วันนี้ครบกำหนดที่เซลีนต้องไปตัดไหมที่คลินิก เวลานัดคือบ่ายสี่โมงครึ่ง เซลีนจึงออกบ้านโดยเผื่อเวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง เธอจะเข้าไปที่ร้านอาหารหลังจากตัดไหมเสร็จ เพราะหยุดมาเกือบจะสามอาทิตย์แล้ว เซลีนต้องกลับมาทำงานตามปกติเสียที เจ้รำไพให้เซลีนพักงานนวดไปก่อนจนกว่าแผลจะหายสนิทดี ส่วนร้านอาหาร เซลีนก็ทำงานในครัวเป็นหลัก จะมีมาช่วยรับออเดอร์หรือเสิร์ฟอาหารบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น
ครัวสยามคือชื่อร้านอาหารไทยที่มีเจ้รำไพเป็นเจ้าของ
เป็นร้านอาหารไทยขนาดกลาง จำนวน 2 ชั้น มีจำนวน 80 ที่นั่ง ในร้านมีการตกแต่งสไตล์วัฒนธรรมไทย โดยเอาร่มบ่อสร้างมาตกแต่งห้อยลงมาจากเพดาน เอารถตุ๊ก ๆ มาประดับไว้ที่มุมหนึ่งของร้าน พร้อมกับป้ายข้อความซึ่งมีไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการเช็กอินและโพสต์ลงสื่อโซเชียลเก๋ ๆ ฝาผนังเป็นชิ้นส่วนไม้ เอามาต่อกันหลายชิ้นจนเกิดเป็นภาพขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกงดงามและมีมนต์ขลัง
ครัวสยามนั้นตั้งอยู่ในย่านธุรกิจของลอนดอน มีตึกสูงชะลูดอยู่ รายล้อม มีออฟฟิศมากมาย จึงทำให้มีลูกค้ามากหน้าหลายตาแวะเวียนมาที่ร้านตลอด
ซึ่งทางร้านจะเปิดขายเฉพาะตอนเย็น เวลา 17.00 – 22.00 นาฬิกา
ที่ร้านมีเชฟเพียงสองคน คือศักดิ์สิทธ์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่าพี่สัก อายุราว 50 ปี พี่สักเป็นเชฟให้เจ้รำไพมาตั้งแต่ร้านเปิด ลูกค้าที่เข้ามาทาน ต่างก็ติดใจฝีมือการทำอาหารของเขา พี่สักจึงดูเหมือนจะมีอำนาจหน่อย ๆ ถึงขนาดที่เจ้รำไพเองก็ยังเกรงใจพี่สักอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงขนาดที่แม้ว่าพี่สักจะชอบทำตัวรุ่มร่ามกับสาวเสิร์ฟ และมักขาดงานเป็นประจำ เจ้รำไพก็ทำเพียงแค่ตักเตือน เพราะอย่างไรก็ถือว่าเธอต้องพึ่งพิงเขา พี่สักเองก็รู้ใน จุดนั้นดีถึงวางอำนาจบาตรใหญ่ ส่วนเจ้าของร้านอย่างเจ้รำไพก็ได้แต่เก็บปากเก็บคำไม่สามารถพูดอะไรมากได้ เพราะถ้าศักดิ์สิทธิ์ลาออก ร้านอาจถึงจุดจบเลยก็เป็นได้
เชฟอีกคนที่ดูจะน่าพึ่งพาและน่าคบหามากกว่า ก็คือสกุณาหรือพี่นา อายุราว 45 ปี พี่นาเป็นเชฟที่มีฝีมือคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจชำนาญเทคนิคเท่าพี่สัก แต่ก็ถือว่าเป็นคนเก่ง นิสัยดี แถมน่ารักอีกด้วย
นอกจากนั้นในครัวจะมีผู้ช่วยเชฟ 4 คน ได้แก่ ช่อผกาหรือช่อ นันทิกาหรือกุ้ง สุภาพรหรือพี่น้อย และเมธีหรือมาร์ค มาร์คเป็นเกย์ ย้ายมาอยู่อังกฤษกับสามีได้ไม่นานมานี้เอง
