มนต์ลดาลงจากรถยนต์สีแดงคันหรู เธอพยายามปิดประตูด้วยอย่างระมัดระวังที่สุด ราเชนทร์ลดกระจกลงบางส่วนเพื่อให้มองเห็นเด็กสาวอย่างถนัดตา มนต์ลดาเห็นดังนั้นจึงยิ้มหวานเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอีกครั้ง
“วันนี้ขอบคุณมากนะคะ ทั้งช่วยน้ำมนต์ พาไปสูดอากาศ แถมยังแวะพากินข้าวก่อนกลับบ้านอีก คุณราเชนทร์ใจดีกับน้ำมนต์มากจริง ๆ ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงหวาน สายตาสื่อความนัยเฉกเช่นที่บอกไป
“หวังว่าเราจะพบกันอีกนะเด็กน้อย…” ราเชนทร์เอ่ยเสียงนุ่ม มือหนายื่นออกมาลูบศีรษะกลมอย่างนึกเอ็นดู เธอเอียงหัวรับความอบอุ่นที่คนแก่กว่ามอบให้อย่างลืมตัว มนต์ลดาไม่เอ่ยตอบ เพียงค้อมหัว โบกมือลาพร้อมรอยยิ้มหวานแทนคำขอบคุณ หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเช้าก่อนออกทำงานมนต์ลดาได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องที่เจ้าหนี้จะมาทวงเงิน ตอนนี้พวกท่านก็คงรอให้เธอกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ แต่หาได้รอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าอยากได้เงินมากกว่าก็เท่านั้น
“มาแล้วเหรอลูกรัก” เสียงของพ่อดังมาก่อนจะเห็นตัวด้วยซ้ำ
มนต์ลดาถอดรองเท้าส้นสูงห้านิ้วครึ่ง เดินไปยังโซฟาห้องนั่งเล่นด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เธอเจอเรื่องหนักหน่วงมาทั้งวัน และนี่ก็คงเป็นคลื่นมรสุมลูกสุดท้ายของวันนี้แล้วสิ เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเตรียมรับแรงปะทะ
“น้ำมนต์จ๊ะ…เอ่อ...คือ แม่มีเรื่อง…เออ…” ผู้เป็นแม่เดินมานั่งข้าง ๆ พลางลูบหลังมือลูกสาวไปมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แม่มีอะไรจะถามหนูหรือจ๊ะ” มนต์ลดาหันไปซบไหล่แม่อย่างเหนื่อยอ่อน เธออยากหาที่พึ่งพิงทางใจ แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี
“งานวันนี้น่ะ เออ…” แม่พูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก สีหน้าแสดงออกอย่างมีเรื่องลำบากใจ “ทำไมคะแม่” มนต์ลดาเงยหน้ามองแม่ พลางขมวดคิ้วยุ่ง
“คืออย่างนี้…แม่ไม่ต้อง เดี๋ยวพ่อถามลูกเอง” พ่อเดินถลาเข้ามานั่งตรงข้ามมนต์ลดา มองหน้าลูกด้วยสายตาแพรวพราวของคนเจ้าเล่ห์ “งานวันนี้ น้ำมนต์รับส่วนที่เหลือเป็นเงินสดใช่ไหมลูก” พ่อไม่ยืดเยื้อให้เสียเวลา และเข้าเรื่องที่ต้องการทันทีโดยไม่สนว่าลูกสาวอย่างเธอจะเหน็ดเหนื่อยจากงานมากแค่ไหน
“เอ่อ…คือเรื่องเงิน…” มนต์ลดาขยับนั่งตัวตรง เหงื่อกาฬไหลทั่วกรอบหน้าด้วยความอึดอัด เพราะเธอได้เพียงแต่เงินมัดจำเท่านั้น และงานวันนี้ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เธอก็หนีออกมาเสียก่อน ยังไม่รวมเรื่องที่มีปัญหากับเจ้าสัววิฑูรเจ้าของเงินนั่นด้วย มนต์ลดายังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะมีงานในวงการนี้ต่อไปหรือไม่
