เสียงนาฬิกาจากสมาร์ตโฟนรุ่นเกือบจะใหม่ล่าสุดกำลังแผดเสียงดังปลุกเจ้าของอย่างเต็มความสามารถ หน้าจอบอกเวลาตีห้าตรง มนต์ลดารีบตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียแต่ก็ยังไม่เร็วไปกว่ารูมเมตของเธอ ลัดดาลืมตาตื่นด้วยความหงุดหงิด หางตาหล่อนเหลือบไปที่หน้าต่างบานน้อย ทั้งที่ฟ้าก็ยังมืดอยู่แท้ ๆ เหตุใดมนต์ลดาจึงต้องตั้งนาฬิกาปลุกเวลานี้กันด้วย! ลัดดาหรี่ตามองเพื่อนสาวคนสวยที่รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวสวยแต่เช้ามืด ระหว่างที่มนต์ลดากำลังไดร์ผมอยู่นั้น รูมเมตสาวก็ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองมนต์ลดาอย่างมีเลศนัย เธอเห็นท่าทีของเพื่อนจึงแกล้งทำทีเป็นหยิบโน่นจัดนั่นจนลัดดาทนไม่ไหว สาวอวบดึงแขนเธอมานั่งที่เตียงนุ่มก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างคนใช้ความคิด
“เตรียมของเยอะแยะเลย จะไปไหนจ๊ะ?” ลัดดาลากเสียงยาวพลางนึกว่าหากเพื่อนของเธอได้มีช่วงเวลาดี ๆ กับท่านประธานสองต่อสองคงจะฟินมากจริง ๆ แม้ลัดดาจะพักอยู่กับมนต์ลดามาเพียงเดือนกว่า ๆ ทั้งที่ความชอบและไลฟ์สไตล์เราค่อนข้างแตกต่างกันมาก แต่น่าแปลกที่พวกเธอทั้งสองกลับสนิทสนมกันได้รวดเร็ว อาจเพราะความแตกต่างนั่นล่ะที่เป็นตัวการทำให้พวกเราเข้ากันได้ดีเหมือนคอยเติมเต็มซึ่งกันและกัน
การที่ออกมาอยู่ต่างที่ มีสังคมใหม่ ๆ ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาแค่เกือบสี่เดือนของการฝึกงาน แต่การที่ได้มีมิตรภาพดี ๆ ถือเป็นโบนัสจากการฝึกงานเลยก็ว่าได้
“ก็…ไปทำงานต่างจังหวัดน่ะ” มนต์ลดาเอ่ยเสียงแผ่ว เสตามองไปทางอื่น
“ท่านประธานสุดหล่อไปด้วยไหมน้า…” ลัดดาแฟนตัวยง มือชงอันดับหนึ่งของคุณลุงท่านประธานเอ่ยด้วยเสียงหวาน สายตาเป็นประกาย
มนต์ลดายกยิ้มอย่างเหนียมอาย “อื้ม คุณลุงท่านประธานไปด้วย”
“ดะ…เดี๋ยวก่อนนะ นี่แกเรียกเขาว่าอะไรนะ คุณลุงท่านประธานเหรอ ว้าย…ฟังแล้วจั๊กจี้หัวใจดีจัง” ลัดดาทำท่าทางตื่นเต้นราวกับนั่งดูละครหลังข่าวที่พระเอกนางเอกกำลังจะได้ไปเดตกันที่ต่างจังหวัดสองต่อสอง ทว่าการที่มนต์ลดาไปต่างจังหวัดครั้งนี้หาใช่การเดต แต่เป็นการไปทำงานถึงสามวัน นอกจากต้องแคนเซินงานถ่ายแบบที่ช่วงนี้แทบจะหาไม่ได้แล้ว ยังเบียดเบียนเวลาพักผ่อนอีกต่างหาก ยังดีที่การไปครั้งนี้ยังพอเบิกค่าล่วงเวลาได้บ้าง
“แล้วใครไปบ้างน้า…ใช่ไหม เป็นอย่างที่ฉันคิดใช่ไหม” ลัดดาจ้องหน้าคาดคั้นเอาคำตอบด้วยความตื่นเต้น ผิดกับคนถูกถามที่ใบหน้าร้อนผ่าว พวงแก้มใสค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ว้าย…ไปกันสองต่อสองเหรอ ลัดดาบอกแล้วว่าท่านประธานน่ะชอบน้ำมนต์แน่นอน เผลอ ๆ น้ำมนต์ก็ชอบเขาด้วยเหมือนกัน ลัดดาดูออกนะ เลิกปิดฉันได้แล้ว จะได้เลิกเชียร์สักที”
“ลัดดาอะ เดาเกินไปแล้ว” มนต์ลดากลั้นยิ้ม พลางเขย่าแขนเพื่อนสาว
“อ้าว หรือไม่จริง”
“ก็จริงอยู่นะ”
เพื่อนสาวสองคนหัวเราะคิกคักชอบใจ มนต์ลดาบอกกับลัดดาว่าไม่อยากให้ลัดดาไปบอกเรื่องนี้กับเพื่อนนักศึกษาฝึกงานคนอื่น เพราะเธอก็ยังเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงาน การที่ไปต่างจังหวัดกันสองต่อสองถึงอย่างไรก็ดูไม่ดี ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปรากฏชื่อของคนที่เจ้าของเครื่องกำลังรอสาย
“คุณราเชนทร์ สวัสดีค่ะ”
[หนูเตรียมของเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ]
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณถึงไหนแล้วคะ”
[ผมอยู่หน้าหอแล้ว…หนูน้ำมนต์ลงมาได้เลยนะครับ]
