ตอนที่ 9วันแรกแสนวุ่นวาย

มนต์ลดานั่งก้มหน้าอ่านเอกสารที่ฝ่ายบุคคลให้ไว้เมื่อสักครู่โดยทั่วไปก็เป็นกฎระเบียบการ เวลาเข้าการทำงาน และประวัติของบริษัทโดยทั่วไป หญิงสาวสะดุดตากับหัวข้อหนึ่ง ‘การแต่งกาย’ สำหรับเด็กนักศึกษาฝึกงาน สามารถแต่งชุดอื่น ๆ ได้ตามปกติ เน้นให้เหมาะสมกับกาลเทศะ และไม่จำเป็นต้องแต่งชุดนักศึกษาในขณะปฏิบัติงานที่บริษัทนอกเหนือจากวันที่ทางบริษัทหรือมหาวิทยาลัยกำหนด

‘นี่มันกฎอะไรกันเนี่ย เราเป็นนักศึกษาฝึกงาน แต่ทำไมให้แต่งชุดอะไรก็ได้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะชอบ แต่สำหรับฉันการที่ใส่ชุดนักศึกษามันก็สะดวกดี ไม่ต้องมานั่งคิดว่าวันนี้ต้องแต่สีไหน แบบนี้จะเหมาะสมไหม’

มนต์ลดาไล่อ่านกฎต่าง ๆ จนเจอหัวข้อค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน นักศึกษาฝึกงานจะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงวันละสี่ร้อยห้าสิบบาท โดยจำนวนเงินดังกล่าวยังไม่รวมค่าล่วงเวลา…

มนต์ลดาอ่านมาถึงตรงนี้เธอรู้สึกแปลกใจ เพราะเท่าที่เธอพอจะทราบมาบริษัทหลายแห่งแค่รับพวกเราเข้ามาฝึกงานและเซ็นให้ผ่านก็แทบจะกราบพี่หัวหน้าแล้ว แต่ที่นี่มีสัญญาการเข้ารับฝึกงานโดยมีเงินเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย

‘นี่สิ บริษัทในฝัน ใครจะว่าฉันเป็นพวกหน้าเงินฉันก็ไม่สนหรอก ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลย แค่เริ่มแรกความรู้สึกที่มีต่อบริษัทที่ฉันฝึกงานก็ทำให้ฉันมีไฟฮึกเหิมแล้ว’ น้ำมนต์ตพอยู่ในห้วงความคิด จนไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังเผลอคลี่ยิ้มอยู่

“อ่านอะไรอยู่จ๊ะ” พี่แก้วเอ่ยทัก

“อ่านกฎของบริษัทค่ะพี่แก้ว”

“จริง ๆ มันไม่มีอะไรพิเศษหรอกจ้า” พี่แก้วดึงเก้าอี้ด้านข้างพลางนั่งคุยกับน้องใหม่อย่างเป็นกันเอง

“ที่นี่เราทำงานแบบสบาย ๆ ไม่เหมือนบางบริษัทที่บอกว่าที่นี่ทำงานแบบครอบครัว แบบพี่แบบน้อง พออยู่ไปสักพักรู้เลยว่าพี่น้องที่เขาพูดนี่แบบ กาสะลองกับซ้องปีบ ไม่ก็แบบมุนิน มุตา” พี่แก้วเอ่ยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วอย่างใส่อรรถรส

“พี่แก้วอารมณ์ดีจังเลยนะคะ”

“จ้ะ ฝึกงานที่นี่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าช่วงไหนที่รู้สึกเครียด โน่นเลย”

พี่แก้วชี้ออกไปทางด้านข้างที่มีกำแพงกระจกล้อมรอบ มนต์ลดามองออกไปเห็นเป็นสวนลอยฟ้าขนาดเล็ก มีดอกไม้หลายชนิด สีสันสดใส พลันรู้สึกสดชื่นแค่เพียงได้มอง

“อะไรคะ”