“เจ้าหนี้ทวงพ่อมาแล้ว ร้านเราก็ขายไม่ค่อยดีด้วย น้ำฟ้าก็เพิ่งขอเงินไปซื้อคอมพ์ฯ ใหม่ วันพรุ่งนี้ต้องจ่ายเจ้าหนี้สองหมื่นห้า” ผู้เป็นพ่อร่ายคำพูดยืดยาว และจบลงด้วยการขอเงินเหมือนที่เคยเป็น ที่สำคัญสองหมื่นห้าที่ผู้เป็นพ่อร่ำร้องขอ ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเมื่อเทียบกับเงินที่มนต์ลดาเหลือในบัญชีตอนนี้
“พ่อคะ พ่อฟังมนต์ก่อน คืองานวันนี้มนต์ยังไม่ได้เงินนะคะ” มนต์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ามีความหนักแน่นและจริงจังในคำพูด
“อะไรกัน จะไม่ได้ได้ยังไง ทำงานประสาอะไรไม่ได้เงิน”
“พ่อจ๊ะ พ่อคุยกับลูกดี ๆ สิ” คุณแม่ห้ามปรามด้วยเสียงอ่อน
ผู้เป็นพ่อชี้นิ้วไปที่ลูกสาว ก่นด่าเสียงดังจนมนต์ลดาต้องกำมือแน่นอย่างระงับโทสะ “ก็ดูมันสิ ทำงานง่าย ๆ แป๊บเดียวก็ได้เงินแล้ว ยังจะงกกับพ่อกับแม่อีก”
“คราวก่อนพ่อก็เพิ่งขอไปสามหมื่นนี่คะ ยังไม่ถึงเดือนเลยนะ”
มนต์ลดาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง ทั้งความน้อยใจและความรู้สึกแย่ต่าง ๆ ที่เจอมาทั้งวัน
คำว่า ‘บ้าน’ หลาย ๆ คนอาจมองเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่สำหรับมนต์ลดา คำว่าบ้านมีแต่ความอึดอัด และหลายครั้งเธอรู้สึกเหมือนโดนทุกคนบีบคั้น ความรักความห่วยใย แทบไม่เคยปรากฏจากคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น พ่อและแม่ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยปัดความรับผิดชอบ ทว่าพยายามมากเท่าไร พวกเขาก็ยังไม่เคยมองเห็น
“มึงทวงบุญคุณเหรอ ก็เพิ่งบอกไป ว่าเอาไปซื้อคอมพ์ให้น้องหมดแล้ว”
“แล้วเงินเดือนที่หนูให้พ่อแม่ทุกเดือนล่ะ เดือน ๆ ก็คนละหมื่นกว่าบาทนะคะ เงินไม่ใช่น้อย ๆ เมื่อสองวันก่อนพ่อก็บอกว่าต้องเอาไปจ่ายหนี้เสี่ยแดงหนึ่งหมื่น หนูก็เพิ่งให้ไปนี่คะ” มนต์ลดาพยายามอธิบาย เพราะแต่ละเดือนเธอให้เงินที่บ้านจำนวนมากเมื่อเทียบกับรายรับในแต่ละเดือนที่ไม่แน่ไม่นอน ที่สำคัญนางแบบสาวไม่ได้มีคิวงานทุกวัน เธอใช้เวลาที่ว่างจากเรียนเพื่อรับงานต่าง ๆ จริงอยู่งานนางแบบที่ได้ทำมักได้เงินเป็นก้อน แต่แล้วก็ถูกทางบ้านขอไปจนแทบไม่เหลือเก็บ
“แต่…รอบนี้เป็นหนี้ของเสี่ยชัยงวดสุดท้ายแล้วเนี่ย มันขอทีเดียวสองหมื่นห้า อีน้ำมนต์ มึงก็มีเงินตั้งเยอะตั้งแยะ นี่กูพ่อมึงนะ ขอก่อนแค่นี้จะเป็นอะไรไป” พ่อพยายามพูดล่อหลอกเอาเงินเหมือนทุกครั้ง
“หนูก็ต้องเก็บเงินไว้จ่ายค่าเทอม และเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัวด้วย พ่อใช้เงินเยอะกว่าหนูทั้งปีรวมกันอีกนะ” มนต์ลดาก้มหน้าพูดเสียงสั่นเครือ ใบหน้าร้อนผ่าว หยาดน้ำตาคลอรื้นดวงตาคู่สวย
“กูเป็นพ่อมึงนะ” พ่อตวาดใส่หน้า
“เรื่องนั้นหนูรู้ แล้วจะให้หนูทำยังไง ทำงานวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินเลย”
“มึงอย่ามาตอแหล ทำงานอะไรไม่ได้เงิน”
เสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังจากบนบ้าน ปรากฏหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี เดินออกมาหน้าบ้านเพราะได้ยินเสียงเอะอะ ก่อนเด็กสาวจะเดินปรี่ตรงมาที่มนต์ลดา
“นี่พี่น้ำมนต์ กระเป๋าสวยดีนะ น้ำฟ้าขอยืมหน่อยได้ไหม”
ฟาริดา น้องสาวอายุห่างจากมนต์ลดาเพียงสองปี ตอนนี้เรียนปี 2 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ เด็กสาวเดินมาลูบ ๆ คลำ ๆ กระเป๋าสะพายสีดำแบรนด์หรูก่อนจะดึงมาที่ตัวเอง พลางทาบที่แขนของเธออย่างไม่สนใจเหตุการณ์ก่อนหน้า ฟาริดารู้เพียงว่าตอนนี้หล่อนอยากได้กระเป๋าใบใหม่ของพี่สาวเท่านั้น
“เอาใบอื่นไปก่อนสิ ในห้องพี่มีตั้งหลายใบ ส่วนใบนี้ยังไม่ได้ ช่วงนี้พี่ต้องใช้ถ่ายลง IG ใบนี้เป็นของลูกค้า” มนต์ลดาบอกน้องสาวด้วยเสียงอ่อน เธอไม่เคยคิดหวงของกับน้ำฟ้า เพราะเธอมีน้องสาวแค่คนเดียว เพียงแต่ในข้อสัญญาคือต้องใช้กระเป๋าใบนี้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ทั้งใช้ไปเรียน ใช้ออกงาน และลง Story IG ให้แนบเนียนในชีวิตประจำวัน…ทุกวัน
“อะไรกัน อย่ามาหวงน่า พี่มนต์ก็มีตั้งหลายใบ ไม่รู้ล่ะ น้ำฟ้าอยากได้ใบนี้” ฟาริดาพูดจาอย่างเอาแต่ใจ พลางหันไปส่งสายตาอ้อนให้พ่อและแม่ช่วยพูด
“น้ำฟ้า พูดไม่รู้เรื่องเหรอ พี่ยังให้ตอนนี้ไม่ได้ พี่รับถ่ายรีวิวเอาไว้”
“แกก็รีบ ๆ ถ่ายสิ โอ๊ย อะไรกันหนาวะ แค่กระเป๋าใบเดียว แกให้น้องมันไม่ได้หรือไง” พ่อพูดพลางลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
“ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ แต่ตอนนี้ยังให้ไม่ได้ไง” เธอเอ่นย้ำน้ำเสียงเข้ม จริงจัง
“แล้วจะได้เมื่อไหร่ล่ะ” ฟาริดายืนกอดอกจ้องหน้าพี่สาวอย่างเอาเรื่อง
“อาทิตย์หน้าแล้วกัน เดี๋ยวพี่เอาให้นะ”
“โอ๊ย อะไรกัน พรุ่งนี้ฟ้าจะไปเอาตอนเช้านะ คืนนี้พี่ก็รีบถ่ายภาพลงรีวิวอะไรของพี่ไปสิ” ฟาริดาพูดจบแล้วสะบัดหน้าอย่างกับนางอิจฉาในละครหลังข่าว ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าหนีไป มนต์ลดามองตามหลังน้องสาวคนเดียวอย่างเหนื่อยใจ ถ้าน้องสาวของเธอขยันเรียน เท่ากับขยันสร้างเรื่องแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อย
คุณแม่เขย่าแขนสามีเบา ๆ ส่งซิกซ์ เอ่ยขอร้องลูกสาวเสียงอ่อน
“น้ำมนต์จ๊ะ ยังไงครั้งนี้แม่ขอเถอะ ช่วยเอาเงินให้พ่อก่อนได้ไหม คราวนี้ถ้าไม่จ่ายปิดยอด เสี่ยชัยมันจะส่งคนมาพังร้าน ดีไม่ดีแม่กับพ่ออาจโดนมันซ้อมด้วย”
“แม่พูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วคะ สามเดือนมานี้หนูโอนให้พ่อกับแม่เกินแสนแล้วนะคะ เงินเก็บหนูแทบไม่เหลือแล้วนะ” มนต์ลดาโอดครวญ หวังจะให้พ่อกับแม่เห็นใจบ้าง สักนิดก็ยังดี
“ไอ้งานที่มึงทำ กูก็เห็นแต่งตัวสวย ๆ แบรนด์เนมทั้งนั้น อย่ามาโกหกว่าไม่มีเงิน พูดไปใครจะเชื่อ”
ท้ายที่สุดแล้ว…ก็ไม่มีใครเห็นใจฉันเลยสินะ!