“ไวจังเลย…เดี๋ยวน้ำมนต์ลงไปนะคะ”
[ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้ ไม่ต้องรีบหรอก]
“แล้วพบกันนะคะ”
มนต์ลดากดวางสายพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมาเห็นรูมเมตสาวนั่งฉีกยิ้ม ทำท่าเขินจนตัวบิด “ลัดดาแอบฟังมนต์ลดาคุยโทรศัพท์เหรอ”
“อิจฉาอะ น่ารักจังเลย เรียกกันดูสนิทสนมกันม้าก…มาก”
“อิจฉาทำไมกัน ว่าแต่ลัดดากับคิมหันต์น่ะเรื่องมันเป็นยังไง กิ๊กกันเหรอ” มนต์ลดาพยายามเปลี่ยนเรื่องบ่ายเบี่ยงความสนใจของเพื่อนสาว
“โอ๊ย น้ำมนต์น่ะขัดอารมณ์ ลัดดากำลังฟินเลยนะ กิ๊กกับอีตานั่นน่ะเหรอ ปากเสียแบบนั้นไม่เอาหรอก ถึงเราจะอวบไปนิด ไม่สวยเท่าไร แต่เราก็เลือกนะ” ลัดดาทำท่าฟุดฟิดเมื่อคิดถึงปากร้าย ๆ และท่าทางยียวนของคิมหันต์ น่าแปลก ทุกครั้งที่นึกถึงอีตานั่น ลัดดากลับรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจอย่างน่าประหลาด
มนต์ลดาตรวจเช็กของทั้งหมดอีกครั้งพร้อมกับหันมาบอกลาเพื่อนซี้ ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินลงไปยังหน้าหอ ขณะที่ลงมานั้นเธอหันซ้ายแลขวามองหารถตู้บริษัทแต่ก็ไม่พบ เด็กสาวจึงเดินไปนั่งรอที่มุมหนึ่งของสวนหย่อมหน้าที่พัก ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดที่มนต์ลดามักจะมานั่งรอคุณราเชนทร์เป็นประจำ วันนี้ต้องไปไกลถึงจันทบุรี พี่สมหมายคงต้องเป็นคนขับรถตู้พาพวกเราไปอย่างแน่นอน
‘ว่าแต่คุณราเชนทร์บอกว่ามาถึงแล้วแต่ไหนล่ะ ฉันยังไม่เห็นรถตู้สักคัน นอกจาก…’ มนต์ลดาหรี่ตามองไปยังที่จอดรถตรงข้างกำแพง เด็กสาวพบเพียงรถเมอร์ซิเดส เบนซ์ อี-คลาส แคบริโอเล็ต สีแดงรูเบลไลต์ที่ยังคงติดเครื่องยนต์อยู่ เธอชอบสีนี้เป็นพิเศษ เพราะหากเปรียบคันนี้เป็นดั่งเม็ดทับทิม โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมว่าผู้ใดมีทับทิมที่มีสีแดงสดใส ไม่มีตำหนิ จะทำให้ผู้นั้นมีอำนาจ ร่ำรวย แข็งแรง และประสบความสำเร็จในชีวิต รถรุ่นนี้สีนี้ก็มีชื่อเหมือนทับทิม แม้สีจริงจะออกเข้มและดูผู้ใหญ่มากไปสักหน่อย
เหตุผลที่มนต์ลดารู้ว่าเป็นรถเบนซ์รุ่นนี้ก็เพราะเมื่อต้นปี เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มพริตตี้ที่มีโอกาสได้ร่วมเปิดตัวรถสปอร์ตหรูเปิดประทุน ที่มีกระจังหน้าแบบไดมอนด์ ราดิเอเตอร์ กริลล์ และการดีไซน์แบบเอ-เชป แค่มองจากตรงนี้ก็รู้แล้วว่าเท่มาก ๆ แต่ด้วยอากาศเมืองไทยที่มีฤดูร้อน และร้อนมาก
‘ใครมันจะไปเปิดประทุนกันช่วงนี้น่ะ ถ้าขับไปบนเขาบนดอยก็ว่าไปอย่าง แต่รถเท่มากจริง ๆ ว่าไม่ได้นะ~’ เด็กสาวพลางอมยิ้มออกมา เธอรู้ดีว่ารถรุ่นนี้ทั้งหรู ทั้งแพง ทว่ามนต์ลดาก็ยังเข้าไม่ถึงไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบรถสปอร์ตเปิดประทุนเท่าไรนัก แต่อย่างไรเธอก็ต้องยอมรับว่าทั้งภายนอกและภายในรถหรูคันนี้สวยเท่จนเธอใจสั่นเลยทีเดียว! ไม่นานนักรถสปอร์ตสีทับทิมคันหรูก็เคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถก่อนจะขับวนมาตรงที่เธอนั่งอยู่ หัวใจดวงน้อยเต้นรัวถี่ เมื่อเธอเห็นใบหน้าของคนขับสปอตร์คันหรูคันนี้ชัด ๆ “คุณราเชนทร์…” เด็กสาวพึมพำเบา ๆ ยิ้มทักทายเขาด้วยสีหน้าเจื่อน เธอเผลอแอบนินทาเจ้าของรถในใจไปเสียเยอะ
‘ใครจะไปคิดว่าจะเป็นคุณลุงท่านประธานของฉันกันล่ะ’ เธอหยิบสัมภาระพร้อมกับลุกขึ้นก้าวไปยังรถสปอร์ตเปิดประทุนสีทับทิมคันหรู
“หนูน้ำมนต์ รอผมนานไหม พอดีเมื่อกี้ผมโทร.คุยงานกับคุณเอกอยู่น่ะ” ราเชนทร์เอ่ยทักด้วยใบหน้าหล่อคมเช่นทุกวัน
“มีงานอะไรให้น้ำมนต์ช่วยไหมคะ?”