“เวลาพี่เครียดชอบหิ้วแล็บท็อปออกไปทำงานที่สวนจ้า ที่นี่ดีอย่าง เราจะทำงานตรงไหนของออฟฟิศก็ได้ มุมทำงานสบาย ๆ เยอะมาก ทุกที่มีไวไฟทุกจุด แต่เห็นชิลล์แบบนี้เวลาส่งงานต้องเป๊ะนะ คุณภาพงานต้องคับแก้ว แต่อย่าเพิ่งกังวลไปเลยจ้ะ เดี๋ยวพวกพี่ดูแลหนูเอง” รุ่นพี่สาวระบายยิ้มอ่อนโยน

“ยังไงพี่แก้วแนะนำน้ำมนต์ด้วยนะคะ”

“พี่ก็หาตั้งนาน มาอยู่กับน้องใหม่นี่เอง” เอกรินทร์หัวหน้าทีมเอ่ยเสียงเข้ม

“พอดีแก้วแวะมาเมาธ์กับน้องค่ะ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันเลย”

“ว่าแต่น้องนั่งห้องเดียวกับพวกเราเลย หรือนั่งตรงไหนคะพี่เอก”

“แก้ว เราก็ทำงานมานานแล้วนะ อยู่ทีมเดียวกันก็ต้องนั่งด้วยกันสิ” เอกรินทร์พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะหันไปคลี่ยิ้มให้มนต์ลดาอย่างเป็นมิตร “งั้นพี่เข้าไปรอที่ห้องก่อนนะ เราสองคนก็รีบเข้ามาแล้วกัน”

“น้ำมนต์คิดว่าจะต้องนั่งตรงห้องท่านประธานซะอีก ใจคอไม่ดีเลยค่ะ รู้สึกกดดัน” เด็กสาวพูดพลางทำหน้ายิ้มเจื่อน พี่แก้วอาจจะคิดว่าเธอกดดันเพราะต้องมาเผชิญหน้ากับท่านประธานทั้งที่เธอเป็นแค่เพียงเด็กนักศึกษาฝึกงาน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เด็กสาวรู้สึกกดดันเป็นเพราะสายตาและท่าทางของคุณลุงท่านประธานเสียมากกว่า ยิ่งรู้จักกันนับวันยิ่งมีคำพูดแปลกไปทุกที

“ห้องของทีมเราจริง ๆ ก็ไม่ค่อยใหญ่หรอกนะ เพราะทีมเรามีแค่สามคน”

“ห้องไม่ใหญ่ก็น่าจะดีนะคะ อบอุ่น เป็นกันเองดี…ใช่ไหมคะ?” มนต์ลดาพูดพลางสบตารุ่นพี่ ขณะที่พี่แก้วทำได้เพียงคลี่ยิ้มเบาบางยิ่งกว่าปุยนุ่น จนมนต์ลดารู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ

‘วันนี้ฉันเจอเรื่องเซอร์ไพรส์มาทั้งวันแล้ว คงไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้แล้วมั้ง!?’

“ฝ่ายไอทีน่าจะเอาแล็บท็อปมาให้น้ำมนต์เรียบร้อยละ เราไปห้องของทีมเรากันเถอะค่ะ” พี่แก้วเอ่ยเสียงเรียบ ระหว่างนั้นรุ่นพี่สาวหน้าหมวยแนะนำโซนในการทำงานแต่ละแผนกของชั้น และพื้นที่ส่วนกลางต่าง ๆ มนต์ลดาฟังอย่างตั้งใจ กระทั่งพี่แก้วพาวนกลับมายังที่เดิม

“อ้าว ทำไมพี่แก้วพาน้ำมนต์วนมาที่เดิมล่ะคะ” เธอมองรอบ ๆ อย่างสงสัย

“ก็ห้องทำงานเราอยู่ตรงนี้นี่จ๊ะ” พี่แก้วยิ้มร่าเริงพลางชี้นิ้วไปยังประตูเล็กข้างห้องท่านประธาน ขณะที่มนต์ลดาขมวดคิ้วสงสัย

‘ก็ตรงนี้มันห้องของท่านประธานนี่น่า หรือยังไงกัน?’

