แสงอรุณรุ่งของวันใหม่สาดส่องเข้าทางหน้าต่างพร้อมๆ กับนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังจนมนต์ลดาต้องรีบลุกขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำนั่นก็คือเปิดเช็คข้อความต่าง ๆ เฉกเช่นที่เคยทำเหมือนทุก ๆ เช้า ทว่าลึกในใจอยากให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียงแค่ฝันไป มนต์ลดายังอยากเห็นข้อความทักทายหวาน ๆ ของเขาตอนเช้า และก่อนเข้านอน ท้ายที่สุดแล้วแม้คุณราเชนทร์จะใจร้ายกับเธอมากเพียงไร แต่มนต์ลดาก็ยังอยากให้เขากลับมาเป็นคนรักที่แสนดีของเธอเช่นเดิม ปัญหาของเด็กสาวตอนนี้คือการที่ราเชนทร์ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อมนต์ลดาในขณะที่ทั้งสองคนจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
‘จริง ๆ แล้วความลำบากใจมันต้องเกิดขึ้นกับเขาสิ ไม่ใช่คนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างฉัน’ เมื่อมนต์ลดาคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวระบายยิ้มอ่อนอย่างมีความหวัง ก่อนจะรีบอาบน้ำ แต่งตัวเตรียมรับมือกับผู้ชายใจร้าย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะอดทนสู้ให้ถึงที่สุด ต้องเป็นเขาที่ยอมรับว่าเข้าใจเธอผิดยอมขอโทษเธอให้จงได้...
บรรยากาศที่บ้านเกริกก้องรัชตะบนโต๊ะอาหารเช้ามื้อนี้ เต็มไปด้วยความอึมครึม อึดอัด อย่างที่มนต์ลดากังวลใจไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ราเชนทร์นั่งประจำที่ด้วยใบหน้าเย็นชาเขาดูหล่อเหล่าสมวัย แต่งตัวภูมิฐานสง่าสมกับเป็นประธานบริษัท แต่สีหน้าแววตาของราเชนทร์ช่างไร้อารมณ์ราวรูปปั้นสลักในพิพิธภัณฑ์ ดูดี สูงส่งแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ รอยยิ้มของเขาที่เคยมีให้เธอบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจเหลือเพียงความเฉยชา พอ ๆ กับแววตาที่ดูว่างเปล่าไร้ความเสน่หาใด ๆ โชคยังดีที่เขาไม่มีโอกาสได้แผ่รังสีอำมหิตใส่เธอได้นานนัก คุณรินทร์วดีเดินมายังโต๊ะรับประทานอาหารเสียก่อน เช้านี้เจ้าหล่อนแต่งตัวดูสวยสง่าด้วยชุดสูทสีครีมเข้ากับกระโปรงสั้นคลุมเข่า เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นระย้าลูกไม้สีชมพูกลีบบัว ดวงหน้าสวยสะพรั่ง ผิดจากครั้งแรกที่มนต์ลดาเห็นเพราะเครื่องสำอางที่แต่งเติมใบหน้าของรินทร์วดีเสริมให้หล่อนดูสวยสะกดสายตา
“ว้าว ชุดนักศึกษาหรือคะ พี่วดีเข้าใจผิดคิดว่าน้องน้ำมนต์เรียนจบแล้วซะอีก” รินทร์วดีพูดพลางหย่อนสะโพกลงที่นั่งข้างมนต์ลดา ด้วยใบหน้าสดใสแตกต่างจากบรรยากาศก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“ตอนนี้น้ำมนต์ฝึกงานอยู่ ถ้าฝึกงานนี้จบก็ต้องส่งรายงานให้ทางมหาลัยฯ ก็น่าจะเรียบร้อยแล้วค่ะ” มนต์ลดาระบายยิ้มอ่อนก่อนต้องหุบยิ้มฉับ เมื่อราเชนทร์ส่งสายตาเย็นชาราวกับมีไอรังสีกดดันบางอย่างแฝงมากับแววตาคู่นั้น
“ถ้าจบนะ” ราเชนทร์พูดเสียงเข้ม นั่งวางมาดพลางแสยะรอยยิ้มร้ายกาจ
“นี่คุณ...” เธอขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะก้มหน้างุด จะให้เธอไปเถียงหรือต่อกรอะไรกับเขาได้ ในเมื่อเขาเป็นถึงท่านประธานของบริษัท ส่วนเธอนะหรือ เป็นแค่เด็กฝึกงานตัวเล็ก ๆ ที่เขากักตัวไว้เท่านั้น…
“พี่เชนอะไรกันคะ ทำไมต้องปั้นหน้าตาน่ากลัวใส่น้องน้ำมนต์แบบนั้นด้วย ฝึกงานที่บริษัทพี่เชนแล้วจะไม่จบได้ยังไงล่ะ จริงไหม?”