“มีครับ แต่เดี๋ยวผมจะบอกเมื่อถึงที่หมายนะครับ”
“ได้เลยค่ะ น้ำมนต์พร้อมทำงานนอกสถานที่แล้วค่ะ” มนต์ลดาเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น
“เด็กแสบ ขึ้นรถได้แล้วครับ ตื่นเต้นจะไปทำงานหรือเพราะจะได้ไปเที่ยวครับ”
“ถ้าตอบว่าทั้งสองอย่างเลยได้ไหมคะ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าทะเล้น
คุณราเชนทร์ยกยิ้มมุมปากกับท่าทางเป็นกันเองของหนูมนต์ลดาที่แสดงออกอย่างสนิทแตกต่างจากช่วงแรก ใบหน้าที่เคร่งขรึมดูผ่อนคลายลง แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน การแต่งกายของเขาในเช้านี้ดูแปลกตากว่าที่มนต์ลดาเคยเห็นเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในมาดของท่านประธาน วันนี้เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเรียบหรูแต่แฝงความเป็นแฟชั่นเล็ก ๆ เป็นเสื้อเชิ้ตพื้นสีขาว มีลายเส้นเอกลักษณ์ของแบรนด์หลุยส์วิตตอง รุ่นซิกเนเจอร์ ลวดลายเส้นสีแดงเข้ม สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีเทา ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว เมื่ออยู่บนตัวคุณราเชนทร์ ทำให้เขาอยู่อ่อนวัยกว่าเคย
“คุณราเชนทร์ สวัสดีค่ะ” มนต์ลดายกมือไหว้พลางค้อมศีรษะแบบอึ้ง ๆ เธอไม่คิดว่าคุณลุงท่านประธานจะมีมุมไฮแฟชั่นเท่าวันนี้ เพราะปกติการแต่งกายของเขาจะออกทรงลุงค่อนไปทางเชยเสียมากกว่า แต่วันนี้กลับใส่เสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสีกากีดูเป็นลุคแด๊ดดี้
‘ถ้ายัยลัดดาได้เห็นคุณราเชนทร์ลุคนี้มีหวังกรี๊ดไปสามวันเจ็ดวันแน่ ๆ’
คุณลุงท่านประธานคลี่ยิ้มบางเมื่อรู้ตัวว่าเด็กสาวแอบมองการแต่งกายที่แปลกไปของเขา ชายหนุ่มเปิดประตูรถลงมาช่วยเด็กสาวยกกระเป๋าเดินทางและข้าวของอีกเล็กน้อยเพื่อวางไว้ด้านหลัง ก่อนจะเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับให้มนต์ลดา เด็กสาวขึ้นรถอย่างว่าง่ายพร้อมกับค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณคนแก่กว่าที่ช่วยเปิดประตูให้เธอ หากไม่นับตอนที่เธอเป็นพริตตี้รถสปอร์ตหรูแบรนด์นี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวได้นั่งรถเปิดประทุน ความรู้สึกเกร็งเข้ามาแทนที่ความตื่นเต้น เพียงแค่เผลอคิดไปว่า ถ้าเผลอทำชิ้นส่วนหรือบางอย่างในรถของเขาพัง นั่นอาจหมายถึงเงินที่เธอจะต้องจ่ายค่าเสียหาย พอมนต์ลดาคิดถึงเรื่องหนี้ที่อาจต้องจ่ายทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เม็ดเหงื่อบาง ๆ ผุดเต็มไรผมจนเจ้าของรถสังเกตเห็น
“ทำไมวันนี้หนูเงียบจังครับ ยังง่วงอยู่ไหม?” ราเชนทร์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง มือหนาลูบเรือนผมนุ่มของเธออย่างเบามือ
“น้ำมนต์แค่เกร็งค่ะ เพิ่งเคยขึ้นรถหรูเปิดประทุนเป็นครั้งแรก”
“ไม่ต้องเกร็งเลยครับ หนูทำตัวตามสบายนะ แบบนี้ดีกว่าเดี๋ยวผมปิดประทุนให้ก่อน จะได้เป็นส่วนตัว” ราเชนทร์พูดพลางชะลอรถก่อนจะกดปุ่มบางอย่างที่แผงควบคุม “อ้าว ปิดประทุนทำไมล่ะคะ”
“หนูน้ำมนต์จะได้ไม่เกร็งยังไงล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เอาตามที่คุณราเชนทร์สะดวกดีกว่า” มนต์ลดาโบกฝ่ามือเป็นเชิงห้าม พร้อมกับย้ำด้วยเสียงจริงจังว่าไม่ได้ติดใจกับการที่เขาเปิดประทุนรถ
‘มีรถเปิดประทุน ถ้าซื้อมาตั้งหลายล้าน ถ้าไม่เปิดมันก็ไม่คุ้มสินะ!?’