“ก็ที่พ่อเห็นเนี่ย เจ้าของแบรนด์ส่งมาให้ทั้งนั้น รู้ไหม บางครั้งน้ำมนต์นี่ล่ะ บากหน้าไปขอเขามาใส่ทำงานเพื่อแลกกับการโปรโมตร้านเขา”
“ยังไงแกก็โอนเข้ามาบัญชีพ่อแล้วกัน ถ้าไม่อยากให้ร้านแม่มึงโดนถล่มพรุ่งนี้” พ่อพูดจบพลางดึงแขนแม่เดินขึ้นบนบ้านไป ทิ้งให้มนต์ลดานั่งทรุดลงบนโซฟาด้วยความลำบากใจ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเข้าแอปพลิเคชันธนาคาร เช็กยอดเงินคงเหลือ เธอกำโทรศัพท์แน่น หยาดน้ำอุ่นไหลรินอาบสองแก้มเนียน…
ธนาคาร XXXX
จำนวนยอดเงินคงเหลือ
32,070.00 บาท
‘ฉันคงต้องให้พี่บัวหางานเพิ่มแล้วล่ะ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนใช้กัน จะมีใครเข้าใจความเหนื่อยของฉันบ้างไหม?’ น้ำมนต์พลางคิดในใจ ด้วยความอ่อนล้า
เช้าวันจันทร์ที่แสนเหนื่อยล้า นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นจนมนต์ลดาต้องรีบตื่นขึ้นก่อนจะเปิดดูตารางงานดังเช่นทุกเช้า ‘เฮ้อ วันนี้มีเรียนอย่างเดียว ดีจัง!’หลายคนเคยบอกกับฉันว่าตอนเรียนนี่เป็นช่วงเวลาที่โคตรเหนื่อย ทั้งต้องทำการบ้าน ทั้งต้องพรีเซนต์งาน สำหรับฉันแล้ววันที่มีเรียนทั้งวันแบบนี้เหมือนเป็นวันพักผ่อนของฉันก็ว่าได้ เธอแต่งชุดนักศึกษาพอดีตัว วันนี้เธอเลือกใส่กระโปรงพลีตคลุมเข่า วิชาในวันนี้มีแต่วิชาการ เธอจึงเลือกพักสายตา ใส่แว่นสีดำทรงโปรดแทนการใส่คอนแทกต์เลนส์
“วันนี้ทำไมลงมาเช้าจังล่ะลูก” คุณแม่เอ่ยถามขณะกำลังรีดผ้าอยู่หน้าห้องรับแขก “วันนี้มีเรียนเช้าบ่ายเลยค่ะแม่ หนูรีบไปก่อนนะ เดี๋ยวรถติด”
“นี่ยัยมนต์ ทำไมแกไม่ไปเป็นเด็กเสี่ยรวย ๆ สักคน ครอบครัวเราจะได้สบาย” พ่อบังเกิดเกล้าพูดด้วยเสียงไม่ทุกข์ร้อน
“แล้วที่ให้โอนให้เมื่อคืน พ่อเช็กยอดตั้งแต่เช้า ยังไม่เห็นแกโอนมาสักบาท” พ่อพูดพลางวุ่นอยู่กับมือถืออย่างขะมักเขม้น
“เอาไปสักหมื่นนึงก่อนได้ไหมล่ะพ่อ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงอ่อน
“ได้ไงวะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง เสี่ยชัยมันบอกสองหมื่นห้า” พ่อละสายตาจากโทรศัทพ์มือถือ เงยหน้าขึ้นมาขึ้นเสียงใส่มนต์ลดา “งั้นพ่อเอาเบอร์เสี่ยนั่นมาให้หนู เดี๋ยวน้ำมนต์คุยกับเขาเอง” ลูกสาวคนโตเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มึงนี่ มาทำเป็นงกกับพ่อกับแม่เหรอวะ งั้นปล่อยให้มันพังร้านไปเลยแล้วกัน ถ้ามันมากระทืบพ่อกับแม่ มึงรู้ไว้ด้วยนะว่าทั้งหมดเป็นความผิดของมึง”
พ่อพูดพลางตะคอกใส่หน้าแม่ก่อนจะนั่งลงที่โซฟา หันหลังให้ทุกคน
“พ่อ…น้ำมนต์ขอถามจริง ๆ เถอะนะ หนูใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อไหม?”