ผู้ช่วยนั้นจะทำหน้าที่เรียงลำดับออเดอร์ก่อนหลัง จัดวัตถุดิบ จัดจานและล้างจาน ในครัวนี้ทุกคนต่างก็รักใคร่สนิทสนมกันดี ยกเว้นพี่สักขาใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคบหาพูดคุยด้วย
กว่าเซลีนจะเสร็จธุระและเดินทางไปถึงร้านอาหารก็ปาเข้าไป หนึ่งทุ่มแล้ว
วันนี้คงเป็นวันที่ร้านของเจ้รำไพได้รับความนิยมแบบกระทันหันกระมัง เพราะเธอเดินผ่านมาเห็นลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็มทุกโต๊ะ เซลีนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยูนิฟอร์มของร้านเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ทันจะเอากระเป๋าถือเก็บให้เรียบร้อย นันทิกาหรือกุ้ง เพื่อนรักของเธอก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาถึงในห้องพักพนักงาน
“แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แน่ ๆ เลยช่อ” กุ้งบอกด้วยท่าทีร้อนรน
“อะไรแย่กุ้ง อย่าเพิ่งตื่น เล่ามาก่อน” เซลีนรีบปรามให้เพื่อนหยุดตื่นตะหนก
“โอ้ยก็พี่สักน่ะสิ ทะเลาะกับเจ้ พี่สักแกขอขึ้นเงินเดือน แล้วเจ้บอกว่ามันมากไปเจ้แกรับไม่ไหว พี่สักเลยขู่ว่าถ้าไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แกก็ขอลาออก ตอนแรกเจ้ก็จะประนีประนอมต่อ แต่พี่สักแกตวาดดังเลย ว่าถ้า แค่นี้ให้ไม่ได้ ก็เตรียมปิดร้านได้เลย แล้วแกก็ walk out ออกไปเลยจ้า ตอนนั้นตกใจกันไปหมด รั้งแกไม่ทันสักคน ทีนี้ก็ต้องมาเครียดเนี่ย ว่าจะ ทำไง แขกมากันเต็มร้านแล้ว แถมที่มากินกันทุกวันนี้ ก็ติดใจฝีมือพี่สัก กันทั้งนั้น แต่ฉันว่าเพราะแบบนี้แหละ แกเลยคิดว่าแกถือไพ่เหนือกว่า เจ้คงต้องยอมแน่” กุ้งเล่าให้เซลีนฟังคร่าว ๆ
“เห้ย แย่จริงนั่นแหละ แล้วทำไมเจ้ไม่โทรตามพี่นาเข้ามาช่วยชั่วคราวก่อนล่ะวันนี้” เซลีนถามออกไปด้วยความสงสัย ต่อให้สถานการณ์ภายในจะแย่อย่างไร วันนี้ก็ควรจะมีอาหารเสิร์ฟลูกค้าอยู่ดี
“แกลืมไปเหรอไง ว่าพี่นาลาพักร้อน” กุ้งเอ่ยเตือนความจำ
“เอ้อ ลืมไปเลย งั้นไปดูในครัวกันก่อนว่าจะเอาไง”
คราวนี้เธอรู้สึกตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว จึงรีบดันหลังเพื่อนให้เข้าไปในครัวด้วยกัน ตอนที่เข้ามาถึง ก็เห็นว่าเจ้รำไพกำลังลงมือทำอาหารอยู่ หน้าเตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ เหงื่อไหลเต็มใบหน้าที่มีแต่ริ้วรอยของเจ้รำไพ ทำให้ทั้งสองคนตกใจไม่น้อย
“เจ้ ถึงกับต้องลงเตาเองเลยเหรอ” เซลีนถามออกไป
“ก็เออสิ วันนี้ลูกค้าเต็มร้านเลย เจ้าสักก็ดันมาแผลงฤทธิ์ใส่เจ้อีก ถ้าเจ้ไม่ทำใครจะทำ” เจ้รำไพตอบไปมือก็ผัดกระทะไป
“เจ้ ทำไงดี แขกเริ่มบ่น เริ่มถามกันแล้วว่าทำไมวันนี้ถึงช้า” พี่จันทร์สาวเสิร์ฟคนสวยของร้านเอ่ยบอกเจ้รำไพเสียงตื่น ทันทีที่เดินเข้ามาในครัว