“งั้นผมขอเปิดรับลมแบบนี้สักครู่หนึ่งแล้วกันนะครับ พอพระอาทิตย์ขึ้นเริ่มมีแดดเราค่อยปิดนะครับ” ราเชนทร์พูดพลางยกยิ้มมุมปาก ขณะที่มนต์ลดาหันไประบายยิ้มหวานรับแทนคำตอบ
“ผมอยากเอาคันนี้ออกมาขับนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เอาออกมาขับ”
“จริง ๆ ขับมาทำงานก็ได้นี่คะ”
ราเชนทร์ระเบิดเสียงหัวเราะ “ผมว่ามันไม่เหมาะมั้งครับ เอามาขับในเมืองคงต้องปิดประทุนตลอด ทั้งฝุ่นควัน อากาศก็ร้อน แถมรถยังติดอีก”
“ก็นั่นน่ะสิคะ น้ำมนต์ก็เคยแอบสงสัยนะว่าทำไมคนรวย ๆ เขาถึงชื่นชอบรถเปิดประทุนกัน” เด็กสาวพูดขมวดคิ้วทำหน้าพลางคิดตาม
“เอาจริง ๆ แล้วก็แค่อยากมีโมเมนต์ขับรถชมวิว สูดอากาศธรรมชาติบ้าง แต่หนูรู้ไหมว่าปัญหาของรถเปิดประทุนจริง ๆ น่ะอยู่ที่ตรงไหน”
“ร้อนหรือคะ?” เด็กสาวถามพลางเลิกคิ้วสูงอย่างเด็กช่างสงสัย ต้องยอมรับว่ารู้สึกเหมือนนั่งรถเมล์แดงไม่มีผิด เพียงแค่ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนมากหน้าหลายตาเท่านั้น
“อันนั้นมันแค่ส่วนหนึ่งครับ เวลาเปิดประทุนเนี่ย คนอื่นจะมองเราตั้งแต่หน้าปากซอยยันสี่แยกไฟแดง เท่านั้นยังไม่พอ บางครั้งมีเศษกระดาษ ถุงพลาสติกลอยมาเข้ารถเฉยเลย ที่สำคัญถ้าไม่เซตผมดี ๆ จะกระเซิงมากเลยนะครับ”
“ฮ่า…เหมือนที่น้ำมนต์นั่งมอเตอร์ไซค์วินและผมกระเซอะกระเซิงใช่ไหมคะ?” มนต์ลดาฟังแล้วพลางนึกภาพตาม ท่านประธานสุดเนี้ยบกับรถสปอร์ตคันหรูขับตรงมาจอดที่หน้าบริษัทชั้นนำของเมืองไทย ด้วยทรงผมกระเซอะกระเซิงประหนึ่งนั่งวินมอเตอร์ไซด์แต่ดันลืมใส่หมวกกันน็อกน่ะเหรอ ทำให้เด็กสาวระเบิดขำออกมาจนน้ำตารื้นแพขนตางาม
“นั่นสิครับ กว่าจะจัดทรงได้ ผมจะบอกความลับให้อย่างหนึ่ง…” เขาหรี่ตามองเด็กสาวพลางทำเสียงกระซิบราวกับเป็นความลับที่เขาไม่เคยเอ่ยกับใคร
“เวลารถติด บางครั้งมีมอเตอร์ไซด์มาเทียบข้าง ๆ ผมจะทำหน้านิ่ง หยิบแว่นตาดำมาสวมทำเป็นไม่สนใจ แต่จริง ๆ และน่ะ ผมแค่ทำตัวไม่ถูก ทั้งเขินทั้งอาย ยิ่งบางครั้งจอดใกล้รถประจำทางคนมองทั้งคันเลยนะ” ราเชนทร์เล่าพร้อมกับใบหูที่เปลี่ยนสีเป็นแดงจาง ๆ เพราะวีรกรรมน่าอายที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเมื่อเขาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
“ลุงนี่บ๊อง…ฮ่า” น้ำมนต์พึมพำพลางหัวเราะจนไหล่สั่น
“หนูรู้ตัวไหมว่าเวลาหนูหัวเราะแบบนี้ รอยยิ้มแบบนี้ แววตาแบบนี้ หนูน่ารักมากเลยนะ ผมอยากให้หนูน้ำมนต์มีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับผม…นะครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มทุ้มเน้นคำ พลางใช้หัวแม่โป้งเกลี่ยแก้มใสของเธออย่างนึกเอ็นดู ขณะที่หนูมนต์ลดาเอียงหน้ารับฝ่ามือบอบอุ่นอย่างเหนียมอาย
“ตอนแรกน้ำมนต์คิดว่าวันนี้เราจะไปรถตู้บริษัทซะอีก ทำไมขับไปเองคะ เหนื่อยแย่เลย” เด็กสาวเอ่ยถามสิ่งที่เธอรู้สึกสงสัย
พี่เอกรินทร์กับพี่แก้วเคยเล่าให้เธอฟังว่า ปกติหากต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด ท่านประธานมักชอบนั่งรถตู้ หรือโดยสารเครื่องบินมากกว่า เพราะระหว่างทางที่นั่งรถเขามักจะทำงานไปด้วยเสมอ
“ผมแค่อยากพาหนูไปด้วยตัวเอง” ราเชนทร์พูดเสียงเข้มพลางมองไปยังเส้นทางด้านหน้า โดยเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าเด็กสาวที่นั่งด้านข้างพวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีซับเลือดอีกครั้งแล้ว
“พะ...พาน้ำมนต์ไปด้วยตัวเองหรือคะ?” เธอเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักมือเรียวเผลอทัดปอยผมไว้ที่ข้างหูอย่างคนที่ทำตัวไม่ถูก
“ครับ ผมอยากเป็นคนพาหนูไปและดูแลหนูตลอดทริปนี้ครับ”
สิ้นสุดคำตอบของคุณลุงท่านประธานยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกใจสั่นระรัว แม้เด็กสาวไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่เขาดูแลให้ความสำคัญกับเธอดีเช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเธอเป็นคนพิเศษกว่าผู้หญิงคนไหน ‘หรือจริง ๆ แล้วเขาดูแลผู้หญิงทุกคนดีแบบนี้กันนะ’ เพียงแค่น้ำมนต์คิดว่าอาจจะเขาดูแลผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ก็อดที่จะรู้สึกวูบไหวในอกไม่ได้จึงชวนราเชนทร์พูดคุยเพื่อฆ่าเวลา “คุณชอบสีแดงหรือคะ น้ำมนต์เห็นรถคุณมีแต่สีแดง”
“จะเรียกยังไงดีนะ สีนำโชคมั้งครับ” ราเชนทร์ตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“นี่คุณเป็นสายมูเตลูเหมือนกันหรือคะ?” เธอเอียงหน้าเล็กน้อย ถามเสียงสูง
“มู…อะไรนะครับ?”