รินทร์วแฝดเสียงดุใส่พี่ชาย หล่อนหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ก่อนจะหันกลับมาแย้มยิ้มให้กับมนต์ลดาอย่างจริงใจ
“เก่งนะ ไปทำยังไงให้วดียอมรับได้ ขอชื่นชม” ราเชนทร์ยังไม่หยุดพ่นคำเสียดแทงใจใส่เด็กสาว ทว่ามนต์ลดากลับทำเพียงลอบสบตาเขาแล้วถอดถอนหายใจยาวอย่างระอา
“เช้านี้ไปกินรังแตนที่ไหนมาคะ ดูพูดกับน้องน้ำมนต์แต่ละคำมันน่าให้มาอยู่ด้วยไหม น้องน้ำมนต์เราสองคนหนีออกไปอยู่ที่อื่นกันไหม พูดจาแบบนี้ไม่ต้องอยู่ด้วยหรอก” รินทร์วดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน ทว่าเจ้าหล่อนกลับส่งสายตาดุดันเจือความไม่พอใจอย่างถึงที่สุดไปยังพี่ชายตัวดี
“นี่พี่เองนะ…” ราเชนทร์ส่งเสียงเข้มปรามน้องสาว
“ก็จริงนิคะ เป็นวดีต้องอยู่กับคนที่ไม่รัก…สู้ให้วดีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า”
“น้ำมนต์ไปอยู่ที่อื่นได้ใช่ไหมคะ” เมื่อมนต์ลดาเห็นว่ารินทร์วดีเข้าข้างเธอ เด็กสาวก็พยายามใช้ช่องว่างเล็ก ๆ นี้เพื่อหาทางหลบหนีจากกรงสีชมพูนี้
“ไม่ได้” ราเชนทร์เอ่ยเสียงเข้มทำเอาเด็กสาวรีบก้มหน้างุดด้วยความกริ่งเกรง
“ถ้าพี่เชนยังไม่หยุดทำหน้าตึง ต่อจากนี้วดีจะไม่ลงมากินข้าวกันพี่อีกนะคะ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาอึมครึมอีกครั้งจนรินทร์วดีรู้สึกอึดอัด หล่อนสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างความสัมพันธ์ของพี่ชายกับว่าที่น้องสะใภ้ที่เริ่มไม่ชอบมาพากล แม้ว่าหล่อนจะรู้จักมนต์ลดาเพียงไม่นานแต่เด็กสาวก็ทำให้รินทร์วดียอมเปิดใจให้โดยง่าย ‘นี่สินะที่เรียกว่าถูกชะตากัน’
“เมื่อก่อนวดีไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนที่เข้ามาวุ่นวายกับพี่ แต่กลับน้ำมนต์ทำไมถึง...” ราเชนทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ที่ผ่านมาไม่ว่าราเชนทร์จะคบหาดูใจกับผู้หญิงคนไหน หญิงสาวส่วนใหญ่ก็จะมาตกม้าตายตอนเจอรินทร์วดี เห็นน้องสาวเขาอ่อนหวานใจดี ดูเป็นมิตรเช่นนี้ แท้จริงแล้วหล่อนเป็นคนที่ห่วงพี่ชายมาก ด้วยความที่เราสนิทสนมดูแลกันมาแต่เด็ก
“ไม่เหมือนกันค่ะ น้องน้ำมนต์น่ารักกว่าคนพวกนั้น” รินทร์วดีตอบด้วยเสียงหนักแน่น แม้หล่อนจะรู้จักเด็กสาวเพียงไม่นาน แต่ด้วยความที่หล่อนเจอคนมาเยอะ โดยเฉพาะบรรดาผู้หญิงของพี่ชาย ทำให้รินทร์วดีพอจะมองจุดประสงค์ที่แอบแฝงของหญิงสาวพวกนั้นออก
“ไม่ทันไรเข้าข้างกันซะแล้ว สงสัยงานนี้พี่คงกลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วมั้ง” ราเชนทร์กระตุกยิ้มอย่างชอบใจ พลางเอ่ยตัดพ้อน้องสาวพร้อมตักข้าวต้มใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
“ใครจะไปรักคนอื่นมากกว่าพี่ชายล่ะคะ นอกเสียจาก....”
“นอกจากอะไร” ราเขนทร์เลิกคิ้วสูงอย่างการสงสัย
“นอกจากพี่เชนจะทำตัวไม่น่ารักกับน้องน้ำมนต์ยังไงล่ะคะ” รินทร์วดีเอ่ยเสียงแข็ง หรี่ตาจ้องพี่ชายจนเขาสำลักตามด้วยท่าทางเลิกลั่กมีพิรุธ แม้ท่านประธานจะพยายามเก็บอาการสักเพียงใด แต่ความที่รินทร์วดีเป็นน้องสาวอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็กก็พอจะมั่นใจได้ว่า ทั้งน้องน้ำมนต์และพี่เชนต้องมีปัญหากันอย่างแน่นอน
ตั้งแต่คุณรินทร์วดีมายังโต๊ะอาหาร บรรยากาศรอบตัวระหว่างเราทั้งสองคนก็แปรเปลี่ยนไป ใบหน้าไร้อารมณ์ของราเชนทร์ผุดรอยยิ้มน้อย ๆ แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเจ็บช้ำในใจของมนต์ลดาให้ปวดร้าวมากขึ้น คุณราเชนทร์ทำทุกอย่างเหมือนระหว่างเราไม่เคยมีความบาดหมางใจกันมาก่อน
หลังจากทานอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยมนต์ลดารีบหยิบเอกสารพร้อมกระเป๋าเดินตามราเชนทร์ไปยังรถหรูที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ก่อนจะยืนนิ่งจ้องมองเขาโดยที่ยังไม่กล้าก้าวเข้าไป ความรู้สึกที่เธอมีให้เขามันสับสนเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ส่วนเรื่องที่เธอเคยทำจะเหมือนเป็นเรื่องปกติง่าย ๆ อย่างการขึ้นรถของเขา กลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนต์ลดาในตอนนี้ เด็กสาวลำบากใจในยามต้องเข้าใกล้เขา เมื่อครู่เด็กสาวยังมีรินทร์วดีที่คอยพูดคุยให้บรรยากาศรอบตัวไม่ดูอึมครึม อย่างไรก็ตามมนต์ลดาต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไม่มีใครอยู่ช่วยเหลือเธอได้ตลอด นอกจากตัวของเธอเอง กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าราเชนทร์คิดอะไรอยู่ถึงให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของเขาแทนที่จะต่างคนต่างใช้ชีวิต
ราเชนทร์ลดกระจกฝั่งข้างคนขับลงจนเห็นใบหน้าหวานที่เจือความกังวลหลุบตามองพื้นอย่างคิดไม่ตก “จะยืนจ้องอีกนานไหม”
“ขะ ขอโทษค่ะ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงตะกุกตะกักก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดรวบรวมความกล้า แล้วเปิดประตูรถแทรกตัวเข้าไปนั่ง โดยทำตัวให้เล็กและเงียบที่สุดราวกับฝุ่นควัน ทว่าสิ่งที่น่าอึดอัดยิ่งกว่ากลับเป็นการแสดงออกของราเชนทร์ที่ทำเหมือนเธอไร้ตัวตน เขาคงมองเธอเป็นอากาศธาตุไปแล้วจริง ๆ สินะ
การเดินทางจากบ้านของคุณราเชนทร์มาถึงบริษัทในวันนี้ใช้เวลาเร็วกว่าที่มนต์ลดาคิด เธอมาถึงบริษัทเจ็ดโมงสี่สิบห้านาที ซึ่งเป็นเวลที่เช้ามากเมื่อเทียบกับเวลาเข้างานเก้าโมงตรง เมื่อรถยนต์คันหรูเทียบเข้าจอดที่ลานจอดรถหน้าบริษัทเด็กสาวรีบปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันไปเปิดประตูรีบลงจากรถ หมายมาดออกไปให้ไกลจากเขาเสียที
“จะรีบไปไหน?” ราเชนทร์รีบท้วงเมื่อมนต์ลดากำลังจะเปิดประตูรถออกไปโดยไม่พูดกับเขาสักคำ
“ก็ไปทำงานยังไงล่ะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ” ราเชนทร์เอ่ยเสียงอ่อนพลันให้เด็กสาวใจกระตุกวูบหันมาสบตาเขาก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยอย่างกระต่ายช่างสงสัย
“ยังเช้าอยู่เลย” ประธานหนุ่มลูบท้ายทอยแก้เก้อ วันนี้ดูไม่เหมือนตัวเขาเสียเลย เก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก
“คะ?”
