแก้มเขาอาจเป็นการไม่เคารพผู้ใหญ่เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบหลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด ทว่าราเชนทร์กลับใช้ปลายนิ้วเชยคางของสาวเจ้าขึ้นมาให้สบตากับเขา
“อย่าไปมองใครด้วยสายตาแบบนี้นะ”
“คุณหมายถึงยังไงคะ?” มนต์ลดาเอียงหน้าเป็นเชิงสงสัย
“ผมหวง”
ไม่นานนักทั้งสองก็กลับมายังที่พักติดหาดส่วนตัวความหวังที่จะนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินพร้อมกับคุณราเชนทร์เป็นอันต้องพับลงเหลือเพียงนั่งชมวิวผ่านกระจกบานใหญ่ภายในห้องแทน
คุณมินจากห้องเสื้อ Lader Se เดินเข้ามาพร้อมกับชุดเดรสกลิตเตอร์ดีไซน์หรูสีโรสโกลด์แขนกุดเว้าช่วงอกลึกทรงวีเชฟ ช่วงหน้าอกเสริมผ้าตาข่ายสีเนื้อ ชายกระโปรงลู่พลิ้วเหลื่อมจากชุดเดรสสะท้อนแสงไฟเปล่งประกายระยับ ด้านหลังแม้จะเว้าไม่ลึกมากแต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังต้องโชว์แผ่นหลังขาวเนียนอวดสวยตาผู้คน
“คุณมินมาด้วยตัวเองเลยหรือคะ” มนต์ลดาเอ่ยทักพร้อมกับหัวใจพองโต
หากเป็นคุณมินและทีมงานที่ช่วยแต่งตัวให้เธอยังไงก็อุ่นใจได้ว่าจะไม่เอาเรื่องรอยจ้ำตามผิวของเธอไปพูดในทางเสียหาย ถึงอย่างไรคุณราเชนทร์ก็เป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคม
“สวัสดีครับ คุณราเชนทร์กำชับกับผมว่าอยากให้คนสำคัญของเขา ดูดีที่สุดในคืนนี้” คุณมินเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหันไปสบตากับท่านประธานหนุ่ม ปกติมินไม่รับงานออกนอกสถานที่ไกลเช่นนี้ ทว่าครั้งนี้ลูกค้าคนสำคัญอย่างคุณราเชนทร์เข้ามาขอร้องด้วยตัวเองให้เตรียมทีมงานมาเนรมิตความงามให้กับหญิงสาวคนสำคัญ แลกค่าเสียเวลาเป็นตัวเลขหกหลักเขาจึงยอมเดินทางมาด้วยตัวเอง ดีไซน์เนอร์หนุ่ม ต้องแปลกใจคาดไม่ถึงว่าคนพิเศษที่คุณราเชนทร์เอ่ยถึงก็คือสาวน้อยคนนี้
“ยังไงผมฝากคุณมินด้วยนะครับ”
“คุณน้ำมนต์ไม่ชอบชุดนี้หรือครับ ผมมีชุดอื่นติดมาเผื่อให้เปลี่ยนด้วยนะ” มินเคยติดตามผลงานของมนต์ลดามาบ้าง เขาจึงสังเกตเห็นถึงความไม่มั่นใจในแววตาของเธอ โดยปกติสายเธอจะมั่นใจกับชุดที่สวมใส่เสมอ ผิดกับครั้งนี้มนต์ลดาหันไปหันมาอยู่หน้ากระจกนานสองนาน
“ทำไมคุณมินคิดว่าน้ำมนต์ไม่ชอบล่ะคะ”
คุณมินยกมุมปากอย่างใจเย็นก่อนจะเดินมาซ้อนด้านหลังของหญิงสาว สบดวงตาคู่สวยผ่านกระจกเงา “ผมเห็นคุณมองชุดแล้วทำสีหน้าแปลกๆ หรือว่าคุณน้ำมนต์ไม่ชอบสีหวานๆ แบบนี้ใช่ไหมครับ”
“คุณมินเก่งจัง เดาใจน้ำมนต์ออกด้วย อันที่จริงก็ไม่ได้รังเกียจสีหวานๆ แบบนี้หรอก แต่เวลาอยู่กับโทนหวานๆ ทีไร น้ำมนต์รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเลยค่ะ” มนต์ลดาบอกความในใจให้ดีไซเนอร์หนุ่มได้ฟังพร้อมกับเล่าถึงความหลังที่ผ่านมา
ตั้งแต่จำความได้ด้วยความที่มนต์ลดามีใบหน้าออกไปทางหวานผู้เป็นแม่ก็พร่ำซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าทุกอย่างนั้นล้วนมีแต่สีชมพู ด้วยความที่ไม่ชอบสีนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่ว่าเจออะไรที่เป็นสีชมพูมักจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับเธอยิ่งเธอไม่ชอบกลับกลายเป็นไม่ว่าจะไปที่ไหนมักเจอแต่ข้าวของเครื่องใช้สีชมพู โดยเฉพาะแบรนด์ที่มาจ้างมักมองเธอเป็นตัวแทนของความอ่อนหวาน มนต์ลดาจึงมีแต่ไอเท็มสีน่ารักเต็มไปหมด