“อ๋อ ทีมเราเป็นทีมงานพิเศษ เป็นเหมือนมือขวาของท่านประธานกลาย ๆ จ้ะ เดี๋ยวน้ำมนต์อยู่ไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้เอง” พี่แก้วพูดพลางเปิดประตูห้องพร้อมกับตรงเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเอง

“ถึงติดกับห้องท่านประธาน แต่ก็เป็นส่วนตัวอยู่นะ” ทีม พนักงานหนุ่มหน้าลูกครึ่งสุดติสต์พูดขึ้นมาลอย ๆ พลางพยักหน้าเชิงทักทายน้องใหม่อีกครั้ง ขณะที่มนต์ลดาเดินไปยังที่ว่างที่อยู่ติดกับกำแพงกระจกฝั่งห้องท่านประธาน

“เอ่อ หลังกระจกนี้เป็นห้องของลุง เอ๊ย ของท่านประธานใช่ไหมคะ?” มนต์ลดาพูดเสียงเบาเกือบจะกลายเป็นกระซิบ พลางชี้ไปยังกำแพงกระจกที่มีผ้าม่านมู่ลี่ปิดอำพรางสายตา

รุ่นพี่หนุ่มเหลือบตามองด้วยหน้าติดกวนประสาทพร้อมกับพูดเสียงเรียบ “อื้ม ไม่ต้องกังวลหรอก ตั้งแต่พี่นั่งที่นี่มาก็ไม่เคยเห็นเขาจะ…”

ครืด…

พี่ทีมยังไม่ทันพูดจบประโยค จู่ ๆ ผ้าม่านมู่ลี่ที่เป็นสิ่งเดียวสำหรับกั้นระหว่างห้องทำงานทั้งสองห้องถูกเปิดขึ้น พนักงานในห้องทั้งสามคนรวมถึงมนต์ลดาตกใจจนทำตัวแทบไม่ถูก เป็นเธอที่นั่งอยู่ใกล้ฝั่งห้องท่านประธานมากที่สุดถึงกับนั่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นสลัก เด็กสาวแอบลอบถอนหายใจเบาๆ

‘เอาน่า คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เขาอาจจะเปิดผิดก็ได้’

กริ๊ง… เสียงโทรศัพท์สำนักงานที่โต๊ะมนต์ลดาดังขึ้น เด็กสาวตื่นตระหนกเธอลุกลี้ลุกลนหันซ้ายทีขวาที เอกรินทร์จึงบอกให้รับสายไปได้เลย ไม่ต้องกลัว ใครรับก็เหมือนกัน มนต์ลดาจึงสูดลมหมายใจเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะกรอกเสียงหวานลงไปในสาย “สวัสดีค่ะ”

[คุณ นี่ผมเอง หันมาทางห้องผมสิ] ราเชนทร์เอ่ยด้วยเสียงยียวน

“ค่ะ”

[ทำไมคุยเกร็งกับผมขนาดนี้ หึ] ท่านประธานเอ่ยเสียงใสพลางยิ้มร่า

มนต์ลดาใช้มือป้องโทรศัพท์พลางกระซิบ “คุณเล่นบ้าอะไรคะ?”

[เดินมาหาผมที่ห้องหน่อยสิ]

“ไม่ค่ะ”

[คุณนี่ดื้อจริง ๆ ผมจะสอนงานให้…ก็เท่านั้น]

“ไหนคุณบอกว่าให้พี่ ๆ ในทีมช่วยสอนไง”

[ก็วันนี้ผมเคลียร์งานเสร็จแล้ว ผมว่าง]

“คุณมันคนเจ้าเล่ห์”

[อย่างงั้นเหรอ หึ ไม่เถียง มาหาผมที่ห้องด้วยนะครับ เอาสมุดจดงานมาด้วย]

รุ่นพี่สาวเอ่ยถาม “ท่านประธานโทร.มาเหรอน้องน้ำมนต์” สายตาแก้วอยากรู้อยากใส่ใจจนออกนอกหน้า

“ค่ะพี่แก้ว ท่านบอกว่าให้เอาสมุดจดแล้วเข้าไปหา”

“นี่สมุดจ้ะ น้องน้ำมนต์รีบเข้าไปหาเลยนะ ไปช้าเดี๋ยวท่านจะกริ้ว”