“โอ้ย”
“เจ้”
“ระวัง”
“เจ้หก”
เสียงดังประสานกันขึ้นมาโดยที่ไม่ได้นัดหมาย เมื่อทุกคนเห็น เจ้รำไพทำท่าทางจะล้มลงไปหน้าเตา ดีที่เจ้รำไพมือไว หันหลังจับเคาน์เตอร์ด้านหลังไว้ได้เสียก่อน
พี่น้อยที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบเดินไปปิดเตาแก๊ส แล้วประคองเจ้รำไพไปนั่งพักที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เธอช่วยนวดบ่าและโบกลมไปมา สักครู่เจ้ก็อาการดีขึ้น ดูท่าแล้วเธอคงจะหน้ามืด คนแก่แล้วยังไปลงเตาผัดกระทะและน่าจะลงเตามาเป็นชั่วโมงแล้ว ถึงได้หน้ามืดเอาได้
“เจ้ ไปนั่งพักด้านในเถอะ ทางนี้ช่อกับพี่ ๆ จัดการเอง โชคดีแล้วที่เจ้ไม่หน้าคว่ำลงเตา เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาไม่คุ้ม”
“เอ้อ ก็ดีเหมือนกัน เจ้ฝากด้วยนะ”
เจ้รำไพรู้ตัวว่าคงทำต่อไปไม่ไหว พูดเสร็จแล้วพี่น้อยก็พยุงเจ้รำไพเข้าไปพักด้านใน
“ช่อว่าเราทำของกินเล่นเอาไปให้แขกกินไปพลาง ๆ ก่อน แล้วให้ พี่จันทร์บอกแขกว่าวันนี้อาหารอาจจะช้านิดหนึ่ง ทางร้านเลยจัดของทานเล่นให้ฟรี และจะมีส่วนลด 5 % แทนคำขอโทษแบบนี้ดีไหม” เซลีนหันไปถามมาร์คกับกุ้ง
“ก็ดีนะช่อ แต่เราจะทำอะไรดีล่ะ” กุ้งถามกลับ
“ช่อคิดไว้แล้ว เรามีข้าวเกรียบปลาที่ทอดเสร็จแล้ว ก็แค่เอามา จัดจานเสิร์ฟกับน้ำจิ้มผักสด แค่นี้ก็น่าจะพอ ไม่ต้องเสียเวลามาก ของก็มีพร้อมแล้ว” เซลีนอธิบาย
“ได้ / ตามนั้น / จัดไป” แต่ละคนขานรับแข็งขัน
“กุ้ง แกไปเอาข้าวเกรียบปลามาจัดใส่จาน กะให้ได้สัก 10 ที่ ส่วนฉันจะทำเครื่องเคียงกับน้ำจิ้ม” เซลีนบอกเพื่อน
“ได้ ไม่มีปัญหา” กุ้งขานรับ และผละไปทำตามคำบอกของเซลีน
ฝั่งเซลีนก็แบ่งกะละมังที่ผสมน้ำกับน้ำทิพย์สวรรค์ไว้ 2 ใบ ใบแรกเอาไว้สำหรับแช่แครอทที่แกะสลักออกมาเป็นรูปดอกไม้อย่างง่าย ๆ กับมะเขือเทศลูกเล็ก อีกใบหนึ่งเอาไว้แช่แตงกวาที่ฝานด้วยมีดสองคมเป็นแผ่นบางๆ ตามยาว เพื่อเตรียมนำไปม้วนเป็นรูปดอกกุหลาบ วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเย็นนัก แค่พับเหมือนริบบิ้นผ้าหรือใบเตย ส่วนที่ต้องเอาผักไปแช่น้ำทิพย์สวรรค์เพื่อให้คงความสด กรอบ และรสชาติที่ดี เซลีนไม่กลัวว่าจะมีใครเห็นตอนที่เธอใช้น้ำทิพย์สวรรค์ เพราะเธอกำหนดให้ไม่มีใครสามารถเห็นทั้งแหวนมิติกับน้ำทิพย์สวรรค์เอาไว้แล้วนั่นเอง
หลังจากแช่ผักเสร็จแล้ว เซลีนก็หันมาทำน้ำจิ้มสำหรับข้าวเกรียบปลา เพราะไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรพิถีพิถันนัก เธอจึงเลือกทำแบบง่าย ๆ เอาน้ำจิ้มไก่มาผสมด้วยน้ำทิพย์สวรรค์ และคาดหวังว่าด้วยคุณสมบัติของน้ำทิพย์สวรรค์นั้นจะทำให้เมนูนี้เป็นที่น่าพึงพอใจของลูกค้าพอสมควร เธอขอแค่ซื้อเวลาเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อปรุงอาหารสุดพิเศษ