“คือ...ผมอยากกินกาแฟ”
มนต์ลดายิ้มรับเธอเห็นท่าทางแปลก ๆ ของคุณลุงท่านประธานทำให้เธออดที่จะนึกถึงสมัยที่รู้จักกันใหม่ ๆ ไม่ได้ เมื่อก่อนคุณราเชนทร์ก็ทำท่าทางแปลก ๆ เช่นนี้
“ได้ค่ะ ร้านเดิมใช่ไหม เดี๋ยวน้ำมนต์เอาขึ้นไปให้นะคะ” เด็กสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบหันไปตั้งใจรีบออกไปร้านกาแฟที่เจ้านายหนุ่มต้องการ ทว่าข้อมือบางกลับถูกเขารั้งไว้พลันสร้างความประหลาดใจให้กับเด็กสาว
“ผมจะไปด้วย”
“แต่...” แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ราเชนทร์เผยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ก็ทำให้มนต์ลดารู้หวั่นไหวระคนสับสน ราวกับดอกไม้ริมทางที่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง แม้จะได้เพียงหยาดละอองน้ำ ก็ทำให้ดอกไม้ที่เฉากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทำไมคุณไม่ขึ้นไปรอข้างบนล่ะคะ”
ราเชนทร์เหลือบตามองเด็กสาวก่อนจะทำสีหน้ายียวนแล้วยกคาปูชิโน่ร้อนขึ้นมาดื่มอย่างไม่ยี่หระ ในเวลาเดียวกันเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทของโทรศัพท์มนต์ลดาก็ดังขึ้น ปรากฏข้อความของคุณณภัทรที่ส่งมาทักทายยามเช้าเฉกเช่นทุกวัน เด็กสาวระบายยิ้มบาง บนดวงหน้าหวานก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างง่าย ๆ โดยที่เด็กสาวไม่รู้เลยว่าในตอนนี้มีสายตาพิฆาตจ้องมองเธอราวจะกินเลือดเนื้อ
“แหม ดูมีความสุขจังเลยนะ” ราเชนทร์เอ่ยน้ำเสียงฟึดฟัด สีหน้ากรุ่นโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“คุณหมายถึงอะไรคะ”
“นั่งอยู่กับผัว ยังมีหน้าระริกระรี้คุยแชทยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ กับผู้ชายคนอื่นอีก” ประธานหนุ่มเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามสะกดกลั้นความหึงห่วง ทว่ากลับยิ่งทำท่าทางฮึดฮัด จนคนฟังจับสังเกตได้ว่าเขากำลังหึงเธอจนออกนอกหน้า
“พูดจาอะไรน่าเกลียด และคุณณภัทรก็ไม่ใช่คนอื่นเขาเป็นเพื่อนของน้ำมนต์”
ราเชนทร์วางแก้วกาแฟ ก่อนจะใช้มือหนาบีบปลายคางอย่างไม่เบามือ
“ต้องให้ย้ำไหม...ว่าเราเป็นอะไรกัน”
“เป็นลูกหนี้ไงคะ คุณคิดกับน้ำมนต์แค่นั้น…ไม่ใช่เหรอ” มนต์ลดาตั้งใจจะยียวนกวนใจเขา ยิ่งเห็นท่าทางที่บ่งบอกได้ชัดว่าคุณลุงท่านประธานหวงเธอ ก็ยิ่งทำให้ต่อมความขี้แกล้งของเธออยากทำงานขึ้นมาเสียดื้อ ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีความรู้สึกกับเธอบ้างไม่ใช่เย็นชาเป็นเจ้าชายน้ำแข็งอย่างที่ผ่านมา
“นี่...”