“มูเตลูค่ะ ก็แบบ...ชื่นชอบบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องราง ของขลัง เชื่อเรื่องของโชคลางน่ะค่ะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่เชื่อเอาไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร”
“ว่าแต่อี-คลาส คาบริโอเล็ตสีนี้สวยมากเลยนะคะ คุณตาถึงมากค่ะ”
“หนูนี่เซอร์ไพรส์ผมหลายเรื่องเลยนะ รู้เรื่องรถด้วยหรือครับ” เขาเลิกคิ้วสูง ท่านประธานหนุ่มไม่คิดว่านอกจากเรื่องการตลาดหุ้น ธรรมะ ปลูกต้นไม้ เธอยังรู้เรื่องเกี่ยวกับรถสปอร์ตอีกด้วย
“น้ำมนต์เคยเป็นพริตตี้เปิดตัวรุ่นนี้ อี-คลาส คาบริโอเล็ตค่ะ เลยพอรู้ข้อมูลอยู่บ้าง สีแดงรูเบลไลต์ถ้าเปรียบเป็นทับทิม ก็เหมือนเป็นตัวแทนแห่งความโชคดีมั่งคั่งใช่ไหมคะ”
“หนูรู้ไหมว่าทับทิมนอกจากเป็นราชาแห่งอัญมณี ตัวแทนความสำเร็จมั่งคั่ง อัญมณีชนิดนี้ยังมีความหมายด้านความรักด้วยนะ เพราะถือกันว่าทับทิมน่ะคือ‘อัญมณีที่ทำให้สุขสมหวังด้านความรัก’ สีแดงของทับทิมเป็นสีแห่งรักและอารมณ์ จึงมีพลังช่วยกระตุ้นให้กล้าแสดงออก กล้าเผยความรู้สึกรักมากขึ้น” ราเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาเปล่งประกาย ยามที่ชายหนุ่มพูดคำว่ารัก สายตาคมเข้มทอดมาทางเด็กสาวข้างกายราวกับจะเป็นการสื่อโดยนัยน์ ขณะที่เธอเหมือนพอจะเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มสื่อ พวงแก้มนวลค่อย ๆ ร้อนผ่าวและขึ้นริ้วแดงระเรื่อ
“คุยเรื่องรถอยู่ดี ๆ มาเข้าเรื่องความรักได้ยังไงเนี่ย” มนต์ลดาพูดพลางหันหน้าหนีไปอีกทาง กระทั่งต้องหยุดสายตากับเส้นขอบฟ้าระตึกสูง
ท้องฟ้าทอแสงเปล่งประกายสีเหลืองทองสลับส้ม ดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า อากาศจากเย็นสบายกลับรู้สึกอุ่นขึ้น แม้บรรยากาศจะไม่สดชื่นเท่าอยู่ต่างจังหวัด แต่การที่มนต์ลดาได้นั่งชมวิวจากมุมนี้ ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมอยู่ในใจค่อย ๆ เลือนหายไป หากเปรียบชีวิตของเธอดั่งพายุฝนที่มักมีปัญหาต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาให้ต้องคอยปวดหัวและแก้ไขอยู่เรื่อย คุณราเชนทร์ก็เปรียบเหมือนแสงแรกของวันใหม่ที่คอยชุบจิตวิญญาณที่อ่อนระโหยของเธอให้กลับมามีความหวังกำลังใจ เพื่อต่อสู้กับปัญหาชีวิตอีกครั้ง!