แม้ว่าจะขาดทุนไปหน่อยในวันนี้ แต่ก็น่าจะคุ้มกันในอนาคต หากลูกค้ากลับมาทานอีกครั้งหนึ่ง และเธอมั่นใจว่ามันต้องอร่อยจนลูกค้ากลับมาทานอีกครั้งแน่ ๆ
พอทำน้ำจิ้มเสร็จ เซลีนก็เอาผักทั้งหมดออกมาจากกะละมังที่แช่น้ำไว้ พักให้สะเด็ดน้ำแล้วก็ม้วนแตงกวาเป็นรูปกุหลาบ วางสลับกับแครอทที่แกะเป็นรูปดอกไม้ง่าย ๆ อย่างละ 3 ดอก แล้วก็วางมะเขือเทศลงไปคั้นกลางระหว่างแตงกวากับแครอท ตกแต่งเป็นจานผักทานกับข้าวเกรียบปลา
เธอจัดชุดข้าวเกรียบปลาและน้ำจิ้มพร้อมผักสดลงจาน แล้ววางลงบนถาดไม้ไผ่สาน จานที่นำมาใช้นั้นเป็นจานที่ถูกผลิตออกมาเข้าชุดกัน จานข้าวเกรียบจะใหญ่ที่สุด รองลงมาคือจานผักสด และสุดท้ายคือถ้วยน้ำจิ้ม
เซลีนได้ไอเดียมาจากการจัดขันโตกของทางเหนือของไทย
กริ้ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งเป็นสัญญาณจากทางห้องครัว ว่าอาหารพร้อมเสิร์ฟแล้ว พี่จันทร์จึงเดินเข้ามาในครัว
“พี่จันทร์ เอาข้าวเกรียบปลาเซตนี้ไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่รอจานหลัก บอกว่าเป็นของสมนาคุณจากทางร้าน ขอโทษที่ทำให้รอนาน แล้วอย่าลืมสอนลูกค้าว่ากินอย่างไรด้วยนะคะ ผักน่ะ เน้นไปเลยนะพี่จันทร์ รับรองว่าสด กรอบ และอร่อยมาก ๆ เดี๋ยวช่อทำให้ดู เอาข้าวเกรียบจิ้มไปที่น้ำจิ้มแล้วตามด้วยผักสด ๆ หืม เข้ากั๊นเข้ากัน ผักมันจะไปล้างกลิ่นคาวของ ข้าวเกรียบ พี่จันทร์ลองดูสิคะ” เซลีนสาธิตการกินข้าวเกรียบเป็นตัวอย่างด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย
“โห้ ช่อ ทำไมอร่อยแบบนี้ พี่ชอบมะเขือเทศอะ ทั้งหวาน ทั้งกรอบ รสชาติดีมากเลย ทำไมเมื่อก่อนเวลากินมันไม่อร่อยแบบนี้ละ มะเขือเทศนี่ เมื่อกลางวันพี่ก็เอาไปใส่ยำขนมจีนนะ ทำไมมันไม่หวานกรอบแบบตอนนี้ละ” พี่จันทร์เอ่ยชม พร้อมกับแสดงท่าทีสงสัยไปด้วย
“พี่จันทร์ มันเป็นความลับสวรรค์ ว่าแต่อย่าเพิ่งเอาแต่ชิม รีบเอาไปเสิร์ฟแขกก่อน เรายังเหลือจานหลักที่จะต้องทำนะ” เซลีนรีบบอกให้ พี่จันทร์เอาของว่างไปเสิร์ฟ ก่อนที่มันจะหมดไปเสียก่อน
“รู้แล้ว รู้แล้วน่า ก็มันอร่อยนี่นา มันเลยหยุดหยิบไม่ได้เลย” พี่จันทร์เอ่ยแก้ตัว ก่อนจะเอาอาหารทานเล่นออกไปเสิร์ฟด้วยหน้าตาสดใส
“ช่อ พวกเราไม่เคยลงเตาเลยนะ เกิดทำอาหารออกมาแล้วมันกินไม่ได้ ร้านเสียชื่อเสียงขึ้นมาทำไง” กุ้งร้องถามอย่างเป็นกังวล