“ทำไมคะ หรือไม่จริง ถ้าคุณยังคิดว่าน้ำมนต์เป็นเมีย คุณก็คงไม่ทำตัวใจร้ายกับน้ำมนต์ขนาดนี้หรอกค่ะ” เธอเอ่ยเสียงอ่อนตัดพ้อ สายตาน้อยใจอย่างไม่ปิดบัง
“ได้ ถ้าหนูอยากจะคิดว่า การที่ผมให้หนูมาอยู่ที่บ้านอย่างเปิดเผยเพราะผมจะให้หนูมาอยู่ขัดดอก งั้นก็ช่วยทำตัวเป็นนางบำเรอให้สมราคาหน่อยสิ”
แทนที่เขาจะเข้าใจเธอบ้างแต่ราเชนทร์กลับยิ่งพูดจาประชดกลับ
“พูดจาร้ายกาจแบบนี้อีกแล้วนะ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอด
“เพราะหนูเองนั่นล่ะ ที่ทำให้ผมต้องทำตัวแบบนี้” เขาเอ่ยเสียงอ่อน
“นิสัยเสียเองแล้วโทษคนอื่นเหรอคะ”
“ผมไม่คุยกับหนูแล้ว” ราเชนทร์ละมือจากปลายคาง หันหนีเสียอย่างนั้น
“นั่นยังไงคะ ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าคุณน่ะ นิสัยเสีย” เด็กสาวเอ่ยแซวพลางหัวเราะคิกคักยิ้มหวานชอบใจ
“วันนี้ผมมีนัดอะไรบ้าง?” ราเชนทร์พยายามเอ่ยหาเรื่องคุยกับเด็กสาวจึงอ้างเรื่องงานเพื่อให้เธอเลิกหัวเราะแซวเขา
“ทำไมคุณไม่ถามพี่ประกายดาวละคะ หนูไม่ใช่เลขาคุณ”
“งั้นก็เป็นซะสิ…หลังจากนี้ หนูน้ำมนต์เป็นผู้ช่วยเลขาแล้วกัน” ท่านประธานเอ่ยน้ำเสียงเรียบ ทว่ามีความจริงจังอยู่ในน้ำเสียงและสายตา ใช่แล้วเขากำลังแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เพิ่มให้กับมนต์ลดาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างผู้ใหญ่เอาแต่ใจ
“แบบนั้นได้ยังไงคะ”
“แล้วทำไมจะไม่ได้” เขายกคิ้วสูงอย่างยียวน
“งานที่น้ำมนต์ออกแบบไว้เพื่อเข้าร่วมประกวดในบริษัทเดือนหน้าก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ไหนจะงานที่ต้องทำกับทีมงานอีกเยอะแยะ หนูเป็นนักศึกษาฝึกงานนะคะ เผื่อคุณจะลืมข้อนี้ไป”
“หนูก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิมนั่นล่ะ” ท่านประธานยังคงไม่ยอมอ่อนให้เด็กดื้ออย่างไรเสีย เขาก็จะดึงตัวหนูมนต์ลดาเข้ามาอยู่ใกล้เขาโดยใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้าง อย่างที่เขาชอบทำมาตลอด
“คุณราเชนทร์หมายถึงยังไงคะ”
“ทำทุกอย่างเหมือนเดิมแต่คอยประสานคิวงานและเรื่องส่วนตัวของผมกับคุณดาว”
“คุณลุงท่านประธานค่ะ น้ำมนต์ไม่ใช่เครื่องจักรจะให้ทำงานเยอะขนาดนั้น” เธอเค้นเสียงเข้ม หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบ
“ผมให้เงินเดือนสองเท่า เบี้ยขยันต่างหาก ทำงานนอกเวลามีพิเศษเพิ่มให้”
เมื่อมนต์ลดาได้ยินสิ่งที่เขาเสนอให้เด็กสาวก็ระบายยิ้มเต็มดวงหน้าจนดวงตาเล็กหยี๋ ตอบรับเสียงสดใส “ได้ค่ะ น้ำมนต์จะตั้งใจทำงานอย่างดีเลย”
“ผู้หญิงหน้าเงิน” ราเชนทร์บ่นอุบ ทว่าแววตานั้นกลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
“ยอมรับค่ะ ทำงานเพื่อเงินจะได้ปลดหนี้คุณไว ๆ ไงคะ”
ราเชนทร์หุบยิ้มฉับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ใบหน้าบึ้งตึง “อยากหนีพ้นขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จริง ๆ แล้วน้ำมนต์ไม่ได้เป็นหนี้คุณคนเดียวสักหน่อย ยังไงก็ต้องพยายามหาเงินไปปลดหนี้ ชีวิตก็แบบนี้ล่ะเนอะ อีกไปนานเดี๋ยวก็สบายแล้วอดทนเอาหน่อย” เด็กสาวบ่นพึมพำ พร้อมกับให้กำลังใจตัวเองจะได้มีกำลังใจหาเงินปลดหนี้ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครใช้เรื่องเงินมาบีบบังคับให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรตามใจชอบกันได้อีก
“แล้วมีหนี้อะไรที่ไหนอีก”
เธอพยายามปิดเงียบ เม้มปากแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีเสียอย่างนั้น
“หนูน้ำมนต์ถึงเวลาต้องบอกผมให้หมดแล้ว”
ขณะที่หนูมนต์ลดากำลังถูกเขาไล่ต้อนให้เล่าเรื่องหนี้สิน จู่ ๆ เธอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ราเชนทร์มีประชุมกับบอร์ดบริหาร เด็กสาวจึงใช้โอกาสนี้ตัดบทสนทนา
“แต่วันนี้คุณมีประชุมตอนสิบ โมงนะคะ คุณไม่มีเวลาอยู่คุยกับหนูหรอก”
“ได้งั้นบ่ายนี้เรามีเรื่องต้องคุย…เตรียมตัวได้เลย”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเข้าหน้าบริษัทชายได้มีชายชุดสีดำราวสามคนร่วมด้วยหนุ่มใหญ่ใส่เสื้อสีเขียวเข้มลายโซ่ กับสร้อยทองเส้นใหญ่ส่องสะท้อนแสงเหลืองอร่าม ยืนดักรอมนต์ลดาอยู่ราวกันรู้เวลา
“เสี่ยอู๊ด” มนต์ลดาพึมพำหน้าถอดสี เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้ต้องจ่ายหนี้ให้เสี่ยอู๊ด ตั้งแต่วันก่อนก็มีแต่เรื่องเธอยังไม่ทันได้เอาเช็คไปขึ้นเงินเลยด้วยซ้ำ อย่างไรเสียนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่กำหนดจ่ายเงิน และยังช่วงเช้าอยู่แท้ๆ เสี่ยอู๊ดทำไมต้องรีบมาเก็บหนี้ด้วยตัวเอง หรือจะมีแผนอะไรสกปรกอีกนะ