การเดินทางในวันนี้เป็นไปอย่างเนิบช้า ราเชนทร์ขับรถหรูไปพลาง พูดคุยกับเด็กสาวไปพลางอย่างอิ่มเอิบใจ เสียงหัวเราะคลอตลอดทางทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกแก่กัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองราวกับมีฟิลเตอร์รูปหัวใจ
“หนูหิวหรือเปล่าครับ”
“น้ำมนต์กินขนมปังที่คุณทำให้ไปแล้ว ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลยค่ะ”
มนต์ลดาพูดพลางใช้มือลูบท้อง เธอนึกไม่ถึงว่าคุณราเชนทร์จะทำแซนด์วิชให้เธอ หากเขามารับเธอได้ตั้งแต่เช้ามืดแสดงว่าเขาต้องตื่นเช้ากว่าเธอมาก ทั้งที่จริงแล้วเขาไม่มีความจำเป็นต้องตื่นก่อนไก่โห่ทำเพื่อเธอเลย แต่ในเมื่อคุณราเชนทร์สู้อุตส่าห์ทำให้ มีหรือที่เด็กสาวจะให้เขาเสียน้ำใจ ขนมปังในวันนี้ดูน่ากินกว่าครั้งก่อนเพราะมีทั้งแฮม ผัก เครื่องเคียง และไข่ดาว ดูเหมือนจะเป็นของกินเล่น แต่กินเพียงสองชิ้นก็ทำให้เด็กสาวตัวเล็กอย่างเธอรู้สึกอิ่มอย่างไม่ต้องสงสัย
วันนี้คุณลุงท่านประธานดูทำตัวเด็กกว่าอายุจริงอยู่มากโข เขาอ้อนเธอด้วยน้ำเสียงหวานให้เธอป้อนเขาระหว่างทาง เด็กสาวเห็นว่านี่มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นจึงป้อนเด็กน้อยตัวโตไปตลอดทาง
“หนูเคยมาจันทบุรีไหมครับ”
“ยังไม่เคยมาเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลย แต่เพื่อนของน้ำมนต์บางคนก็ฝึกงานที่จังหวัดนี้นะคะ” เธอเล่าอย่างกระตือรือร้น
“ทำไมถึงมาฝึกงานซะไกลเลยล่ะ”
“พอดีเพื่อนเป็นคนจันทบุรี ครอบครัวเขาเปิดโรงงานเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เขาก็เลยเลือกมาฝึกงานในตัวเมืองค่ะ”
“แต่ดีแล้วที่หนูน้ำมนต์เลือกฝึกงานที่บริษัทผม”
เด็กสาวยิ้มหน้าทะเล้น เอียงคอราวกับแมวน้อยช่างสงสัย “ดีหรือคะ?”
“หรือไม่ดีล่ะครับ” ราเชนทร์หันมาสบตาเด็กสาววูบหนึ่งแล้วจึงรีบหันกลับ น้ำมนต์ในวันนี้เป็นตัวของตัวเอง ดูสดใสขี้เล่นต่างจากตอนที่เธออยู่ที่ทำงานราวกับเป็นคนละคน ซึ่งแบบนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเธอน่ารักมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
“บริษัทคุณน่ะ ใช้แรงงานน้ำมนต์ซะคุ้มเลย ไม่สิ ต้องพูดว่าท่านประธานน่ะใช้งานน้ำมนต์หนัก”
“ก็ผมอยากให้หนูน้ำมนต์เก่ง ๆ นี่ครับ”
“น้ำมนต์แค่แซวเฉย ๆ ค่ะ การที่น้ำมนต์ได้มาฝึกงานกับทีมคุณถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลย” มนต์ลดาเอ่ยน้ำเสียงจริงจังพลางลอบมองดวงหน้าคมเข้มของราเชนทร์อย่างภาคภูมิใจในความสามารถของคุณลุงท่านประธาน ไม่ว่าเขาจะใช้งานเธอหนักอย่างไร มนต์ลดากลับมองว่าเธอโชคดีที่ผู้ใหญ่อย่างเขาให้โอกาสและเห็นถึงศักยภาพของเธอ
“ฝึกงานจบแล้วหนูจะกลับไปทำงานนางแบบเต็มตัวเลย หรือว่าจะทำสายงานที่เรียนมาครับ”
“น้ำมนต์ก็อยากทำสายงานที่เรียนมานะคะ แต่งานเสริมอย่างถ่ายแบบก็ยังอยากทำอยู่” มนต์ลดาพูดด้วยเสียงเลื่อนลอยราวติดอยู่ในห้วงความคิด
การที่มนต์ลดาอยากทำงานให้ได้เงินเยอะ ๆ เหตุผลหลักเพราะหนี้สินที่ทางบ้านก่อไว้มากมาย หากเธอทำงานแค่อย่างเดียวมนต์ลดาก็กลัวว่าเงินที่ได้น้อยนิดอาจไม่พอ จะยิ่งทำให้ดอกเบี้ยงอกเงยยิ่งกว่าดอกเห็ด เพราะแบบนี้เธอจึงไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่หากไม่ใช่ต้องขายตัวเธอก็รับทำทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเธอจะดูถูกคนที่คิดเอาตัวเข้าแลกกับเงิน แต่มนต์ลดาคิดว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงที่พอหาเงินได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองมากกว่า
“ผมว่า…หนูทำงานเยอะเกินตัวไปหรือเปล่า?”
“ไม่เยอะหรอกค่ะ บางคนทำหนักกว่าน้ำมนต์อีก และอีกอย่างน้ำมนต์ก็จำเป็นต้องทำค่ะ พอดี…หนี้เยอะน่ะ” เด็กสาวพูดอย่างทีเล่นทีจริง แต่ในใจกลับรู้สึกเหนื่อยล้ากับการใช้หนี้ที่เธอไม่ได้ก่อ เพียงเพราะคำว่าพ่อแม่ที่ค้ำอยู่ในคอจึงทำให้เธอต้องลำบากเช่นนี้
“ตัวเท่านี้มีหนี้อะไรกัน” ราเชนทร์เอื้อมมือหนาค่อย ๆ ลูบเรือนผมอย่างเอ็นดู ขณะที่น้ำมนต์ยิ้มเซียว ๆ อย่างกระอักกระอ่วนใจ
“น้ำมนต์ว่าเราเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวผมจะพาหนูไปถนนอัญมณีนะครับ”
“ถนนอัญมณี? ตลาดพลอยใช่ไหมคะ? ดีจังเลยค่ะ น้ำมนต์เคยได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังว่าตลาดพลอยมีพวกพ่อค้าและคนที่ต้องการพลอยรวมตัวอยู่ที่นั่นกันเยอะแยะ มีพลอยตั้งแต่เกรดทั่วไปยันพลอยน้ำดี แต่ก็อดสงสัยไม่ได้นะคะ?” เธอพูดพลางขมวดคิ้วแน่น แววตาเหมือนคิดบางอย่างที่ไม่ตกอยู่ในหัว
“หนูสงสัยอะไรครับ”
“คุณต้องมาเลือกพลอยเองเลยหรือคะ และพลอยน้ำดีจะไม่โดนวงในซื้อไปหมดแล้วหรือคะ? ทำไมถึงลงมาเลือกเอง”
“ผมไม่ค่อยมาเองหรอกครับ ปกติจะมีเจ้าประจำที่ถูกใจอยู่ แต่วันนี้พิเศษอยากพาหนูมาเดินเล่นด้วย และถ้าโชคดีเจอพลอยที่ถูกใจก็ถือว่าเป็นโบนัส”
“ดีเลยค่ะ ว่าแต่คุณราเชนทร์เหนื่อยไหมคะ ขับรถมาแต่เช้านี่จะสิบโมงแล้ว”
“เหนื่อยครับ” เขารีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน
“งั้นเราแวะร้านกาแฟกันก่อนไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ หรือหนูอยากกินกาแฟก็แวะก่อนได้นะครับ”
“น้ำมนต์แค่เป็นห่วง คุณขับรถตั้งนาน ไหนจะไปเดินตลาดพลอยอีก แวะพักขาสักหน่อยจะเป็นอะไรไปคะ?”