“เขาดุเหรอคะพี่แก้ว” มนต์ลดาพูดพลางแสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้เธอจะรู้จักราเชนทร์มาก่อนหน้าก็จริง แต่นั่นมันก็นอกเวลางาน ทว่าตอนนี้เธออยู่ในฐานะนักศึกษาฝึกงาน เขาอาจไม่ใจดีกับเธอเฉกเช่นก่อนหน้านี้ก็ได้

“จริง ๆ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” แก้วตอบเสียงแผ่วเบา

“อย่าไปหลอกน้อง ท่านประธานไม่ดุ แต่งานเนี้ยบมากกว่า” พี่ทีมเสริม

“งั้นน้ำมนต์ไปก่อนนะคะ” หลังจากที่น้ำมนต์ลุกขึ้นผ้าม่านมู่ลี่ที่กั้นระหว่างห้องก็ปิดลงมาดังเดิม ความปกติสุขของห้องกลับคืนมาอีกครั้ง

“วันนี้ท่านประธานอารมณ์ไหนวะ เปิดม่านมาส่องพวกเรา” เอกรินทร์หัวหน้าทีมหันหน้าถามน้องในทีม

“แก้วว่าท่านประธานต้องจับผิดไอ้ทีมแน่เลย แกน่ะชอบอู้งาน เอาแต่นอน”

“เอ้า พี่แก้วกล่าวหาผมไม่ได้นะ ถึงผมแอบนอนแต่ว่างานของผมไม่เคยเลต ส่งทันตามเดตไลน์ตลอด” ทีมบ่นขณะเขียนงานไปพลาง

มนต์ลดายืนฟังพี่ในทีมพูดคุยกัน เธอยิ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้โชคชะตาของเธอจะดูสับสนวุ่นวายมากในช่วงนี้ โชคยังดีที่พอมีแต้มบุญเหลืออยู่บ้าง การได้เพื่อนร่วมงานที่ดีถือว่าเป็นบุญอันสูงสุดแล้วจริงๆ

มนต์ลดาเคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้าไป เมื่อคุณลุงประธานเอ่ยบอกให้เธอเข้ามาได้ เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความมั่นใจ ทั้งที่เธอทราบดีว่าราเชนทร์ไม่ได้ดุอย่างที่ทุกคนเขาบอกกัน แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ขนาดตัวมนต์ลดาเองเวลาปกติก็เป็นเด็กสาวร่าเริง แต่พออยู่ในบทบาทการทำงาน เธอจะเป็นคนจริงจัง ตั้งใจในหน้าที่ที่เธอได้รับ จนเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ร่วมงานกับเธอยังเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นคนจริงจังต่อการทำงานและมืออาชีพมาก แต่นั่นมันก็เป็นแค่งานนางแบบ งานพิธีกร มนต์ลดายังใหม่กับงานรูปแบบบริษัทอยู่มาก…

มนต์ลดาเปิดประตูเข้าไป ปรากฏภาพชายหนุ่มดูดีสมตำแหน่งท่านประธานนั่งส่งสายตาที่ชวนให้จั๊กจี้หัวใจมายังเธอ

“C’ mon Baby” ราเชนทร์เอ่ยด้วยเสียงขี้เล่น

“นี่คุณ! ฉันขอซื้อไอ้คำว่าคัมมอนเบบี้ไปทิ้งได้ไหม! ฟังแล้วมันขนลุกยังไงชอบกล” เธอพูดพลางลูบตามแขนแล้วขมวดคิ้วยุ่ง

“ขนลุกหรือว่าเขินกันแน่” ราเชนทร์ยกยิ้มมุมปากพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์

“เขินอะไรกัน คุณคิดไปเองทั้งนั้น”

ราเชนทร์ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหามนต์ลดาพลางเชยคางมน ก้มกระซิบที่ข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน “ผมคิดไปเองอย่างงั้นเหรอ ว้า แย่จัง~”