“ดีใจนะที่หนูน้ำมนต์…ยังจำเสี่ยอู๊ดได้” เสี่ยอู๊ดไม่พูดเปล่า ใช้ฝ่ามือหยาบ มาลูบแก้มนวลของน้ำมนต์อย่างไร้ยางอาย
ราเชนทร์เห็นการกระทำอุกอาจนั้น เขาโมโหเลือดขึ้นหน้าอยากจะกระชากคอเหี่ยว ๆ ของมันแล้วกระหน่ำต่อยให้หายแค้น กล้าดีอย่างไรถึงใช้มือสกปรกมาแตะพวงแก้มคนของเขาได้ ท่านประธานหนุ่มดึงตัวน้ำมนต์ให้หลบหลังตนเพื่อให้พ้นจากชายแปลกหน้าผู้นี้
“คุณเป็นใคร แตะตัวคนของผมทำไม?” ราเชนทร์ถามเสียงแข็ง แววตาดุดันด้วยความโกรธ
“ก็มารับตัวหนูน้ำมนต์ไปอยู่ด้วยกันยังไงล่ะ จะสักสองคืนหรือสามคืนดีนะ” เสี่ยอู๊ดพูดพลางสบตามนต์ลดาด้วยสายตาหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง ทำให้คนถูกมองรู้สึกหวาดผวาใบหน้าสวยซุกวงแขนแกร่งของราเชนทร์อย่างลืมตัว กระทั่งเด็กสาวเริ่มได้สติว่าคุณราเชนทร์ก็ไม่ต่างจากคนแก่ตัณหากลับพวกนี้คิดแต่จะให้เธอเอาตัวเข้าแลกขัดดอก ไม่ก็อยู่เป็นนางบำเรอสนองราคะ มนต์ลดาจึงรวบรวมความกล้าเผชิญหน้ากับเสี่ยอู๊ด ในเมื่อเธอมีเงินที่จะใช้หนี้แล้วเหตุใดต้องหลบอยู่หลังผู้อื่นหนีปัญหาเช่นนี้
‘รีบใช้หนี้ไปเสียจะได้สิ้นเรื่อง สิ้นราว’
“น้ำมนต์ว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะคะ เดี๋ยวจะรีบไปขึ้นเช็คแล้วคืนให้เสี่ยอู๊ดภายในวันนี้” มนต์ลดาต่อรองเสียงหนักแน่น ทว่าเสี่ยอู๊ดกลับยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงที่จริงกว่าเธอหลายเท่านัก
“เสี่ยจะเอาตอนนี้ ถ้าหนูไม่มีเงินคืนงั้นก็มาให้เสี่ยอู๊ดกอดตอนนี้เลยเป็นไง ถือเป็นดอกเบี้ยที่เสี่ยต้องมารับหนูถึงที่นี่” เจ้าหนี้พูดพลางเดินเข้ามาประชิดตัวหนูมนต์ลดา มันแสยะยิ้ม อ้าวงแขนกว้างหมายมาดจะโอบกอดเธอให้สมกับที่หมายปองมาตั้งแต่หนูมนต์ลดายังเป็นเยาว์วัย
“เท่าไร?” ราเชนทร์แผดเสียงดุดัน พลางกระชากหนูมนต์ลดากลับมาสู่อ้อมแขนของตนด้วยความหึงหวง ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยไฟโทสะเริ่มปะทุ
“คุณราเชนทร์ไม่เป็นไรค่ะ น้ำมนต์ตั้งใจจะคืนเสี่ยอู๊ดอยู่แล้ว” มนต์ลดาเอ่ยเสียงสั่น กระนั้นเจ้าของอ้อมกอดกลับไม่สนใจคำที่เธอเอ่ย
“ถามว่า น้ำมนต์ติดเงินคุณอยู่เท่าไร” ราเชนทร์เค้นเสียงถาม
“ต้นสี่หมื่น ดอกอีกสี่พัน” เสี่ยอู๊ดตอบด้วยเสียงไม่พอใจ
“ได้ เดี๋ยวผมเขียนเช็คเงินสดให้คุณตอนนี้เลย”
“ก็พอดูออกว่าคุณรวยนะ แต่ผมมาเก็บเงินด้วยตัวเองเกรงว่าจะไม่สะดวกรับเช็คเงินของคุณหรอก” เสี่ยอู๊ดพูดเสียงยียวน แววตาขุ่นเคือง เขามั่นใจว่าเด็กสาวต้องไม่มีทางหาเงินมาจ่ายได้ในเวลากระชั้น เมื่อถึงวันที่นัดชำระหนี้เสี่ยอู๊ดรีบตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัวเลือกทองเส้นใหญ่สะท้อนแสงใส่เพิ่มความรวยหมายมาดรับเด็กสาวไปอยู่ด้วย ทว่ากลับเจอชายผู้นี้ยื่นเงินฟาดหน้า ชดใช้หนี้แทนทำให้เสี่ยอู๊ดเสียหน้า
“งั้นตามผมเข้ามาในบริษัท เดี๋ยวผมเอาเงินสดให้”
แม้เสี่ยอู๊ดจะดูเหมือนไม่พอใจที่วันนี้อาจไม่ได้ตัวของมนต์ลดากลับบ้านด้วย แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกลับไป
ราเชนทร์พาเจ้าสัวไปยังห้องทำงานส่วนตัว โชคยังดีที่วันนี้เลขาของเขามาทำงานตั้งแต่เช้าจึงช่วยประสานงานเรื่องต่างๆ ให้เขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ราเชนทร์ไม่ชอบหน้าเสี่ยคนนี้ เขาเกลียดสายตาที่มันจ้องมองหนูมนต์ลดาราวกับหมาป่าที่เจอชิ้นเนื้อพร้อมจะฉีกกระชากเมื่อเหยื่อกำลังอ่อนแอ ราเชนทร์เกลียดทุกคนที่มายุ่งกับคนของเขาและไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เขาก็จะผลักคนพวกนี้ออกไปให้พ้นสายตาให้เสียจงได้
มนต์ลดารออยู่ในภายห้องทำงานตามที่คุณราเชนทร์สั่ง ราเชนทร์ไม่ต้องการให้เธออยู่ใกล้เสี่ยอู๊ด ถึงตอนนี้เด็กสาวทำอย่างไรได้ นอกเสียจากเป็นเด็กดีเชื่อฟังเขา ในเวลานี้ไม่ว่าเธอหันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่ ‘เจ้าหนี้’ สภาพจิตใจของเธอบอบช้ำจนถึงขีดสุด ความหวังเดียวที่จะให้เธอหลุดพ้นเรื่องวุ่นวายนี้ไปได้คือ ‘เงิน’
มนต์ลดาต้องรีบหาเงินให้เยอะที่สุดในเวลาอันสั้นเท่านั้น จึงจะรอดพ้นวงจรอุบาทว์นี่เสียที คำพูดของคุณรินทร์วดีที่คุยกับเธอเมื่อวานเหมือนดังก้องเข้ามาในหัว การที่รินทร์วดีทาบทามให้เธอเข้ามาอยู่ในสังกัดโมเดลลิงของหล่อน อาจทำให้เธอมีงาน มีเงินเพิ่มขึ้น เธอไม่รอช้ารีบเปิดโปรแกรมแชทส่งข้อความด้วยความหวัง
Monlada : สวัสดีค่ะ คุณวดี น้ำมนต์รบกวนหน่อยสิคะ
Rinvadee : จ้า มีอะไรให้พี่ช่วยไหม?