มนต์ลดาอึดอัดกับภาระที่ไม่จบไม่สิ้นจนแทบจะหมดความอดทน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องลำบากทำงานสายตัวแทบขาดหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อ
“น้ำมนต์ลูก หนูอย่าไปเถียงพ่อเขาสิจ๊ะ แม่เห็นหนูไปตามงานใหญ่ ๆ ว่าแต่มีคนระดับเศรษฐีเข้ามาจีบบ้างไหมล่ะลูก” แม่เอ่ยออกไปเพราะเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี หากลูกสาวคนโตมีผู้ชายรวยรับไปเลี้ยงดูนอกจากเธอจะไม่ลำบาก พลอยให้ครอบครัวสบายไปด้วย และอาจทำให้สามีเธอไม่ต้องอ้างเรื่องเงินไม่พอแล้วออกไปเล่นการพนัน
“แม่ก็อีกคน แม่ดูปากมนต์นะคะ น้ำมนต์ไปทำงาน ไม่ได้ไปขายตัว การที่ทำงานเป็นพิธีกร เป็นพริตตี้ เดินแบบ หรืออะไรก็ตามที่หนูทำอยู่ หนูเหนื่อยมากเลยนะแม่ แล้วกว่าหนูจะหาเงินมาได้แต่ละบาทเนี่ย หนูยืนบนส้นสูงข้อเท้าแทบจะหัก ฉีกยิ้มจนปวดแก้มไปหมด แม่มาดูถูกงานของหนูได้ยังไงคะ” มนต์ลดาพูดเสียงสะอื้น แววตาโกรธจัด ที่เธอต้องทนทำงานลำบากตรากตำทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะพ่อก่อหนี้ไม่จบไม่สิ้นหรอกหรือ?