น้ำเสียงนุ่มนวลผสานลมหายใจอุ่นร้อนกระทบซอกคอขาว กลิ่นน้ำหอมแบรนด์ดังจากกายเขาคุกรุ่นจนใบหน้ามนต์ลดาร้อนผ่าว เด็กสาวผลักหน้าอกแกร่งเบา ๆ ก่อนผละร่างออกจากคนฉวยโอกาส

“ท่านประธานเรียกน้ำมนต์มามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เธอนึกถึงเหตุผลที่แท้จริงของการเข้าห้องท่านประธาน เพราะเขาบอกว่ามีงานจะสอน และการได้งานทำก็ดีกว่านั่งมองคนอื่นทำงานเป็นไหน ๆ

“เรียกคุณว่าห่างเหินแล้ว เรียกท่านประธานยิ่งรู้สึกห่างไกลเข้าไปใหญ่เลย” ราเชนทร์มองมนต์ลดาด้วยสายตาที่แปลกไป น้ำเสียงติดน้อยใจอย่างไม่ปิดบัง

“บ่นเป็นลุงเลยนะ…คุณเนี่ย” เธอหลุดขำท่าทางแสนงอนของคนแก่กว่า ที่ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับมาดของท่านประธานเสียจน มนต์ลดาเกรงว่าใครจะเข้ามาเห็นท่านประธานในสภาพนี้แล้วจะเป็นที่ครหาของพนักงานเอาเสียเปล่า ๆ

“ถ้าผมเป็นคุณลุง แล้วคุณเป็นอะไรดีนะ งั้นก็เป็นอีหนูของคุณลุงดีไหม?” ราเชนทร์พูดจาหยอกเย้าพลางลูบเรือนผมนุ่มอย่างเอ็นดู

“คุณน่ะพูดอะไรก็ไม่รู้ หนูอะไรกัน” เธอใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นรัวด้วยคำหวานของเขา แม้เธอรู้ว่าคำหวานไม่ต่างจากยาพิษ ทว่ากลายเป็นตัวของเธอเอง ที่เลือกหยิบยาพิษกรอกเข้าปากโดยไม่สนใจเหตุผล แต่กลับทำตามเสียงหัวใจแทน

“หนูน้ำมนต์ของผม” เขาก้มลงหอมที่กลางศีรษะกลมขณะที่เธอไม่ทันตั้งตัว

“คะ...คุณ เดี๋ยวใครมาเห็นคุณนั่นล่ะจะดูไม่ดี” มนต์ลดาเอ่ยพลางขยับตัวออกจากอ้อมแขนของท่านประธาน

“งั้นเดี๋ยวหนูมาคุยงานกับผมแล้วกัน มาสิ มานั่งตรงนี้”

ราเชนทร์พูดพร้อมกับบริการดึงเก้าอี้หน้าโต๊ะของเขาให้เด็กสาวนั่ง ก่อนที่ตัวเขาจะอ้อมไปนั่งยังเก้าอี้บุนวมประจำตำแหน่ง

“คุณเรียกน้ำมนต์ว่า ‘หนู’ เหรอคะ” มนต์ลดาถามขณะที่ใบหน้าร้อนผ่าวจากความเขินอาย ปกติมนต์ลดาไม่ชอบให้ใครเรียกเธอว่า ‘หนู’ เพราะความรู้สึกเหมือนเด็กของเสี่ยยังไงชอบกล แต่เมื่อคำนี้ออกมาจากปากของคุณราเชนทร์ กลับทำให้หัวใจของมนต์ลดารู้สึกพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอจึงปล่อยให้เขาเรียกอย่างที่เขาอยากเรียกก็แล้วกัน…

ราเชนทร์ยกยิ้มมุมปากแทนคำตอบก่อนจะลูบผมเธออีกครั้ง

“จำเรื่องที่ผมให้คุณเป็นนางแบบคอลเลกชันใหม่ได้ไหม”

มนต์ลดายิ้มรับพร้อมพยักหน้า พลางเปิดสมุดบันทึกหากว่าจำเป็นต้องจดอะไรจะได้ทำได้ทันท่วงที