Monlada : น้ำมนต์ตกลงเข้าโมเดลลิงของคุณวดีนะคะ
Rinvadee : ดีจัง เพื่อนพี่ต้องดีใจมากแน่ ที่น้องน้ำมนต์มาเป็นนางแบบให้
Monlada : ถ้าเซ็นสัญญาแล้วเริ่มงานได้ตอนไหนคะ น้ำมนต์พร้อมนะคะ แต่ติดแค่ตอนนี้น้ำมนต์ฝึกงานกับคุณราเชนทร์อยู่ค่ะ สิ้นเดือนหน้าถึงจะจบฝึกงาน
Rinvadee : เรื่องงานที่บริษัทไม่น่าจะมีปัญหาหรอก ยังไงเลิกงานเย็นนี้เราดินเนอร์กันสักมื้อดีไหม เดี๋ยวพี่จะพาเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนไปแนะนำให้รู้จัก
Monlada : น้ำมนต์ไม่แน่ใจว่าคุณราเชนทร์เขาจะสะดวกไหม? เพราะยังไงก็จำเป็นต้องกลับกับเขา
Rinvadee : เรื่องพี่เชนไม่ต้องกังวล พี่วดีจัดการเอง
Monlada : ขอบคุณมากเลยนะคะที่ให้โอกาสน้ำมนต์ ถ้ามีอะไรที่พอจะให้น้ำมนต์ตอบแทนได้ คุณวดีบอกมาได้ตลอดเลยนะคะ
Rinvadee : จริง ๆ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งนะ
Monlada : เรื่องอะไรคะบอกน้ำมนต์มาได้เลยค่ะ
Rinvadee : น้องน้ำมนต์เรียกพี่ว่า พี่วดี แทน คุณวดีได้ไหมจ๊ะ? พี่เคยฝันมาตลอดว่าอยากมีน้องสาวน่ารัก ๆ สักคน ตอนนี้น้ำมนต์ก็อยู่บ้านด้วยกันกับพี่แล้ว งั้นมาเป็นน้องสาวพี่นะคะ
Monlada : ได้ค่ะ พี่วดี
Rinvadee : งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันนะ
Monlada : พี่วดีขอบคุณมากเลยค่ะ
Rinvadee : ยินดีจ้า วันนี้เซ็นสัญญาเลยแล้วกันนะ
มนต์ลดานั่งอมยิ้มหน้าโทรศัพท์มือถือหารู้ไม่ว่าท่านประธานนั่งจ้องเธออยู่ผ่านกระจกห้องข้าง ๆ อยู่นานแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ สายตาราวกับเขากำลังแผ่รังสีอาฆาตคุกรุ่นแทบจะทะลุกระจก ตามที่เด็กสาวคาดการณ์ไว้อีกไม่ถึงนาทีเดี๋ยวเขาต้องกดโทรศัพท์สายตรงมาที่โต๊ะทำงานของเธออย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกันนั้นเองโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของมนต์ลดาแผดเสียงดังขึ้น เด็กสาวอดอมยิ้มกับท่าทางขี้หวงราวกับเด็ก ๆ ของคุณลุงท่านประธาน อย่างน้อยก็ยังมีความขี้หวงที่ยังเหมือนเดิม เผลอ ๆ ออกจะมากกว่าเดิมเสียอีก
“น้ำมนต์พูดค่ะ” มนต์ลดากรอกเสียงหวาน ทั้งที่ใบหน้ายังระบายรอยยิ้มบาง
“ทำไมรับสายช้า มัวคุยกับใครอยู่” คุณลุงท่านประธานเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกบริเวณหน้าผาก
“คือ...”
“มาหาผมที่ห้องหน่อย” เขาสั่งด้วยเสียงเกรี้ยวกราด
“ให้เอาแบบร่างไปตรวจหรือคะ”
“บอกให้มาก็มาสิ แล้วหยิบโทรศัพท์มาด้วย” ราเชนทร์พูดเสียงเข้มแล้วรีบวางสายไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม
มนต์ลดาเดินเข้าไปยังห้องทำงานของท่านประธานก่อนที่เขาจะสั่งให้ล็อกประตู แม้เธอจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามเหตุผล แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะทำงานราเชนทร์ก็เริ่มต่อว่าและเริ่มกล่าวหาเธอทันที “คุณกำลังอู้งาน”
“ตอนไหนคะ น้ำมนต์ไม่ได้อู้งานนะคะ”
มนต์ลดาโต้แย้งเสียงหนักแน่น ฝ่ามือทั้งสองข้างโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“คุยกับไอ้หน้าหล่อนั่นอีกแล้วใช่ไหม ผมเห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ปล่อยให้ผมนั่งต่อปากต่อคำกับเจ้าหนี้หนูอยู่ตั้งนาน” ราเชนทร์เอ่ยด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ผิดจากท่านประธานคนที่เธอรู้จัก
มนต์ลดากระตุกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างขบขันที่คุณลุงท่านประธานอาการหึงกำเริบ สายตาและรอยยิ้มของน้ำมนต์ทำให้ราเชนทร์ราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดังเหล็กกล้ากลับถูกรอยยิ้มละมุนของเธอหลอมละลายโดยง่าย เด็กสาวเดินทิ้งสะโพกตรงมายังหน้าโต๊ะทำงาน ก่อนจะใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางลงไปขนานกับโต๊ะ สบตาผู้ชายร้ายกาจตรง ๆ อย่างยั่วยวน
“ให้น้ำมนต์ตอบคำถามไหนก่อนดีละคะ ท่านประธานขา”
ท่านประธานหนุ่มสบตาเธอพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจกับท่าทีที่แปลกไปของเด็กสาว แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าหนูมนต์ลดาในท่าทางแบบนี้ยั่วเย้าอารมณ์เขามากกว่าที่เคย