“จริงๆ คุณน้ำมนต์เหมาะกับชุดนี้มากเลย ถ้าไม่มั่นใจจะเปลี่ยนเป็นชุดสีอื่นก็ได้นะครับ ผมเตรียมมาให้เลือกหลายชุดเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ หากดีไซเนอร์มือทองอย่างคุณมินบอกว่าชุดนี้เหมาะสม น้ำมนต์ก็เชื่อมือคุณมินค่ะ” เธอพูดพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกพลังให้กับตัวเองแล้วคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ
“งั้นเดี๋ยวคุณน้ำมนต์ไปอาบน้ำก่อนนะครับ ทางผมกับทีมงานจะเตรียมของรอตรงด้านโน้น”
“งั้นรบกวนด้วยนะคะ”
มนต์ลดาเข้าไปอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดสดชื่นแต่สิ่งที่เธอกังวลต่อจากนี้ คือรอยรักสีจางที่คุณราเชนทร์ฝากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า แม้หญิงสาวจะไม่สบายใจกับร่องรอยนั้นแต่เธอก็จำต้องเดินออกจากห้องน้ำมาเพื่อเตรียมแต่งตัวโดยสะกดกลั้นความวิตกไว้ในใจ ช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มให้เธออย่างพิถีพิถันกระทั่งปิดรอยน่าอายจนมิด จากนั้นจึงเริ่มจัดการแต่งหน้าให้สวยสง่า ติดขนตาเส้นเรียงยาวเป็นแพทำให้ดวงตากลมโต พร้อมไฮไลต์กรอบหน้าให้สวยหวาน จนเวลาล่วงเลยถึงหกโมงกว่าด้านนอกเริ่มได้ยินเสียงดังโหวกเหวกนั่นแสดงว่าพี่เอก พี่ทีม และพี่แก้วได้มาถึงแล้ว
รุ่นพ่าวคนสนิทเปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าสดใส พลังเหลือล้น
“สวัสดีจ้าทุกคน” คนมาใหม่เอ่ยเสียงใสก่อนทีมงานจะรีบพาไปเลือกชุดจัดการแต่งหน้าแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว พี่แก้วสวมชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีครีมจับจีบบริเวณอกส่วนช่วงเอวและสะโพกพอดีตัวและเป็นระบายพลิ้วเพื่อเสริมให้หล่อนดูมีสะโพกมากยิ่งขึ้น พี่แก้วเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางโดยปกติหล่อนไม่ค่อยแต่งตัว ท่านประธานจึงให้คุณมินเตรียมชุดสำหรับหล่อนและคนอื่น ๆ มาด้วย
“ชุดของน้องน้ำมนต์สวยมากเลยค่ะ”
“ของพี่แก้วก็สวยเหมือนกันดูสวยผิดตาเลยนะคะ” มนต์ลดาพูดพลางช่วยพี่แก้วจัดระเบียบชุดช่วงแขน
“แหมของแบบนี้มันแน่อยู่แล้วน้ำมนต์ก็พูดเกินไป” แก้วหัวเราะร่า
ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องทั่วไปอย่างคนสนิทกัน กระทั่งมนต์ลดานึกได้ว่าเธอยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดงานในคืนนี้ การที่ทีมงานอย่างพวกเธอรู้รายละเอียดเตรียมข้อมูลที่ควรศึกษาไว้ก่อนจะเป็นตัวช่วยทำให้ท่านประธานทำงานได้อย่างราบรื่น
“พี่แก้วคะ งานสมาคมวันนี้เป็นแค่งานประมูลการกุศลเท่านั้นหรือคะ ทำไมคุณราเชนทร์ต้องให้พวกเรามากันทั้งทีมด้วย”
“อันที่จริงแล้วงานนี้เป็นงานพบปะผู้ประกอบการด้านสายงานอัญมณีและเครื่องประดับทั้งในไทยและต่างประเทศ คุณราเชนทร์เป็นสปอนเซอร์หลักด้วย เท่านั้นยังไม่หมดนะจ๊ะ คนที่มางานนี้ส่วนใหญ่มีแต่พวกนักธุรกิจที่สนใจการลงทุน เรียกง่าย ๆ ว่าการประมูลเป็นแค่น้ำจิ้ม จริง ๆ คือแต่ละคนมาหาคอนเนกชันใหม่มากกว่า เท่าที่พี่แก้วรู้มาวันนี้ไม่ได้มีแค่นักธุรกิจสายอัญมณี แต่เป็นงานเปิดที่เชิญนักธุรกิจสายอื่น ๆ มาร่วมประมูลกันด้วย ที่สำคัญงานนี้เป็นงานที่จัดขึ้นสามปีครั้ง” พี่แก้วเล่าด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกับหยิบไอแพดกดส่งข้อมูลของงานครั้งนี้ให้มนต์ลดาในอีเมล
“งานสำคัญระดับนี้น้ำมนต์เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานเองจะไม่ทำงานของท่านประธานพังใช่ไหมคะ”
“เป็นแค่เด็กฝึกงานที่ไหนกันพี่รู้นะ” พี่แก้วยิ้มกรุ้มกริ่ม กระทุ้งศอกเข้าสีข้างอย่างหยอกล้อ