“กูก็หวังดี มึงจะได้สบาย” พ่อพูดอย่างไม่แยแส ขณะที่มือปั่นสลอตออนไลน์อย่างไม่สนใจโลก
“นี่พ่อ หนูบอกแล้วใช่ไหม ไอ้การพนันพวกนี้เล่นไปมันก็ไม่ทำให้รวยขึ้นมาหรอก” มนต์ลดาพยายามแย่งมือถือออกจากมือพ่อ
“เนี่ย เพราะมึงปากแบบนี้ไงอีมนต์ นั่นไง กูเสียเลย ปากมึงนี่พาดวงกุดจริง ๆ จะไปไหนก็ไปเลย”
“พ่ออย่าไปว่าลูกมันแบบนั้นสิจ๊ะ” แม่เขย่าแขนสามีเบา ๆ ก่อนจะมาลูบหัวลูกสาวคนโต
‘อย่างน้อยยังมีแม่ที่เข้าใจสักนิดก็ยังดี’ แม้น้ำมนต์รู้ว่าสิ่งที่แม่ทำก็เพียงแค่อยากเอาใจพ่อเท่านั้น แต่ลึกเธอก็รู้สึกดี…
“ว่าแต่อาทิตย์นี้น้ำมนต์มีงานวันไหนอีกไหมลูก อาทิตย์หน้าจะครบกำหนดจ่ายงวดสองแล้วนะ” แม่ถามเสียงแผ่ว
‘คนที่คิดว่าน่าจะเข้าใจมากที่สุดอย่างแม่ท้ายที่สุดก็ไม่เข้าใจฉันเลยสินะ ทั้งพ่อและแม่ลืมไปหรือเปล่า ฉันไม่ได้พิมพ์แบงก์ได้เองนะเว่ย’
“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเลยแม่ วันนี้มีเรียนทั้งวัน แล้วนี่ก็ใกล้จะฝึกงานแล้ว ต่อจากนี้อาจรับงานเยอะ ๆ แบบแต่ก่อนไม่ได้แล้วนะ นั่นหมายถึงว่าพ่อกับแม่ต้องพยายามใช้เงินให้ประหยัดมากขึ้นกว่านี้นะคะ”
“เห้ย ได้ยังไงกัน แล้วเราจะหาเงินไหนมาจ่ายหนี้” พ่อเอ่ยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“พ่อก็ตั้งใจขายของสิ แล้วไอ้การพนันเนี่ย เลิกเล่นสักทีเถอะ”
“จะไปเอาอะไรกับร้านทุกอย่างยี่สิบบาทวะ มันก็ขายได้เท่าที่มันเป็นล่ะ จะให้ทำยังไง โอ๊ย อะไรนักหนาวะ กูไม่อยู่แล้ว บ่นอะไรกูอยู่ได้ แหม…พอจ่ายหนี้ให้หน่อยก็ทำเป็นบ่นด่ากู นังตัวดี พี่ไปข้างนอกก่อนนะณี ฝากดูร้านแทนด้วยแล้วกัน” ผู้เป็นพ่อแสร้งทำเสียงตะโกนโวยวายก่อนจะหยิบซองเงินของร้านไว้ในมือ
“จะไปไหนจ๊ะพี่ อย่าไปเข้าบ่อนเฮียแดงอีกนะ ขอร้องล่ะ” แม่เอ่ยทั้งน้ำตารื้น
‘ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าแม่ไปหลงรักพ่อที่ตรงไหน ทำไมต้องอดทนขนาดนั้น’
“อยู่บ้านก็น่าเบื่อ มึงเลี้ยงลูกประสาอะไรให้มาเถียงกู ต่อว่ากูฉอด ๆ”
ผู้เป็นพ่อเดินไปถึงหน้าประตูรั้วพลางตะโกนด่าทอมนต์ลดาให้เจ็บช้ำน้ำใจ
“นี่พ่อ เอาเงินไปจ่ายหนี้นะ ไม่ใช่ไปสร้างหนี้เพิ่ม” มนต์ลดาตะโกนตามหลัง ใบหน้าร้อนผ่าว หลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความเหน็ดเหนื่อยของเธอทางบ้านจะเข้าใจสักที มนต์ลดาหยิบมือถือเปิดแอปธนาคารก่อนจะกดโอนให้ผู้เป็นพ่อตามคำที่ผู้เป็นพ่อร้องขอ พลางขอเบอร์เสี่ยทั้งหลายที่บ้านเราติดหนี้อยู่ทั้งหมดจากแม่ เพื่อที่เธอจะเป็นคนจ่ายหนี้ให้กับพวกมันโดยตรง โอนให้พ่อทีไรชอบเอาไปหมุนก่อนแล้วก็หมดทุกครั้ง และจะย้ำกับพวกมันไม่ให้ปล่อยกู้หรือให้พ่อเล่นอีก แต่ก็ไม่รู้จะทำได้ซักเท่าไรกันเชียว
“หนูไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