ราเชนทร์กระตุกยิ้ม “หนูบอกว่าเป็นห่วงผม…หรือครับ”
“เออ…น้ำมนต์พูดแบบนั้นเหรอคะ?” เธอแกล้งตีหน้าซื่อแก้มร้อนผ่าวเมื่อเธอรู้ว่าตัวเองกำลังโกหกคุณลุงคำโต ราเชนทร์แวะพักร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมถนนเส้นสายหลักก่อนจะซื้อขนมและของหวานขึ้นมาเป็นเสบียงบนรถ ชายหนุ่มเอ่ยแซวเด็กสาวเห็นตัวเล็กแบบนี้แต่กินเก่ง ด้านมนต์ลดาไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มหน้าแฉล้มแล้วก้มหน้าก้มตากินชีสเค้กคำโต
“กินขนาดนี้ กลับไปต้องลงโทษตัวเองอย่างหนัก” มนต์ลดาบ่นพึมพำเบา ๆ
“ทำโทษคือยังไงครับ”
“ก็ตั้งใจออกกำลังกายกับอดอาหารไงคะ แต่ตอนนี้มาเที่ยวอะ น้ำมนต์ตั้งใจว่าจะกินให้เต็มที่เลยค่ะ”
“มาเที่ยว?” ราเชนทร์แกล้งถามย้ำเสียงสูง “เออ…มาทำงานนอกสถานที่ค่ะ คุณลุงท่านประธานล่ะก็…จ้องจับผิดไปได้”
“เรียกผมลุงบ่อยขนาดนนี้…เผลอใจให้ลุงแล้วหรือยังครับ” ทันทีที่ได้ฟังประโยคหวานหยดจากคุณราเชนทร์ มนต์ลดาสำลักนมปั่นน้ำตารื้น ชายหนุ่มมองแล้วได้แต่ช่วยลูบหลัง แอบขำกับท่าทางเขินอายของเด็กสาว
“คุณน่ะ ล้อเล่นกับน้ำมนต์อยู่เรื่อยเลย”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ราเชนทร์ตบไฟขอทางเลี้ยวรถไปไหล่ทางพร้อมกับหันมาสบตาหนูมนต์ลดา มือหนาเลื่อนขึ้นมาเช็ดวิปครีมที่เปรอะเปื้อนบนแก้มใส บรรยากาศในรถเงียบลงชั่วขณะ เมื่อเพลง ‘ตกหลุมรักรอบที่ล้าน’ ดังขึ้นมาพร้อมกับหัวใจหวั่นไหวของทั้งสองคน สองสายตาสบประสานกันขณะที่ทุกอย่างชะงักงัน
“เพลงวัยรุ่นสมัยนี้…เพราะดีนะครับ” ราเชนทร์เอ่ยพร้อมกับสบตาหวานของเด็กสาวด้วยความรู้สึกวูบไหว รอยยิ้ม แววตา และทุกอย่างของหนูมนต์ลดาทำให้ชายหนุ่มตกหลุมรักยากที่จะถอนใจ วันนี้เขาตั้งใจจะบอกความในใจกับเธอ จริงอยู่ที่ในบางครั้งความรักอาจต้องการเวลา แต่ด้วยอายุใกล้เข้าเลขสี่แบบราเชนทร์แล้ว เวลาอาจไม่จำเป็นมากนัก คบหาดูใจกันไป เรียนรู้กันไปก็ย่อมได้
“ค่ะ ก็น่ารักดี”
“หนูหมายถึงผมหรือเพลงล่ะ” ราเชนทร์พูดพลางเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เด็กสาว ชายหนุ่มตั้งใจหยอกเอินหนูมนต์ลดา และนั่นก็ได้ผล แม้ว่าเขาจะลืมเลือนความรู้สึกของการจีบสาวไปนานมากแล้วก็ตาม ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวันของเขาเต็มไปด้วยเรื่องงานและการดูแลกิจการที่ต้องสืบทอด ทำให้ผู้หญิงที่เข้ามาต่างก็รับไม่ได้ที่เขาไม่มีเวลาให้ ราเชนทร์จึงถือคติว่า เรื่องความรักหากจะใช่เดี๋ยวมันก็มาเอง ราเชนทร์ไม่เคยหัวใจเต้นแรงกับหญิงสาวมานานแล้ว ตั้งแต่เจอหนูมนต์ลดาครั้งแรกเขาก็อดคิดถึงใบหน้าหวาน แววตาอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งคู่นั้นไม่ได้
“ก็ต้องหมายถึงเพลงสิคะ”
“จริงด้วย น่ารัก…” เขามือกำพวงมาลัยแน่น มองเด็กสาวไม่วางตา
“ใช่ไหมคะ? น้ำมนต์ไม่แน่ใจว่าคุณเคยดูเอ็มวีเพลงนี้ด้วยไหมน่ารักมากเลย”
“หนูน้ำมนต์…อย่าน่ารักเกินไปได้ไหม ใจผมก็มีอยู่เท่านี้”
มนต์ลดาขมวดคิ้วยุ่งเอียงคอด้วยความแปลกใจ เธอไม่คิดว่าผู้ใหญ่รุ่นราวคราวคุณลุงอย่างท่านประธานจะฮัมเพลงวัยรุ่นแบ๊ว ๆ แบบนี้ได้ ก็จริงอยู่ว่าเพลงไม่มีแบ่งหรอกว่าผู้ใหญ่หรือเด็กฟัง แต่เพลง ‘ตกหลุมรักรอบที่ล้าน’ มันเป็นเพลงที่ออกจะวัยรุ่นสักหน่อย และเธอไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าเขาจะพูดออกมา
“นี่คุณร้องเพลงหรือคะ?”