“พอดีว่าแบบมีปัญหานิดหน่อย ผมจะไปดูพลอยด้วยตัวเองที่ต่างจังหวัด และจะแก้แบบใหม่ด้วย…อยากให้หนูน้ำมนต์ไปที่โรงงานกับผมด้วย”

“ดะ...เดี๋ยวก่อนนะคะ ให้น้ำมนต์ไปด้วยมันจะดีหรือคะ น้ำมนต์เป็นแค่เด็กฝึกงานเองนะคะ”

“เอ๊ะ และเมื่อเช้าใครเป็นคนบอกกับผมเองว่าเด็กฝึกงานก็มีศักยภาพไม่แตกต่างกับพนักงานทั่วไป ขอเพียงได้โอกาสและคำแนะนำที่ดี ผมกำลังเปิดโอกาสให้หนูอยู่นะ”

‘ลุงประธานพูดซะสวยหรูเลย คิดว่าน้ำมนต์รู้ไม่ทันหรือไง อ้างงานแต่จริง ๆ อยากให้ฉันไปด้วยใช่ไหมล่ะ’ น้ำมนต์

“งั้นวันไหนเดี๋ยวคุณบอกน้ำมนต์ล่วงหน้าแล้วกันนะคะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบ

“ทำไมวันนี้ไม่ค่อยดื้อเลย” ราเชนทร์ขมวดคิ้วแปลกใจ การที่เขาให้เธอไปต่างจังหวัด ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเด็กสาวน่าจะขัดขืนเขามากกว่านี้

‘แต่หนูน้ำมนต์ว่าง่ายแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน’ ราเชนทร์คิดพร้อมยิ้มอบอุ่นให้เธอ

“แล้วไม่ดีหรือคะ?” มนต์ลดากระตุกยิ้มพลางเอียงคอเล็กน้อย

‘เวลาดื้อเธอก็น่ารัก แต่เวลาเป็นเด็กดียิ่งน่าเอ็นดู’ ราเชนทร์ที่มองดูการกระทำของเด็กสาวถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง ขยับจัดท่าอยู่หลายครั้ง

“เมื่อครู่คุณเปิดผ้าม่านขึ้นทำไมหรือคะ? เห็นพวกพี่ ๆ ในทีมบอกว่าคุณราเชนทร์ ไม่เคยเปิดมันขึ้นมาเลย” มนต์ลดาเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ตอนที่ผ้าม่านมู่ลี่เปิดขึ้นมานั้น เธอสังเกตความแตกตื่นของรุ่นพี่ในทีมอย่างเห็นได้ชัด

“ผมบอกแล้วไงครับ หนูจะต้องอยู่ในระยะสายตาของผม หลังจากนี้จะเปิดไว้ตลอดเลย” ท่านประธานพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ สายตาจริงจังจนมนต์ลดามองแล้วถึงกับส่ายหน้าเอือมระอา

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ น้ำมนต์มาฝึกงานนะ ไม่ใช่นักโทษ”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย” ราเชนทร์เอ่ยเสียงอ่อน

“งั้นก็แล้วแต่คุณแล้วกันค่ะ น้ำมนต์ไม่เถียงด้วยแล้ว” เด็กสาวเหนื่อยที่ต้องเถียงกับเขา สุดท้ายคุณราเชนทร์เขาก็เป็นท่านประธานของบริษัทนี้ เขาอยากจะทำอะไรก็แล้วแต่ใจเขาละกัน

‘อย่างนี้เรียกว่าคนแก่เอาแต่ใจ ไม่มีผิดเพี้ยนเลยสินะ!?’ น้ำมนต์ผ่อนลมหายใจแล้วส่ายหน้าเบา ๆ

ราเชนทร์หยิบแฟ้มสีดำยื่นให้มนต์ลดาก่อนจะยิ้มด้วยแววตาอบอุ่น “อันนี้เป็นคอลเลกชันที่มีทั้งหมดของบริษัท คุณลองเอาไปศึกษา แล้วลองหาไอเดียว่าหากต้องการออกแบบเครื่องประดับที่ unsexual ใส่ได้ทุกเพศ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของรัชตะ จิล แอนด์ เจมส์ ผมอยากเห็นการนำเสนอและวิธีคิดของคุณว่าออกมาเป็นสไตล์ไหน แล้วสเก็ตช์มือส่งให้ผมเลือกสักสองแบบ ผมขอวันอังคารหน้า เพราะวันพุธผมจะเอาเข้าที่ประชุม” ท่านประธานสั่งงานด้วยเสียงเรียบ