“กุ้ง เชื่อฉันชิ ถ้าฉันไม่มั่นใจว่าทำได้ ฉันไม่เอาชื่อเสียงร้านมาเสี่ยงหรอก แกต้องเชื่อและไว้ใจฉัน โอเคไหม พวกเรามาพยายามกัน ช่อว่าพวกเราต้องทำได้ มั่นใจหน่อย”
เซลีนเอ่ยออกไปด้วยความมั่นใจ สร้างขวัญกำลังใจให้กับทุกคน ตอนนี้พี่น้อยกลับมาจากการไปส่งเจ้รำไพแล้ว และเตรียมพร้อมช่วยเหลือเชฟเฉพาะกิจเหมือนคนอื่น ๆ
เซลีนหันไปดูรายการอาหารว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง แล้วลงมือทำตามรายการที่พี่น้อยจัดมาให้
โต๊ะแรกที่เซลีนต้องทำคือ กะเพราเนื้อ 2 ที่ แต่ไหนแต่ไร เซลีนในโลกก่อนเป็นคนที่ไม่มีฝีมือในการทำอาหารเลย ส่วนร่างนี้ถึงแม้ว่าจะทำงานในครัวมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้ลงเตาทำอาหารให้ลูกค้าสักครั้งเดียว พอถึงวันที่เซลีนต้องลงเตาเอง ก็ทำเอาเธอรู้สึกเกร็งเหมือนกัน แต่อาศัยว่าเมนูที่เธอต้องทำเป็นเมนูทั่วไป ที่ทำทานกันที่บ้านอยู่แล้ว ประจวบกับเซลีนได้ น้ำทิพย์สวรรค์มาเป็นตัวช่วย เธอก็มั่นใจว่าเธอจะทำอาหารออกมาได้ดีพอที่จะทำให้คืนนี้ผ่านไปอย่างไม่มีปัญหาได้
ก่อนที่เธอจะเริ่มลงเตาทำอาหาร เธอก็พนมมือขึ้นมาระลึกถึง ท่านเทพ แล้วขอให้วันนี้ประสบความสำเร็จ ขอให้เธอทำอาหารได้ดี หลังจากเธออธิฐานจบ รัศมีสีทองก็สว่างวาบขึ้นบนเรือนร่างของเธอ แต่เพียงครู่หนึ่งก็จางหายไป น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งตัวเธอเองก็ตาม
“ช่อ แกก็เป็นสายมู เหมือนกันเหรอ” กุ้งเอ่ยแซวพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาเต็มที่
“ไม่ได้หรอก งานนี้ต้องเอาทุกทาง จะสายไหนก็มาเถอะ”
เซลีนเอ่ยตอบติดขำขัน ก่อนจะหันไปลงมือทำอาหารจานแรก เธอรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่สามารถทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว หยิบจับอะไรก็คล่องมือไปหมด ไม่มีอาการเงอะงะอย่างที่กังวล พวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ก็ใส่ในปริมาณที่รู้สึกได้ว่าพอดี ราวกับทุกอย่างมันอยู่ในหัวของเธอ และคุ้นเคยราวกับเคยทำมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
หากไม่ใช่ว่าเพราะต้องการสมาธิเป็นอย่างมาก คงไม่พ้นตกใจจนเผลอละมือไปยืนคิด แต่พอนึกได้ว่าการที่เธอตายแล้วเกิดใหม่ในร่างคนอื่นยังเกิดขึ้นได้ กับแค่จู่ ๆ จะมีสกิลทำอาหารได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือแปลกอะไรอีกแล้ว คงเป็นพรอีกอย่างที่ท่านเทพให้มา แต่จะให้ถามท่านก็คงไม่ได้เพราะนั่นหากจะพบกับท่านเทพจะต้องตายไปเสียก่อน แปลว่าเธอจะต้องตายอีกครั้งถึงจะได้พบกับท่าน ดังนั้นเธอขอเลิกสงสัยไปเองเสียดีกว่า ยังไม่อยากตายตอนนี้หรอกนะ