“เอาเถอะจ้ะ เรียนรู้งานไว้ก็ดีแล้ว พี่แก้วส่งรายละเอียดงานนี้และสิ่งที่พวกเราต้องเก็บข้อมูลในอีเมลแล้วนะ งานนี้ไม่ซีเรียสหรอกจ้า ท่านประธานคงไม่อยากให้น้องน้ำมนต์เหงามั้งคะเลยให้พวกเรามาด้วย พี่แก้วเห็นว่าไม่ได้กลับบ้านนานแล้วถือโอกาสกลับมาเสียเลย ส่วนพี่เอก กับเจ้าทีมขอตามมาด้วยก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่ละ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าพี่แก้วไม่ไปด้วยน้ำมนต์คงทำตัวไม่ถูก”
“ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ ก็ถือซะว่ามาเก็บข้อมูลทางการตลาดด้วยไม่ต้องคิดมากหรอก แต่พี่จะบอกความลับของท่านประธานให้ เห็นเขาเงียบเหมือนเจ้าชายเย็นชาแบบนี้ มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่แวะเวียนมาทอดสะพานให้เจ้านายพี่ตลอดเลยนะ พี่อยู่กับเขามาเข้าปีที่ห้าแล้ว ถ้าไม่นับพี่แก้วที่เป็นลูกน้องในทีมกับพี่ประกายดาวที่เป็นเลขาแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นท่านควงใครออกงานเลยสักครั้ง”
“พี่แก้วหมายถึง...” ฟังถึงตรงนี้ แก้มใสของเด็กสาวก็ร้อนผ่าวเอาเสียดื้อ ๆ
รุ่นพี่สาวป้องปากกระซิบพลางหัวเราะคิกคัก “สงสัยเจ้านายพี่คงหลงเสน่ห์น้องน้ำมนต์เข้าแล้วละ”
สองสาวพูดคุยหัวเราะกันคิกคักกระทั่งเวลาประมาณทุ่มครึ่งทั้งสองคนก็แต่งตัวเรียบร้อยออกไปยังด้านนอกเพื่อเตรียมบรีฟรายละเอียดและความต้องการในการเก็บข้อมูลทางการตลาด หลังจากที่แจกแจงหน้าที่กันอยู่สักครู่ใหญ่ก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเตรียมตัวเพื่อไปร่วมงานในคืนนี้
“โอ้โห พี่แก้ว ทีมคิดว่านางฟ้าที่ไหน” ทีมเอ่ยแซวพี่แก้วเพราะคืนนี้รุ่นพี่ดูสวยแปลกตากว่าเดิมจนเด็กหนุ่มใจสั่นไหว จนรุ่นน้องหนุ่มเผลอมองรุ่นพี่สาวด้วยสายตาพราวระยับอย่างไม่ปิดบัง
ในสายตาของทีมที่มีต่อพี่แก้วนั้น เธอเป็นหญิงสาวที่ทั้งเก่ง จิตใจดี และเขาก็ชอบแกล้งเย้าแหย่พี่แก้วยามที่รุ่นพี่เสียงดังโวยวายยิ่งทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบ
“แหมไอ้เด็กคนนี้ จะมีสักวันไหมที่แกจะไม่กวนประสาทพี่” แก้วขมวดคิ้วยุ่งแทนที่จะบ่นเหมือนอย่างที่เคย ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มแต่งตัวเป็นทางการ ชุดสูทเข้ารูปสีกากีทำให้เด็กหนุ่มดูหล่อผิดหูผิดตา รุ่นพี่ทัดปอยผมเข้าไว้ที่หลังหูแก้เขิน
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก ระวังตกหลุมรักเด็กนะพี่”
พี่เอกรินทร์กระตุกยิ้มพลางกระแอมปรามรุ่นน้องในทีมก่อนจะจีบกันไปมากกว่านี้ เมื่อแก้วรู้ว่าอย่างน้อยพอจะมีเอกรินทร์ช่วยเหลือสาวเจ้าก็เข้าไปนั่งกระแซะพลางเขย่าแขนหัวหน้าทีมจนร่างกำยำโงนเงน
“พี่เอกขา ดูไอ้ทีมสิมันแกล้งแก้วอีกแล้ว” เอกรินทร์นั่งกอดอกยกยิ้มอย่างเอ็นดูพร้อมกับเบือนหน้าไปทางท่านประธาน ทว่าเจ้านายของเขากลับไม่สนใจสิ่งใดนอกจากเอาแต่ส่งสายตาหวานลอบมองมนต์ลดาอย่างไม่ละสายตา ด้านเด็กสาวเมื่อรู้ตัวว่าถูกท่านประธานจ้องไม่วางตาเธอก็แย้มยิ้มให้อย่างเคอะเขิน บรรยากาศรอบตัวของเอกเต็มไปด้วยความรักที่กำลังผลิบาน เมื่อเพื่อนร่วมงานมีความสุขและแยกเรื่องงานกับส่วนตัวออกเรื่องหัวใจเขาก็ไม่คิดที่จะก้าวก่าย
“เดี๋ยวพวกผมขอนำไปที่งานก่อนนะครับ” พี่เอกเอ่ยแจ้ง ท่านประธานเพียงคลี่ยิ้มสุขุมพยักหน้ารับคำของหัวหน้าทีมพ่วงตำแหน่งเพื่อนรู้ใจ เมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว วูบหนึ่งราเชนทร์กระตุกยิ้มอย่างคนมีแผน เขารวบเอวบางของมนต์ลดาเข้ามาไว้แนบอก ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสอย่างโหยหา
“เดี๋ยวเครื่องสำอางจะเลอะสูทคุณนะคะ”
“ใครจะอดใจไหว คืนนี้หนูสวยมาก สวยจนผมอยาก...”