“ได้ค่ะ” เด็กสาวรับปาก หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ฝึกงานวันแรกเธอก็ได้รับมอบหมายให้คิดงานเสียแล้ว มนต์ลดาปลื้มใจที่เขายอมมอบงานที่ดูแล้วน่าจะมีความสำคัญให้เธอแสดงศักยภาพ

“ถ้าติดขัดตรงไหนถามแก้ว เอก และทีมได้เลยนะ ชิลล์ ๆ ไม่ต้องเครียด พยายามดึงความเป็นตัวเองผสานกับเอกลักษณ์ของบริษัท ลองไปหาไอเดียดูครับ”

มนต์ลดาระบายยิ้มอ่อนหวานด้วยนัยน์ตามุ่งมั่น “ขอบคุณมากค่ะ”

เด็กสาวยกมือไหว้ก่อนจะมองหน้าท่านประธานด้วยความรู้สึกดี ก่อนจะออกห้องท่านประธานโปรแกรมไลน์ก็แจ้งเตือนข้อความจากคนที่คุ้นเคย

Rachen : เลิกงานแล้ว ผมขอไปส่งหนูนะครับ

มนต์ลดาไม่ตอบอะไร นอกจากหันกลังไปส่งยิ้มให้กับ ‘คุณลุงท่านประธาน’ก่อนจะออกจากห้องไป…

“น้ำมนต์ เป็นยังไงบ้าง ถืออะไรมาเยอะแยะเชียว” พี่แก้วเอ่ยถาม

“ท่านประธานให้เอาผลงานเก่า ๆ ของบริษัทมาดูแล้วให้คิดงานส่งค่ะ” มนต์ลดาพูดพลางวางแฟ้มเอกสารที่โต๊ะ

“โอโห้ ท่านประธานเราไม่แผ่วจริง ๆ ขนาดน้องมาวันแรกโดนสั่งงานซะแล้ว” เอกรินทร์พูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะแยกเขี้ยวขู่เสียมากกว่าจะเรียกว่า ‘ยิ้ม’

มนต์ลดาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกสติ ก่อนจะนั่งศึกษาข้อมูลจากแฟ้มงานที่คุณราเชนทร์ให้มาอย่างสนอกสนใจ

ครืน…เสียงผ้าม่านมู่ลี่เปิดอีกครั้ง

พี่ ๆ ในทีมต่างหันรีหันขวาง เอกรินทร์รินทร์เริ่มขยับตัวคนเป็นคนแรก มือหนาเส้นเลือดปูดโปนคว้าแฟ้มงานและไอแพด ก่อนจะขอตัวไปทำงานมุมสบาย ๆ ด้านนอก ตามมาด้วยพี่แก้วที่ขอปลีกวิเวกออกไปคิดงานที่สวนหย่อมซึ่งเป็นมุมที่หล่อนชอบ น้องเล็กคนเดียวในทีมสบตากับรุ่นพี่หนุ่มคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ เธอระบายยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องมองพี่แบบนั้นเลย ดูสายตาท่านประธานสิ ขนลุก นั่งอยู่ในห้องตอนนี้ใครจะไปคิดงานออกกันล่ะ น้องน้ำมนต์ พี่ไปทำงานแถวโซนนั่งเล่นที่มีโต๊ะพูลนะ ติดขัดเรื่องงานตรงไหน น้องน้ำมนต์ไลน์เข้ากลุ่มได้เลย พี่ดึงเข้ากลุ่มเรียบร้อยแล้ว” พี่ทีมเอ่ยพร้อมกับรวบเอกสารงานเข้าไว้ในแฟ้ม มืออีกข้างหยิบแก้วกาแฟใบโปรด เตรียมรุดออกจากห้องทำงานไปยังมุมอื่นที่ไม่โล่งแจ้งจนต้องเห็นหน้าท่านประธานตรง ๆ เช่นนี้