“เพลงนี้เหมาะกับเราเลยนะครับ”
“คุณราเชนทร์ชอบฟังเพลงน่ารักแบบนี้หรือคะ” มนต์ลดาสบตาเขา พลางคิดในใจว่านอกจากความอ่อนโยนที่คุณราเชนทร์มีให้เธอเสมอมา วันนี้เธอยังรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเราค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเธอเองที่เปิดใจให้เขาเข้ามาอย่างไม่ปิดกั้น หรือเป็นเพราะเขาที่พยายามทำความเข้าใจตัวเธอกันแน่ มนต์ลดารู้สึกแก้มร้อนผ่าว เพราะเพลงนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงจนหายใจแทบไม่ทัน
“คุณไม่รีบขับไปตลาดพลอยหรือคะ น้ำมนต์ตื่นเต้นอยากไปแล้ว” เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องที่จะคุยเพราะหัวใจของเธอไม่อาจรับความหวั่นไหวไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“ผมไม่มีแนวที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ ฟังได้ทั้งหมด หนูเนียนเปลี่ยนเรื่องหรือเปล่าครับก็ได้…งั้นเราไปตลาดพลอยกัน แต่ผมมีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกหนูนะ” ราเชนทร์คลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะกุมมือข้างหนึ่งของน้ำมนต์ไว้อย่างหลวมๆ “ถ้าผมจะบอกว่าหนูเป็นผู้หญิงคนพิเศษกว่าคนไหน ๆ”
“อย่าเพิ่งพูดเลยดีกว่าค่ะ รอให้คุณราเชนทร์มั่นใจกว่านี้สักหน่อย” มนต์ลดารีบพูดขัดจังหวะกลัวว่าเขาจะพูดเรื่องที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวไปมากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกดีกับเขาแต่การที่ราเชนทร์จะบอกคำนั้นออกมา เธอก็อยากให้เขาพูดเมื่อเขารู้สึกมั่นใจกับเธอแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เพียงอารมณ์และบรรยากาศพาไป
“ผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมไม่มั่นใจ” เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณทำหน้าจริงจังเกินไปแล้ว” พวงแก้มของเด็กสาวค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นตามลำดับ เมื่อเผลอเดาใจประโยคต่อไปของชายตรงหน้า หากเขาคิดเหมือนกับเธอ มันจะเป็นอย่างไร? เธอเป็นแค่เพียงเด็กนักศึกษาฝึกงานเท่านั้น และเราก็เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่เดือน…
“หนูน้ำมนต์จะให้ผมเป็นคนพิเศษของหนูได้หรือเปล่าครับ”
“เอ่อ…” พวงแก้มมนต์ลดาแดงระเรื่อ แม้เธออยากเอ่ยปัดออกไปแต่ในใจเธอกลับทัดทาน จึงทำได้เพียงเม้มปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง เสียงหัวใจเต้นถี่กระชั้น ความหวั่นไหวเริ่มกัดกินเธอ มนต์ลดาไม่คิดว่าคุณราเชนทร์จะถามเธอตรง ๆ เช่นนี้
ราเชนทร์กระตุกยิ้มร้ายพร้อมกับลูบเรือนผมของหนูมนต์ลดาด้วยความเอ็นดูอย่างที่เขาชอบทำ “ผมให้เวลาหนูคิดก่อนแล้วกันนะครับ คืนนี้ผมจะมาฟังคำตอบอีกครั้ง”
“คืนนี้หรือคะ?”
“ใช่ครับ คืนนี้ดินเนอร์ของเรา”
ราเชนทร์พูดจบก็โน้มตัวลงมาฉวยหอมแก้มนุ่มของเด็กสาวโดยที่ไม่ทันตั้งตัว กลิ่นหอมอ่อนจากหนูมนต์ลดาละมุนติดปลายจมูกจนเขาเผลอกระตุกยิ้มร้ายออกมาอีกครั้ง แม้ว่าราเชนทร์จะไม่ค่อยมีเรื่องผู้หญิงมานานก็ใช่ว่าเขาจะไม่ประสาเรื่องนี้ เพียงแต่เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้เท่า ‘หนูน้ำมนต์’
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?