มนต์ลดาเดินออกจากบ้านด้วยความอ่อนล้า ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่เหนื่อยเหลือเกิน ที่ใคร ๆ เห็นรอยยิ้มหวาน ๆ ทำงานเหมือนจะสบาย หน้าตาสดใสตามหน้าจอหรือบนเวที แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง เด็กสาวเดินออกจากบ้านด้วยสีหน้าของคนอมทุกข์ อดที่จะโทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับตัวเองไม่ได้ พลันทำให้น้ำตาใสรื้นที่แพขนตางอนสวย
“เจอแต่ละครั้ง ดูคุณจะเศร้าตลอดเลยนะ ยิ้มเป็นแค่เฉพาะบนเวทีหรือไงกัน”
ราเชนทร์พูดขณะลดกระจกรถหรูลงพร้อมกับยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งอย่างกวนอารมณ์ มนต์ลดาแปลกใจที่เห็นคุณราเชนทร์แถวนี้ เพราะเท่าที่เธอรู้บริษัทที่ราเชนทร์ทำงานอยู่ไม่น่าจะใกล้กับบ้านเธอเลย “นี่คุณ…มาได้ยังไงคะ”
“ผมแค่ผ่านมาทางนี้” ราเชนทร์พูดลอยหน้า แล้วเสตาไปทางอื่น
“ที่นี่เนี่ยนะคะ?” มนต์ลดาเสียงสูง ขมวดคิ้วจ้องคนที่แก่กว่าราวกับเค้นหาคำตอบที่ดูจะสมจริงกว่านี้
ราเชนทร์ลงมาจากรถสีแดงเพลิงคันหรู ปรากฏชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งสวมสูทสีกรมดูภูมิฐาน มือหนาพลางเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับหวังจะให้มนต์ลดาขึ้นรถของตน “กำลังจะไปมหา’ลัยฯ เหรอ งั้นให้ผมไป…”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์ไปเองได้” เด็กสาวพูดสวนทันควัน
“แหม อะไรกัน ยังพูดไม่ทันจบประโยคเลยนะ เป็นเด็กเป็นเล็กพูดขัดผู้ใหญ่ได้ยังไงล่ะ” ราเชนทร์ก้มสบตาที่แสนดื้อรั้นของเด็กสาวราวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะหลอมละลายน้ำแข็งก้อนน้อยให้กลายเป็นของเหลวไปเสียตอนนี้
“เอ่อ…น้ำมนต์ขอโทษค่ะ”
“งั้นปะ...ขึ้นรถ…” ราเชนทร์พูดเสียงนิ่ง ด้วยอากาศที่ร้อนนรกแตกของเมืองไทย ชายหนุ่มเริ่มเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว
“ไม่ค่ะ” มนต์ลดาพูดเสียงแข็ง กำมือกระชับกระเป๋าแน่น
“เร็วเข้า…อย่าดื้อ” ราเชนทร์ดุเสียงเข้ม ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่กรอบหน้า
“น้ำมนต์ไม่ได้ดื้อนะ แค่ไม่อยากไปกับคุณ”
“เนี่ยล่ะ แบบนี้เรียกว่าดื้อ เร็วเข้า สายแล้วรถจะติดนะ” ราเชนทร์พูดพลางยกข้อมือดูเวลา เวลาเดียวกันนั้นมนต์ลดานึกได้ว่าเช้านี้มัวแต่มีปัญหากับที่บ้าน ทั้งที่เธอเองก็รีบ และวิชานี้อาจารย์ก็เคร่งมากซะด้วย เพื่อนเธอบางคนมาช้าแค่ห้านาที อาจารย์ไม่ให้เข้าห้อง หนำซ้ำยังล็อกประตูไม่ให้เข้า และหากเธอรอรถประจำทางในเวลาเช่นนี้ก็อาจจะสาย “ก็ได้ค่ะ…” มนต์ลดาพูดเสียงอ่อน ก้าวขึ้นรถยนต์คันหรูของราเชนทร์ พลางถอนหายใจยาวอย่างอ่อนเพลีย
‘หรือว่าปีนี้เป็นปีชงกันนะ เจอแต่เรื่อง’
ราเชนทร์ยิ้มมุมปากอย่างพึงใจกับท่าทางว่าง่ายของมนต์ลดา ขณะที่เด็กสาวขึ้นนั่งบนรถ ราเชนทร์ก้มปิดประตูรถ พร้อมกับเผลอสูดกลิ่นหอมอ่อนของสาวแรกรุ่น เขาพึมพำเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดู “เด็กดี…”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?