“คิดว่าทำท่าแบบนี้จะยั่วผมได้เหรอ ไม่มีทาง” ราเชนทร์เอ่ยด้วยเสียงเข้ม ทว่าดวงตาสีนิลของเขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้แม้เสี้ยววินาที
“หนูไม่ได้ยั่วนะคะ แค่อยากมองตาคุณชัด ๆ เท่านั้น” เธอพูดพลางใช้โทนน้ำเสียงที่แปลกไปจากเดิม ส่งผลโดยตรงกับหัวใจของเขาอย่างเหลือร้าย
“เก็บมารยาไปใช้กับไอ้ณภัทรเถอะ หน้าโง่ ๆ แบบมันคงจะเชื่อ”
ราเชนทร์ยังไม่หยุดที่จะเลือกพูดคำร้ายกาจทำร้ายจิตใจ แทนที่จะเอ่ยบอกไปตรง ๆ ว่าเขารู้สึกหึงหวงหนูน้ำมนต์มาเพียงใด ประธานหนุ่มพยายามสะกดกั้นอารมณ์ของตัวเองแม้จะทำมันได้อย่างไม่ดีมากนัก เพียงเห็นหนูมนต์ลดายิ้มให้ใครบางคนผ่านโทรศัพท์ เขาก็แทบจะคลั่ง
“งั้นก็ถือเป็น คำขออนุญาตนะคะ” หนูมนต์ลดาตอบด้วยเสียงกรุ้มกริ่ม มุมปากยกยิ้มอย่างหยอกเย้า แววตาพราวระยับอย่างคนที่เหมือนจะได้รับชัยชนะในการปั่นหัวเขาได้สำเร็จ
“ว่ายังไงนะ” ราเชนทร์ถามน้ำเสียงเข้ม สายตาดุดันแต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กสาวหวาดหวั่น กลับยิ่งทำให้เธอชอบใจมากกว่าเดิมที่สามารถยั่วประสาท กวนอารมณ์คุณลุงท่านประธานได้สำเร็จ
“คุณเพิ่งจะอนุญาตให้หนูไปทำแบบนี้กับคนอื่นนี่คะ…หรือไม่ใช่”
“นี่หนู...กลายเป็นคนยอกย้อนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แล้วคุณกลายเป็นไบโพล่า…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะคะ” มนต์ลดาเถียงกลับอย่างไม่ลดละ หัวใจที่หงอยเหงาของเธอกลับวูบไหวขึ้นมาอีกครั้ง
“หนูกำลังพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบใช่ไหม ว่ากำลังคุยกับกิ๊กที่ไหนอยู่”
“ไบโพล่าไม่พอ มโนเก่งอีกต่างหากนะคุณเนี่ย” มนต์ลดาหยอกเอินเสียงใส สายตาแฝงด้วยรอยยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่มนต์ลดาจะเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานออก หย่อนสะโพกลงนั่งลงอย่างอ้อยอิ่ง ในใจของเธอเริ่มปั่นป่วนรุนแรงประหนึ่งคลื่นซัดโหมกระหน่ำ “น้ำมนต์คุยไลน์กับคุณรินทร์วดีค่ะ”
เมื่อราเชนทร์ได้ฟังดังนั้นเสียงที่เคยเข้มก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุยกับยัยวดีงั้นหรือ? อ้างหรือเปล่า”
“ใจคอคุณจะหาเรื่องน้ำมนต์ให้ได้เลยใช่ไหมคะ” เธอถอดถอนหายใจยาวพลางเอนตัวลงไปกับพนักพิงอย่างเหนื่อยใจ ในเวลาเดียวกันนั้น ท่านประธานหนุ่มได้รับสายจากรินทร์วดี หล่อนโทรศัพท์บอกเรื่องการเซ็นสัญญาระหว่างหนูมนต์ลดา และตั้งใจชวนทุกคนไปดินเนอร์กันคืนนี้
ราเชนทร์เห็นว่าการได้ออกไปดินเนอร์กับหนูมนต์ลดาก็น่าจะเป็นเรื่องดีเผื่อว่าสถานการณ์ความสัมพันธระหว่างเราจะดีขึ้นกว่าเดิม
“ยังไงล่ะคะ” เด็กสาวยิ้มกรุ้มกริ่ม ในหัวใจของเธอคล้ายกับมีกลองใบเล็กรัวดังตุ้ม ๆ ไม่หยุด เมื่อได้เห็นท่าทางและสายตาที่เปลี่ยนไปของเขา
“ไหน ๆ วันนี้ไม่มีประชุมแล้ว เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ราเชนทร์แลมองดวงหน้างามน่ารักที่สบตาเขาโดยปาศจากความกลัว
“วันนี้ประชุมเรื่องจัดงานประกวดไม่ใช่หรือคะ”
“เรื่องนั้นผมให้คุณเอกรินทร์จัดการประชุมแทนแล้ว” ราเชนทร์ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเข้าเรื่องที่เขาสงสัยมากที่สุดอย่างเรื่องพ่อของหนูมนต์ลดาตั้งใจให้ลูกสาวใช้หนี้ด้วยการเป็นนางบำเรอขัดดอก ในตอนนั้นที่ได้ยินราเชนทร์แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เสี่ยอู๊ดบอก ‘มีพ่อแม่ที่ไหนคิดจะทำกับลูกแบบนี้กันบ้าง’
“เสี่ยอู๊ดบอกผมว่าพ่อของหนูเป็นคนบอกให้เสี่ยอู๊ดเอาตัวหนูไปขัดดอกแทนหนี้ทั้งหมด เรื่องที่มันพูดเป็นความจริงเหรอ” ราเชนทร์เอ่ยถามตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น สายตาที่จับจ้องมาที่เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ทำเอามนต์ลดาสมองอื้ออึง ใบหน้าร้อนผ่าว หยาดน้ำใสในดวงตาผุดพรายออกมาจนบดบังการมองเห็นด้วยม่านน้ำตา ก่อนจะไหลพรากอาบสองแก้มเนียน แม้เธอพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา แต่เรื่องที่พ่อแท้ ๆ ทำกับเธอ…มันเกินทานทนได้ เมื่อราเชนทร์เอ่ยถามตรง ๆ อย่างที่มนต์ลดาไม่ทันตั้งตัว เธอก็จนปัญญาที่จะตอบคำถาม ทำได้เพียงสะกดกั้นอาการทั้งหมดกระทั่งตัวสั่นระริก