ถึงอย่างนั้นก็ยังกล่าวขอบคุณท่านเทพอยู่ในใจที่คิดการไกลรอบคอบ จนให้พรเธอมาอย่างครบครัน ไม่ต้องให้เธอลำบากลำบนไปหาทางรอดเอาเอง
ในระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย สองมือก็จัดการผัดเนื้อและเครื่องจนหอมกรุ่น เธอโยนใบกะเพราลงกระทะแล้วผัดต่อเล็กน้อย จากนั้นก็หยดน้ำทิพย์ลงไปในกระทะ
ทันทีที่หยดน้ำสีฟ้าแวววาวกระทบลงบนเนื้อ กลิ่นหอมของกะเพราที่ปกติจะต้องฉุนร้อนจนต้องทำให้คนจาม กลับเป็นกลิ่นหอมเจือความอ่อนเย็น ที่เหมือนกับบรรจงสังเคราะห์เสน่ห์ของกลิ่นกะเพราแล้วดึงมันออกมาจนเรียกความหิวของคนทั้งครัว และเสียงกลืนน้ำลายของพี่น้อยเป็นอีกสิ่งที่ช่วยยืนยันข้อเท็จจริงนี้ เซลีนผัดต่อไปอีกครู่หนึ่งก็ตักออกมาใส่จานพร้อมเสิร์ฟ เธอหันไปมองพี่น้อยพร้อมกับยิ้มบาง ๆ คล้ายแซวคนกลืนน้ำลายจนพี่น้อยรู้สึกเก้อเขิน
“แหะ ๆ ก็มันหอมมาก ไม่คิดมาก่อนว่าช่อจะทำอาหารได้เก่งขนาดนี้ ทำไมไม่ลงเตาตั้งแต่สมัยพี่สักเป็นเชฟละ”
พี่น้อยถามออกไปด้วยความสงสัย ความสามารถระดับนี้เทียบเคียงพี่สักได้ไม่ยาก ถ้าหากเธอต้องการจะทำ
“ช่อไม่ค่อยชอบทำอาหารน่ะพี่น้อย มันไม่ใช่แนว ร้อนด้วย กลัวหน้าเป็นฝ้า นี่ถ้าไม่ฉุกเฉิน ช่อก็ไม่ทำหรอก ผ่านวันนี้ไปแล้ว ช่อก็ไม่คิดจะลงเตาอีกนะพี่น้อย พี่น้อยชิมหน่อย พอได้มะ” เซลีนตอบออกไปแบบขำ ๆ พร้อมกับใช้ช้อนตักผัดกะเพราส่งให้พี่น้อยชิม
“ว้าว ช่อ ไม่ใช่แค่ใช้ได้นะ มันอร่อยมาก วันนี้เรารอดตายกันแล้ว ไม่มีพี่สักก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เรายังมีน้องช่ออยู่นี่นา” พี่น้อยรับช้อนจากเซลีน ชิมแล้วรับรสสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดชมออกมา“แต่พี่ว่าช่อทำอาหารเก่งแบบนี้ เจ้คงให้ช่อแทนตำแหน่งพี่สักแน่เลย พี่ว่า”
“โน ไม่ไหวหรอกพี่น้อย ช่อเป็นผู้ช่วยเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว”
เซลีนกล่าวปฏิเสธออกไป แต่พี่น้อยไม่ได้สนใจสิ่งที่เซลีนพูด เพราะเธอพอจะเดาออก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในเมื่อมีเชฟฝีมือดีนิสัย เข้ากับคนอื่นได้ดีกว่าพี่สักตั้งเยอะ ทำไมเจ้รำไพจะไม่เลือกเซลีนล่ะ
เธอหันไปกดกระดิ่งเรียกคนเสิร์ฟ เซลีนละสายตาออกจากคนอื่นเพื่อเตรียมตัวทำจานต่อไป ครั้งนี้เธอจะทำสองเตาพร้อมกันเพื่อเป็นการประหยัดเวลา
เซลีนมีความมั่นใจมากขึ้น หลังจากที่ทำผัดกะเพราสำเร็จไปด้วยดี ในใจก็ไม่ได้กังวลอะไรเหมือนทีแรกอีกแล้ว
เมนูต่อไปที่ต้องปรุงคือผัดไทยกุ้งและพะแนงไก่ เซลีนเริ่มต้นโดยการใส่กะทิลงในกระทะใบใหม่ แล้วลงพริกแกงพะแนงสีส้มแดง ก่อนจะผัดจนกลิ่นหอม ค่อย ๆ เติมกะทิลงไปผัดให้แตกมันและกลิ่นเครื่องแกงยิ่งหอมคลุ้ง มือขวาตีกะทิ มือซ้ายคว้าชามใส่อกไก่เทลงกะทิอย่างชำนิชำนาญ