ราเชนทร์พูดพลางใช้ปลายจมูกโด่งคลอเคลียซอกคอขาวอย่างอ้อยอิ่ง กลิ่นกายสาวแรกรุ่นกระตุ้นให้เลือดในกายของประธานหนุ่มพลุ่งพล่าน หากไม่ติดว่าคืนนี้ต้องไปงานสำคัญมีหรือที่เขาจะปล่อยเด็กสาวไป
“พอเลยค่ะ เรารีบไปงานกันดีกว่าไหมคะ”
ระหว่างที่ราเชนทร์ไล่ต้อนจุมพิตมนต์ลดาอย่างเอาแต่ใจ ประจวบเหมาะกับดีไซเนอร์หนุ่มเดินมาพอดิบพอดี ทั้งคนบังเอิญมาเห็นกับคนที่ถูกเห็นใบหน้าร้อนผ่าวต่างก็ทำตัวไม่ถูกด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผิดกับคุณลุงท่านประธานที่ตีหน้ามึน เก๊กหน้าขรึม เสตามองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจสายตาของคุณมินแม้แต่น้อย
“ขอโทษด้วยครับ พอดีคุณน้ำมนต์ลืมใส่สร้อย ผมเลยคัดมาให้เลือกว่าชอบเส้นไหน” ดีไซเนอร์หนุ่มพูดพลางชูสร้อยในมือขึ้นมาให้หญิงสาวเลือก มุมปากของมนต์ลดาปรากฏรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะนึกได้ว่าลืมของสำคัญ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์มีเส้นที่ต้องการใส่แล้วขอบคุณมากนะคะ”
มนต์ลดาพูดจบพลางเปิดกระเป๋าคลัตช์หยิบสร้อยสีโรสโกลด์เข้าคู่กับจี้ดอกไม้กับเพชรเม็ดเล็กน่ารักมีชายตุ้งติ้งระย้าออกมาจากซองกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มเจือความภูมิใจก็ฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา สร้อยเส้นนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของเขา นอกจากความตั้งใจในการออกแบบและเลือกวัสดุแล้ว ราเชนทร์ยังใส่ความรักลงไปพร้อมกับสร้อยเส้นนี้ด้วย
“ผมใส่ให้นะครับ”
ตั้งแต่ราเชนทร์พบกับมนต์ลดาความอ่อนหวานสดใสแฝงด้วยพลังของเธอก็ตราตรึงในสมองและหัวใจ สร้อยเส้นนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันความคิดถึงของเขา ตอนแรกที่หนูมนต์ลดาเข้ามาฝึกงานที่บริษัทแทนที่ความคิดถึงของท่านประธานหนุ่มจะลดลง กลับกลายเป็นความรู้สึกหวั่นไหวนั้นมีมากขึ้นกว่าที่คิด ด้วยความที่ห้องทำงานของทั้งคู่ห่างกันแค่กระจกกั้น ราเชนทร์จึงใช้เวลาว่างนั่งมองเด็กสาวจากห้องทำงานของตัวเองแล้วร่างแบบไปพลางเมื่อว่างเว้นจากงาน กระทั่งส่งไปผลิตเป็นชิ้นงานที่โรงงานในเครือ สร้อยเส้นนี้จึงเสมือนตัวแทนความรัก ความคะนึงหา แม้ใบหน้าเขาจะนิ่งขรึม ทว่าภายในห้วงลึกประธานหนุ่มกลับรู้สึกหัวใจพองโตที่เธอเลือกใส่สร้อยเส้นนี้ในคืนแรกที่ควงคู่ออกงานกับเขา
“ชอบไหมครับ”
“ชอบสร้อย หรือคุณคะ” เด็กสาวกระเซ้าประธานหนุ่มด้วยน้ำเสียงยั่วยวน ใบหน้าสวยเอียงเล็กน้อยอย่างแมวขี้สงสัย
“ตัวแสบของผม หนูคิดว่ายังไงล่ะครับ”
สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถสะกดกลั้นรอยยิ้มได้อีกต่อไป ความน่ารัก ขี้เล่นของแฟนสาวทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก ที่ผ่านมาเขารู้สึกเป็นคนคุมเกมทุกอย่างมาโดยตลอด หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วคนที่อยู่จุดสูงสุดของเกมนี้คือเธอต่างหาก
“สร้อยเส้นนี้น้ำมนต์ชอบมากเลยค่ะ ส่วนคุณ...”
มนต์ลดาทำหน้าครุ่นคิดพร้อมกับเขย่งเข้าใกล้ชายหนุ่มจนลมหายใจอุ่นกระทบผิวเย็นเฉียบของเขา บางอย่างที่นิ่งสงบไปกลับชูชันพร้อมรบทันทีที่เธอใช้ปลายจมูกคลอเคลียซอกคอ พร้อมกับเอ่ยกระซิบเสียงหวาน “น้ำมนต์ขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ”
ทันทีที่เด็กสาวพูดจบเธอตั้งใจจะผละตัวหนีจากอ้อมกอดร้าย ทว่าราเชนทร์รู้ทันเด็กดื้อเขาจึงประคองแก้มเนียนเข้ามาบดจูบอย่างดูดดื่มชนิดที่เธอต้องทุบอกแกร่งประท้วงให้หยุด “ไหนผมให้หนูตอบอีกที”
“น้ำมนต์ไม่ได้ชอบคุณ” เธอตอบด้วยเสียงดื้อดึงแสนงอน ใบหน้ามู่ทู่พร้อมกับพยายามจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะสบตากับคุณลุงท่านประธานราวกับตอกย้ำความจริงจังของประโยคที่จะพูดต่อจากนี้
“สำหรับคุณมันเลยกว่าชอบไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ประธานหนุ่มได้ฟังคำตอบถึงกับยิ้มออก เขาไม่รอโอกาสให้หลุดลอยไป วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนจะจุมพิตเด็กสาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นจูบที่นุ่มนวลเปี่ยมด้วยความรู้สึกลึกซึ้งของเขา ราเชนทร์ผละจูบออกอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ข้างแก้มนวลก่อนจะกระซิบคำหวานเบา ๆ
“ผมรักหนูนะ คุณนายเมียท่านประธาน...เราไปออกงานกันดีกว่า”
“นี่คุณอย่าล้อน้ำมนต์แบบนี้สิคะ เดี๋ยวใครได้ยินเข้าคุณจะดูไม่ดี”
“ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย เดือนหน้าผมก็จะสี่สอบแล้ว หนูเรียนจบเราแต่งงานมีลูกกันเลยดีไหม เอ๊ะ หรือว่าแต่งเลยปีหน้าค่อยปล่อย...”