“เดี๋ยวก่อนสิพี่ทีม” น้องใหม่ในทีมกวักมือเรียกพี่ทีมก่อนจะได้แค่รอยยิ้มและคำว่า ‘สู้ ๆ นะ’ จากรุ่นพี่หนุ่ม

มนต์ลดานั่งลงยังที่ของเธอก่อนจะหันไปทางห้องของคุณลุงท่านประธานด้วยใบหน้าบึ้งตึง

กริ๊ง…เสียงโทรศัพท์ประจำโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง ท่านประธานทำท่าบอกใบ้ให้เด็กสาวรับโทรศัพท์ แต่เธอแกล้งเมิน พลางหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาบดบังใบหน้าสวยหวานพร้อมกับรอยยิ้มซุกซน ไม่นานนักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สวัสดีค่ะ”

[ใจอ่อนรับสายผมได้แล้วหรือครับหนูน้ำมนต์]

“คุณว่างนักหรือไง?”

[ก็ว่างอยู่นะ…วันนี้]

“แต่น้ำมนต์ไม่ว่าง”

[แล้วหนูทำอะไรอยู่ งานที่ผมสั่งไปเมื่อครู่นี้เหรอ]

“ใช่ค่ะ น้ำมนต์กำลังรีเสิร์ชงานออกแบบในท้องตลาดอยู่ค่ะ”

[ทำถึงไหนแล้ว ผมขอดูหน่อยสิ]

“นี่คุณเพิ่งสั่งไม่ถึงวัน ไหนบอกว่าส่งอาทิตย์หน้าไงคะ”

[ก็จะได้รู้ไงว่าตรงคอนเซ็ปต์ที่ให้ไหม จะได้ไม่ต้องแก้หลายรอบ] ท่านประธานเอ่ยเสียงเรียบ ทำสีหน้าขึงขัง

“น้ำมนต์ยังรวบรวมไม่เยอะพอเลย ยังไงขอทำเป็นตารางก่อนจะได้ตรวจสอบง่าย ๆ คุณรอสักชั่วโมงได้ไหม”

[ครับ]

“คุณราเชนทร์คะ”

[ครับ…ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ]

“จริง ๆ มันก็มีอยู่นะคะ ไอ้ที่เรียกว่าปัญหาน่ะค่ะ”

[ลองบอกสิครับ เผื่อผมช่วยได้]

มนต์ลดานิ่งคิด ‘คุณนั่นล่ะตัวปัญหา พี่ ๆ ในทีมหนีออกไปกันหมด’ เธอทำได้เพียงแค่คิด อย่างไรเขาก็ยังเป็นเจ้านายของเธอ จะผ่านงานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเขา…

“ก็คุณเล่นเปิดผ้าม่านแบบนี้ พี่ ๆ ในทีมหนีไปข้างนอกจนหมดแล้ว”

[จริง ๆ พวกนั้นเขาไม่ชอบนั่งในห้องอยู่แล้ว ผมก็เห็นเขาทำงานตามที่ประจำ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า]

เด็กสาวพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ

[แล้วหนูไม่อยากออกไปทำงานตรงอื่นบ้างเหรอ]

“ให้น้ำมนต์ไปนั่งตรงไหนล่ะคะ ในห้องนี้น่าจะสะดวกที่สุดแล้ว”

[นั่งเล่นห้องทำงานผมก็ได้นะ]

“ไม่คุยด้วยแล้วค่ะ” มนต์ลดาวางสายเรียบร้อยแล้วเธอก็ก้มลงไปหยิบร่มคันเล็กในกระเป๋า ก่อนจะกางมันออกมาวางไว้ที่โต๊ะ หวังจะบดบังสายตาของคุณลุงท่านประธาน มนต์ลดาแอบชำเลืองเห็นใบหน้าของคุณราเชนทร์บึ้งตึงขมวดคิ้วแน่นจนแทบเป็นโบ ‘อยากส่องก็ส่องไปสิ ฉันกางร่มหามุมส่วนตัวก็ได้ ฮ่า…’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