สลับเอามือซ้ายมาเคี่ยวเนื้อกับแกงในกระทะบ้าง แล้วมือขวาหยิบกระปุกน้ำตาลทรายและขวดน้ำปลามาปรุงรส เป็นอีกครั้งที่เธอใส่ทุกอย่างลงในปริมาณที่เรียกว่าแทบไม่ต้องคิดก็สัมผัสได้ ว่าพอเหมาะพอดี เมื่อปรุงเสร็จก็เบาไฟลงแล้วเคี่ยวจนเนื้อไก่เกือบสุก ก่อนจะปิดไฟ ใช้ฝาครอบอบกลิ่นเอาไว้ แล้วหันไปทำผัดไทยกุ้งเป็นอันดับต่อไป
เซลีนเทน้ำมันลงในกระทะร้อน ๆ จากนั้นก็จับจานที่เตรียมมันกุ้ง หอมแดง ไชโป๊ และเต้าหู้ลงไปผัด กลิ่นมันกุ้งที่ถูกความร้อนและกลิ่นหอมแดงที่ถูกน้ำมันกระจายฟุ้ง จนเธอแอบได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันหอมราวกับว่าเป็นมันกุ้งชั้นดีจากกุ้งแม่น้ำราคาแพง ชวนให้นึกถึงกุ้งชั้นดีที่มหาชัย เธอคว้าจานเนื้อกุ้งเทลงกระทะแล้วผัดต่อ มือขวาจับตะหลิว มือซ้ายจับด้ามกระทะสะบัดขึ้น เพื่อช่วยผัดจนเนื้อกุ้งและเครื่องผัดไทยลอยขึ้นมาส่งกลิ่นหอมฉุย กับควันร้อนสีขาวไปทั่วร้าน เมื่อเนื้อกุ้งสุกได้ที่แล้วเซลีนก็คว้าเอาเส้นจันท์มาผัดกับเครื่องผัดไทย จนเส้นนิ่มได้ที่ ก็ตักน้ำ ผัดไทยลงกระทะส่งเสียงฉ่าดังสะท้อนไปทั้งครัว
กลิ่นน้ำตาลมะพร้าวและน้ำมะขามเปียกในน้ำผัดไทยกระจายไปทั่วร้าน ยิ่งมีน้ำทิพย์สวรรค์ช่วยดึงเอาเสน่ห์ของวัตถุดิบออกมาจากผัดไทยที่ควรจะชินชา ให้กลับกลายเป็นอาหารที่น่าตื่นใจได้อย่างอัศจรรย์
เซลีนยังคงสะบัดกระทะจนเส้นผัดไทยลอยสูงและส่งกลิ่นเย้ายวนไปทั่วร้าน เสียงฉ่าจากการผัดยิ่งส่งความหิวของลูกค้าให้พุ่งกระฉูดยิ่งกว่าเดิม
เซลีนหยิบจานถั่วงอก ใบกุยช่ายมาเทลงกระทะและตอกไข่เป็ดลงข้างหนึ่งของกองเส้น เมื่อไข่เป็ดเริ่มสุก ก็จัดการคลุกเคล้าและสะบัดข้อมือผัดเส้นอีกครั้ง ครู่เดียวพอเข้ากันก็เทลงจานแล้วส่งให้พี่น้อยจัด ก่อนจะหันไปตักแกงพะแนงใส่ถ้วย แล้วส่งต่อให้กุ้งนำไปจัดแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าและ ใบมะกรูดเพื่อเสิร์ฟต่อไป
เมื่อจัดจานและส่งให้พี่จันทร์ยกไปเสิร์ฟแล้วเสร็จ ทั้งสองก็มานั่ง นึกถึงความคล่องแคล่วในการใช้ตะหลิว และทักษะการผัดการปรุงอาหารที่แม้แต่พี่สักก็ยังไม่ทำให้เห็นบ่อย ๆ จนนึกแปลกใจว่าเซลีนไปทำอาหารเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอจะอ้าปากถามเพื่อน พี่จันทร์ก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องครัว
“งานเข้าแล้วช่อ ลูกค้าที่เหลือขอยกเลิกออเดอร์ทั้งหมดเลยที่สั่งไว้!!” พี่จันทร์ตะโกนบอกเสียงตระหนก จนทำให้บรรยากาศภายในครัวกลับมาสู่ความอึมครึมอีกครั้ง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?