“พอเลยค่ะ คุณราเชนทร์คะ นี่เราเพิ่งคบกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะคะ” เด็กสาวขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเขาวางแผนอนาคต กระนั้นในหัวใจเธอกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้เธอจะเจอเรื่องร้ายๆ มาหลายหนแต่ครั้งนี้เธอจะได้มีความสุขเหมือนคนอื่นเสียที
“ผมไม่อยากต้องรออะไรอีกแล้วนี่” ประธานหนุ่มกระเซ้าเสียงอ่อน
เธอถอนหายใจยาวก่อนจะมองหน้าแฟนหนุ่มอย่างเหนื่อยใจ เขย่งปลายเท้า พลางกดจูบเนิบนาบเพื่อเป็นการปิดปากเขากลาย ๆ “แต่อย่างน้อย ๆ เรื่องนี้…คุณต้องรอก่อนเพราะตอนนี้เราต้องไปงานค่ะ นี่ก็เลตมานานมากแล้ว”
“ขี้ยั่วแบบนี้รับรองเลยว่า หนูไม่ได้นอนแน่คืนนี้” ราเชนทร์แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์พลางโอบเอวแฟนสาวไปยังรถหรูเพื่อไปยังงานประมูลคืนนี้
รถยนตร์หรูเทียบจอดยังพื้นที่รับรองแขกวีไอพีของโรงแรม แกรนด์เดอรีสเตอร์ ราเชนทร์มาในนามตัวแทนของเกริกก้องรัชตะกรุป ควงคู่กับมนต์ลดาที่คืนนี้ที่กลายเป็นเลขาจำเป็นพ่วงตำแหน่งผู้หญิงของท่านประธานทั้งสองเดินตรงเข้ามาในงานผ่านจุดลงทะเบียนเจ้าหน้าที่มอบการ์ดใบเล็กเขียนหมายกำหนดการของงาน หมายเลขโต๊ะ รวมถึงป้ายสำหรับการประมูลเครื่องเพชร
มนต์ลดารู้สึกประหม่าแต่เธอก็ทำหน้าที่เลขาจำเป็นได้ไม่ขาดตกบกพร่อง การแต่งกายของคุณราเชนทร์ในคืนนี้ค่อนข้างเป็นทางการเนื่องจากเป็นงานของสมาคมเครื่องประดับ และอัญมณี ภายในประเทศ เขาจะได้พบพบบริษัทคู่ค้ามากมาย แม้เขาจะตีหน้าขรึมตลอดเวลาทว่าแววตาที่ประธานหนุ่มมองมายังเด็กสาวยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
ในคืนนี้จะมีการเดินแบบเครื่องเพชรประมาณสิบเซตหลัก และชุดสุดท้ายเป็นชุดทับทิมสยามซึ่งเป็นไฮไลต์ของงาน โดยที่นั่งของพวกเขาเป็นจุดที่มองเห็นการแสดงโชว์ได้ถนัดตามากที่สุด ดูเหมือนว่าคืนนี้พี่เอกดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“พี่แก้วคะ ทำไมทับทิมสยามถึงเป็นชุดไฮไลต์ล่ะคะ น้ำมนต์ดูจากรูปภาพแนะนำในโบรชัวร์ ดูไปแล้วสร้อยเส้นนี้ไม่น่าจะโดดเด่นเท่าเซตอื่น ๆ ทั้งการออกแบบ ขนาดเม็ดทับทิม เอาจริงๆ นะพี่แก้ว เส้นนี้จะมีคนประมูลจริง ๆ เหรอ” เธอใช้มือป้องปากกระซิบถามเสียงแผ่วเบา
“ก็เพราะสร้อยทับทิมสยามเส้นนี้เป็นมรดกจากตระกูลเทพบดินทร์ไพศาลยังไงล่ะ” รุ่นพี่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ๊ะ ใช่บ้านที่เขาว่ากันว่าโดนฆาตกรรมกันทั้งบ้านเมื่อสิบปีก่อนที่เหลือแค่ลูกชายคนเดียวที่รอดหรือเปล่าคะ”
“ก็นั่นละ ถึงเป็นไฮไลต์ไงจ๊ะ” พี่แก้วหันซ้ายแลขวาแล้วตอบเสียงเบา
“จะมีคนประมูลจริงๆ หรือคะ”
“บางครั้งของบางชิ้นถึงจะดูธรรมดาในสายตาคนทั่วไป ถ้าสิ่งนั้นมีเรื่องราวบางอย่าง ของชิ้นนั้นก็สามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยละ เดี๋ยวน้องน้ำมนต์ลองดูแล้วกันพี่ว่าราคาเกินล้านแน่นอน” พี่ทีมเอ่ยขึ้นมาพร้อมทอดสายตาไปยังหญิงสาวทั้งสองคน
“จริงหรือคะ น้ำมนต์ว่าถ้าเอาไปตีราคาในตลาดเต็มที่ไม่เกินแสนนะ” เธอพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“สร้อยทับทิมเส้นนี้เป็นผลงานการออกแบบเส้นสุดท้ายก่อนที่คุณราณีเธอจะเสียชีวิต ยุคนั้นคุณราณีเป็นดีไซเนอร์ที่ออกแบบเครื่องประดับมือต้น ๆ ของเมืองไทย คนในวงการต่างให้ความไว้วางใจกันทั้งนั้น” เอกรินทร์เฉลยเพื่อคลายประเด็นให้แก่รุ่นน้องช่างสงสัย