ราเชนทร์เอื้อมมือมากอบกุมไว้แน่น พร้อมใช้หัวแม่มือซับหยาดน้ำตาที่เปรอะแก้มนวล “หนูรู้ใช่ไหมว่าผมอยู่ตรงนี้”
“ไม่ค่ะ คุณเคยอยู่ข้างน้ำมนต์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว คุณลุงที่หนูเคยรู้จัก ฮื่อ...ไม่มีอีกแล้ว”
ความอดทนของมนต์ลดาสิ้นสุดลง เมื่อเธอคิดว่าที่พึ่งทางจิตใจเดียว อย่างราเชนทร์ก็ยังทอดทิ้งเธอ ความผิดหวัง ความน้อยเนื้อต่ำใจพุ่งเข้ามาฉีกกระชากวิญญาณของเธอย่างเหี้ยมโหด ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเต็มไปด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อทะลักไม่มีทีท่าจะหยุดลงโดยง่าย ราเชนทร์มองเห็นความหดหู่ระคนเสียใจของเธอได้อย่างชัดเจน โดยหนึ่งในสาเหตุของความเสียใจนั้นก็มาจากเขา ราเชนทร์จับจ้องมองดวงหน้าเปื้อนน้ำตาพลางถอดถอนหายใจยาว “มีหนี้ที่ไหนอีก”
“ทำไมคุณถามแบบนี้” เธอสะอื้นไห้ตอบ ใช้หลังมือปาดน้ำตาราวกับเด็ก ๆ
“ผมถามเสี่ยอู๊ดเรื่องพ่อของหนูหมดแล้ว มันบอกว่าพ่อของหนูติดหนี้อยู่อีกหลายเจ้า”
“มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของหนู คุณอย่ารู้เลย” เด็กสาวเบื่อนหน้าหนี เอ่ยเสียงแข็ง อย่างไรเสียเธอก็ไม่อยากให้เขาต้องมารับรู้เรื่องแย่ ๆ ของเธออีก
“หรือที่ไม่อยากเล่า จริง ๆ แล้วอยากใช้ตัวขัดดอกแทนใช้หนี้ล่ะสิ”
“ก่อนอื่นจะให้ใครไว้ใจคุณ…จนเขายอมที่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง คุณราเชนทร์ควรเลิกดูถูก เหยียดหยามเสียก่อนนะคะ” มนต์ลดากระแทกเสียงตอบอย่างฉะฉาน
“ถ้าอยากให้ผมเข้าใจ หนูก็ต้องเล่าให้ผมฟัง” ราเชนทร์พยายามลดกำแพงในใจตนเองลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด ฝ่ามือแกร่งเอื้อมไปกอบกุมมือเด็กสาวขึ้นมาแนบแก้มของตนเอง
“แล้วถ้าน้ำมนต์ไม่เล่า”
“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็จะไปถามกับพ่อหนูตรง ๆ”
“อย่านะคะ” เธอใช้มืออีกข้างยกขึ้นมาประคองแก้มทั้งสองข้างของชายหนุ่มพร้อมสบตา หัวคิ้วทั้งสองขมวดยุ่งเข้าหากัน ‘ถ้าพ่อรู้ว่าฉันคบกับคุณราเชนทร์ที่มีเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ เผลอ ๆ จับใส่พานให้เขาไปอีก’
“น้ำมนต์ยอมบอกคุณแล้วก็ได้”
“ไหนว่ามาสิ” เมื่อเขาได้อย่างที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มก็อดที่จะแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้
“พ่อติดหนี้กู้เงินนอกระบบหลายเจ้า น้ำมนต์ก็ตามใช้หนี้ให้ตลอด หลัง ๆ มีปัญหากับเจ้าสัววิฑูรบวกกับเริ่มฝึกงาน เลยหาเงินจ่ายไม่ทัน เจ้าหนี้แต่ละรายน้ำมนต์ก็ทยอยใช้ให้ทุกคนแล้ว แต่หนี้ของเสี่ยอู๊ดน้ำมนต์พึ่งจะรู้ตอนวันเสาร์ค่ะ”
ราเชนทร์ฟังที่เด็กสาวพูดอย่างตั้งใจ พลางคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดไปด้วยในห้วงความคิด
“เงินที่คุณจ่ายให้เสี่ยอู๊ด มนต์ไปขึ้นเงินที่ธนาคารแล้วจะรีบคืนให้นะคะ”
“ไม่ต้องคืนผมหรอก”
“ได้ยังไงคะ เอาเป็นว่าน้ำมนต์คืนให้คุณแล้วกันเป็นหนี้ก็ต้องจ่าย เรื่องเมื่อตอนเช้า น้ำมนต์ขอบคุณ คุณราเชนทร์มากเลยนะคะ ถ้าน้ำมนต์ไม่ได้คุณช่วยเอาไว้ต้องแย่แน่เลย สุดท้ายน้ำมนต์ก็เป็นตัวปัญหาต้องให้คุณลำบากอยู่เรื่อย”
“หนูไม่คิดบางเหรอ…ที่ผมทำทั้งหมดเพราะอะไร?” เขาบ่นงึมงำ สะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว โดยไม่รู้ตัวว่าใบหน้าเขากลับมาปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นเฉกเช่นราเชนทร์คนเดิม เขาหวังเพียงอย่างน้อย ๆ วันนี้ช่องว่างระหว่างเขากับหนูมนต์ลดาน่าดีขึ้นกว่าเมื่อเช้า ท้ายที่สุดทุกอย่างคงจะดีขึ้นในเร็ววัน “รีบไปเคลียร์งานนะ เดี๋ยวช่วงเย็นหนูต้องออกไปข้างนอกกับผม”
“ไปไหนคะ”
“เรื่องเซ็นสัญญายังไงล่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยที่แสนน่ารักของมนต์ลดาแล้วราเชนทร์เผลอลูบเรือนผมเด็กสาวอย่างลืมตัว
“โอเคค่ะ คุณลุงท่านประธาน” มนต์ลดาระบายรอยยิ้มอย่างลืมตัว
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?