“เพราะแบบนี้เส้นนี้ถึงเป็นไฮไลต์ใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว เห็นลูกชายบอกว่าจะนำเงินที่ประมูลได้คืนนี้ไปบริจาคให้มูลนิธิเด็กกำพร้าทั้งหมดด้วยนะ” พี่ทีมเอ่ยเสริมด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกันอยู่นั้นหางตาของมนต์ลดาก็เหลือบเห็นเจ้าสัววิฑูรกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาด้านในห้องคอนโทรลข้างเวทีด้วยใบหน้าที่ดูเป็นกังวล ทันทีที่เธอเห็นหน้าร้ายกาจของเขา ความหวาดกลัวเริ่มถาโถมในจิตใจ ใบหน้าเธอร้อนผ่าว รู้สึกวิงเวียนศีรษะและเหมือนจะหายใจไม่ออก มนต์ลดาจึงขอปลีกตัวออกไปเข้าห้องน้ำสักครู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้พี่แก้วจะอาสาออกไปเป็นเพื่อนแต่สถานการณ์เช่นนี้ มนต์ลดาอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวมากกว่า ที่แปลกกว่านั้นเธอเห็นพี่บัวด้วย ทั้งสองคนเหมือนกำลังพูดคุยบางอย่างน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว ปกติพี่บัวแม้จะนิสัยขี้เหวี่ยงไปบ้างแต่หล่อนก็รับมือกับปัญหาได้ทุกเรื่อง
‘เมื่อไหร่อาการแพนิกบ้าๆ นี่มันจะหายสักทีนะ’
มนต์ลดาเดินออกไปรับลมที่ระเบียงด้านข้างของโรงแรม จริงๆ ตรงนี้เป็นมุมที่ให้แขกพักสูบบุหรี่ แม้เธอจะไม่ชอบแต่ก็คงดีกว่าต้องอยู่ด้านในด้วยสภาพอารมณ์ที่ไม่คงที่แบบนี้ ถึงตอนนี้ความโกรธเกลียดเจ้าสัวจะลดน้อยลงไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าการมีปัญหากับเจ้าสัววิฑูรคราวนั้นทำให้รายได้ของเธอหดหายไปมาก ตอนนี้เธอทำได้เพียงรับงานรีวิวเล็ก ๆ น้อย ๆ และรอถ่ายพรีเซนเตอร์แบรนด์ของคุณณภัทรกับคุณราเชนทร์เท่านั้น ขณะที่มนต์ลดากำลังทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทำจิตใจให้สงบลง ในเวลานั้นเองโทรศัพท์มือถือก็แผดเสียงดังออกมาจนเธอต้องรีบหยิบออกมาจากกระเป๋าปรากฏเบอร์ที่เธอไม่รู้จัก เธอกดรับแล้วกรอกเสียงเรียบ “สวัสดีค่ะ”
[นั่นใช่น้ำมนต์ ลูกสาวไอ้วุฒิหรือเปล่า]
“นั่นใครคะ”
[นี่เสี่ยอู๊ดเอง หนูน้ำมนต์จำเสี่ยได้ไหม]
“ค่ะ”
[ไอ้วุฒิพ่อหนูสัญญาว่าจะจ่ายหนี้คืนตั้งแต่วันก่อน นี่ก็เลยมาสามวันแล้วนะ]
“หนี้ของเสี่ยอู๊ดหนูปิดจบให้ตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้วนี่คะ วันนั้นหนูก็เป็นคนยื่นเงินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทให้เสี่ยอู๊ดเองกับมือ”
[จ้ะ เสี่ยจำได้แต่นี่มันกู้รอบใหม่แล้วครั้งนี้เสี่ยจะไม่ยอมแล้วนะ หนูก็รู้ว่าเสี่ยไม่ชอบคนผิดนัด]
“หนูไม่รู้เรื่องเลยนะคะ”
[แต่พ่อหนูบอกให้มาทวงกับหนูได้เลย]
“แต่...”
[ไม่มีแต่…เสี่ยให้หนูเต็มที่ก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้หนูต้องคืนเงินเสี่ยต้นพร้อมดอก งวดนี้เงินไม่มากอะไรอย่าทำให้มีปัญหาเลยหนูน้ำมนต์]
“พ่อติดเงินเสี่ยอู๊ดเท่าไรคะ”
[เงินต้นสี่หมื่นบาท รวมดอกเบี้ยก็สี่หมื่นสี่พันถ้วน]
“เงินตั้งสี่หมื่นกว่าน้ำมนต์จะไปหาให้ที่ไหนกันคะ”
มนต์ลดาได้ฟังยอดหนี้ที่จู่ ๆ ก็งอกเงยมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปรู้แต่เพียง เธอต้องเป็นผู้รับผิดชอบอีกแล้ว ความเข้มแข็งที่พยายามแสร้งทำก็พังครืนลงมา ความเจ็บปวดระคนอ่อนแรงเข้ามาแทนที่
[ถ้าหนูไม่มีเงินอย่างนั้นมาอยู่กับเสี่ยสักคืนสองคืนไหมล่ะ เดี๋ยวเสี่ยอู๊ดยกหนี้ให้ทั้งหมดเลย เผลอ ๆ หนูจะได้ค่าขนมกับกระเป๋าแบรนด์เนมสวย ๆ ไว้ใช้ด้วยนะ]
“น้ำมนต์ขอจ่ายสิ้นเดือนสักสองหมื่นบาท ก่อนได้ไหมคะเสี่ยอู๊ด”
มนต์ลดาพยายามวิงวอนขอร้อง ถึงเสี่ยอู๊ดไม่โหดหน้าเลือดเท่าเจ้าหนี้รายอื่นๆ แต่สิ่งที่เธอกลัวไม่แพ้กันนั่นคือ เสี่ยอู๊ดพยายามทำทุกวิถีทางให้เธอยอมเป็นนางบำเรอ จึงตีสนิทกับพ่อแล้วให้ยืมเงินมาง่าย ๆ ต่อให้ต้องทำงานหนักปางตาย เธอจะไม่ยอมใช้เรือนร่างและศักดิ์ศรีเข้าแลกเด็ดขาด
[ไม่ได้ เลือกเอาว่าจะยอมจ่ายหรือมานอนกับเสี่ย หนูอย่าทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากหน่อยเลยน่า]
“เสี่ยอู๊ดน้ำมนต์ขอร้องนะคะ”
[พ่อแกเป็นคนเสนอทางเลือกนี้ให้เสี่ยเองนะ]
“อะไรนะคะ!”
[หนูน้ำมนต์ผู้น่าสงสาร เสี่ยน่ะก็สงสารหนูนะถึงยอมให้ใช้ตัวหนูหักลบกลบหนี้แทนได้]
“เดี๋ยวน้ำมนต์จะหาเงินมาคืนให้ภายในวันพรุ่งนี้นะคะ”
เด็กสาวรีบกดตัดสายไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว น้ำตาอุ่นไหลอาบสองแก้มเนียน ใจหนึ่งก็นึกอยากจะโทรไปถามพ่อให้รู้เรื่องว่าเพราะอะไรถึงยอมให้เอาตัวเธอไปขัดดอกจ่ายแทนหนี้ แต่ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นเธอในสายตา หนำซ้ำยังสร้างหนี้ให้เธอต้องคอยรับผิดชอบอยู่ตลอดเวลาการพูดกับเขาดี ๆ คงไม่ใช่ทางออก
ชีวิตของเธอต้องเจอปัญหาบ้าบอแบบนี้ไปถึงเมื่อไร ภายนอกเธออาจดูเหมือนเข้มแข็งแต่ครั้งนี้ใจของเธอรับไม่ไหวจริงๆ นี่พ่อถึงขนาดให้เธอไปนอนกับใครต่อใครก็ได้เพื่อแลกกับหนี้ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป วันหนึ่งพ่อต้องขายเธอให้กับเสี่ยพวกนั้นเป็นแน่ พ่อยังมองเธอเป็นลูกอยู่หรือเปล่า!? เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอก็เหนื่อยเป็น เจ็บปวดเป็นแล้วเงินสี่หมื่นกว่าเธอจะไปหาที่ไหนได้ทัน
มนต์ลดาทรุดนั่งตรงบริเวณเก้าอี้ริมระเบียง มือทั้งสองปิดหน้าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ความเครียดสะสมที่เกาะกินใจเธอมาตลอดหลายปีปะทุออกมาในคราวเดียวราวกับลาวาปะทุ หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลพรั่งพรูอาบสองแก้มนวล เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความบอบช้ำทางจิตใจ
“น้ำมนต์ ให้เฮียช่วยไหม?” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตาเจือความร้ายกาจอย่างปิดไม่มิด
หนุ่มใหญ่ร่างกำยำเดินเข้ามาหยุดยืนฟังมนต์ลดาคุยโทรศัพท์ตั้งแต่คราวแรกด้วยสีหน้าเรียบแววตาดูมีความกังวลแฝงไปด้วยความหวังอย่างไม่ปิดบัง ทันทีที่มนต์ลดาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย หัวใจก็บีบคั้นเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวงก่อนจะหันไปตามเสียงที่เอ่ยทัก ปรากฏภาพของชายที่เธอไม่คิดอยากจะเห็นหน้าตลอดชีวิต
“เจ้าสัววิฑูร” มนต์ลดาเอ่ยพึมพำพลางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้าวถอยหนีตามสัญชาตญาณ เจ้าสัวเดินเข้ามาจนเกือบจะประชิดตัวเด็กสาวยิ่งทำให้เธอถอยกรูดเข้าไปยังซอกหลืบกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับขอบระเบียงดาดฟ้า
“ระวังตก เฮียจะยืนตรงนี้หนูไม่ต้องกลัว” เจ้าสัวพูดเสียงจริงจัง พลางยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อให้เธอรู้ว่า ‘เขามาดี’
“เราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน” มนต์ลดาสะกดกลั้นความหวาดกลัวพลางเอ่ยด้วยเสียงหวาดระแวง
“ให้เฮียช่วยหนูเพื่อเป็นการไถ่โทษเรื่องวันนั้นได้ไหม”
“ช่วยอะไรคะ?”
“เฮียได้ยินที่หนูคุยโทรศัพท์กับเจ้าหนี้เมื่อครู่นี้หมดแล้ว”
“พวกคุณมันก็เหมือนกันหมดนั่นละ พวกคนมีเงินคิดว่าจะทำอะไรกับใครก็ได้อย่างงั้นเหรอ”
แม้ตอนนี้มนต์ลดาอยากได้เงินมากเพียงใด แต่ครั้งก่อนเจ้าสัวมันยังปลุกปล้ำเธออย่างหน้าด้าน ๆ ที่ห้องแต่งตัวทั้งที่งานยังไม่จบด้วยซ้ำ หากวันนั้นคุณราเชนทร์ไม่มาช่วยเธอ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป เช่นนี้น่ะหรือจะให้เชื่อคำพูดของคนที่เคยคิดจะปลุกปล้ำเธอ!?
“งั้นเอาแบบนี้ไหม...เฮียมีข้อเสนอไม่ได้ให้หนูฟรี ๆ” เจ้าสัววิฑูรกระตุกยิ้มหยัน เสียงหัวเราะร้ายๆ ดังขึ้นจนคนฟังแทบจะทนมองหน้าไม่ไหว
“นั่นไงก็รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพวกคุณมัน...”
“งานวันนี้เป็นงานที่สำคัญกับธุรกิจของเฮียมาก นางแบบที่เดินฟินาเล่ อยู่ๆ ก็เบี้ยวงานกะทันหัน”
“แล้วยังไงคะ เจ้าสัวมาพูดเรื่องนี้ให้น้ำมนต์ฟังทำไม หลีกทางด้วยน้ำมนต์จะกลับเข้างานแล้ว” มนต์ลดากัดฟันแล้วรีบสาวเท้าเพื่อหนีคนตรงหน้าให้ไวที่สุด
“ถ้าหนูยอมขึ้นเดินชุดฟินาเล่แทน เสี่ยจะเซ็นเช็คให้เลยตอนนี้ห้าหมื่น”
มนต์ลดาสะดุดตรงจำนวนเงินห้าหมื่น โดยปกติเรตราคาของงานเดินแบบเช่นคืนนี้ เพียงไม่กี่เซตอยู่ที่ประมาณ หนึ่งหมื่นกว่าบาท เต็มที่ไม่เกิน สามหมื่นบาท แต่ครั้งนี้เดินแค่ชุดฟินาเล่โชว์เดียวได้เงินห้าหมื่นมาทันใช้หนี้เสี่ยอู๊ดอีกด้วย แต่เมื่อเด็กสาวคิดได้ว่าหากเธอเอาตัวเองไปเกี่ยวพันกับเจ้าสัววิฑูรอีกในครั้งนี้ อาจเกิดเรื่องไม่ดีซ้ำรอยเดิมก็เป็นได้ แน่นอนว่ามนต์ลดาหมดความไว้วางใจชายผู้นี้ตั้งแต่มันคิดปลุกปล้ำเธอเมื่องานอีเวนต์คราวก่อนแล้ว
“เรื่องหานางแบบมาเดินไม่ใช่หน้าที่ของพี่บัวหรือคะ ทำไมเจ้าสัวต้องลำบากเป็นคนมาหานางแบบเอง”
“จริงๆ มันก็เป็นหน้าที่ของบัว แต่เฮียเห็นหนูน้ำมนต์เข้างานมากับคุณราเชนทร์ จะมีใครเหมาะไปกว่าหนูอีก ทั้งรูปร่าง หน้าตา และยิ่งรู้มาว่าหนูฝึกงานกับบริษัท รัชตะ จิล แอนด์ เจมส์ บริษัทส่งออกอัญมณีอันดับหนึ่งของเมืองไทย เห็นไหมมีแต่ได้กับได้ หนูลองคิดดูสิ คุณราเชนทร์ได้หน้าเพราะคนของเขาเดินเซตไฮไลต์ทับทิมสยาม ผลงานชิ้นสุดท้ายของคุณราณีดีไซเนอร์มือทอง หนูได้เงินไปใช้หนี้ หนำซ้ำยังได้กลับมารับงานเยอะ ๆ อีกครั้ง และที่สำคัญเฮียได้คนน่ารักอย่างหนูน้ำมนต์มาเดินฟินาเล่ให้ เฮียมั่นใจว่างานต้องไม่สะดุดเพราะหนูเป็นมืออาชีพ”
“น้ำมนต์ขอคุยกับคุณราเชนทร์และทีมก่อนแล้วจะให้คำตอบนะคะ”
เจ้าสัวยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาพลางขมวดคิ้วแน่น “ตอนนี้โชว์เดินแบบประมูลน่าจะเริ่มได้สักพักแล้ว หนูมีเวลาคิดอีกแค่สิบนาที เดี๋ยวผมจะให้บัวเดินไปฟังข่าวดีแล้วกันนะครับ”
เจ้าสัวเปิดสมุดเช็คเขียนบางอย่างลงไปในนั้น “นี่สำหรับค่าเสียเวลาที่หนูอุตส่าห์ยอมคุยกับเฮีย”
มนต์ลดาเหลือบตามองตัวเลขในนั้นแล้วหัวใจกระตุกวูบ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์ไม่รับดีกว่า”
“รับไปเถอะถือว่าแทนคำขอโทษก็ได้” เจ้าสัวพยายามนำเช็คเงินสดยัดใส่มือมนต์ลดา ในช่วงเวลาเดียวกันราเชนทร์ก็เดินเข้ามาพบเธอกับเจ้าสัวกำลังจับมือกันอยู่พอดี ความเดือดดาลในใจเริ่มก่อตัวขึ้นราวกับพายุไซโคลนลูกใหญ่ ส่งผลให้เขาเร่งฝีเท้าตรงปรี่เข้าไปหาแฟนสาวอย่างร้อนใจ
“เรื่องงานน้ำมนต์ขอเวลาปรึกษาคุณราเชนทร์ก่อน ส่วนเช็คเงินสดนี้ขอไม่รับ เพราะเรื่องที่เจ้าสัวทำกับน้ำมนต์มันยากเกินให้อภัยจริง ๆ”
มนต์ลดากระแทกเสียงขุ่นเคือง ดวงตาดำหรี่ลงราวกับมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา เมื่อคิดถึงสิ่งที่เจ้าสัววิฑูรทำยิ่งทำให้ความเดือดดาลในใจที่พยายามกลบฝังไว้พร้อมคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?