เซลีนกำลังยืนมองพาราเมดิกสองคน สวมชุดสีเขียว ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง กำลังพยายามทำการกู้ชีพเพื่อช่วยชีวิตตนเองอยู่
ใช่แล้ว.. ที่ยืนอยู่นั่นคือวิญญาณของเธอเอง
เซลีนเห็นแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอตายแล้ว ตำรวจเริ่มเข้ามาเคลียร์พื้นที่ กันคนออกจากสถานที่เกิดเหตุ พาราเมดิกที่เหลือก็กำลังทำการปฐมพยาบาลให้กับคนที่บาดเจ็บจากชายคนร้าย ที่เข้ามาก่อเหตุอุจฉกรรจ์ ในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครที่อาการหนักเท่ากับเธอ
‘ก็นั่นชิ ถ้าอาการไม่หนัก ฉันก็คงไม่ตาย’ เซลีนคิดในใจพลางยืนมองร่างตนเอง โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เซลีนตามร่างของเธอมาจนถึงโรงพยาบาล และพาราเมดิกก็ส่งร่างเธอเข้าห้องฉุกเฉินที่ 1 และตอนนั้นเองก็มีพาราเมดิกส่งใครอีกคนเข้าห้องฉุกเฉินที่ 2 ไปด้วยเช่นกัน แต่เซลีนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะตอนนี้เธอเองก็ยังไม่รู้เลย ว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับไปเจอเบนจามินและแดเนียลได้รึเปล่า
ขณะที่เซลีนกำลังจะตามร่างเธอเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้นข้างตัว
“นังหนู ข้าขอโทษที่มาช้า มาช่วยเจ้าไว้ไม่ทัน”
เสียงชายชราทำให้เซลีนหันหลังกลับออกจากห้องฉุกเฉิน แล้วมองไปที่ชายชราแทน จำได้ทันทีว่าชายชราที่เรียกเธอคือท่านเทพ ที่เป็นคน ให้พรเธอนั่นเอง
“ท่านเทพหมายถึงอะไรคะ หนูงงไปหมดแล้ว” เซลีนถามท่านเทพออกไป
“มันเป็นความผิดของข้า ในงานเลี้ยงสังสรรค์บนสวรรค์ ข้ามีเรื่องทะเลาะกันกับเทพแห่งโชคชะตาเกี่ยวกับเรื่องที่นั่ง ทำให้เทพแห่งโชคชะตา ต้องไปนั่งไกลออกไป เทพแห่งโชคชะตารู้ว่าก่อนที่ข้าจะขึ้นไปงานเลี้ยง ได้ทำภารกิจสำคัญเสร็จสิ้น นั่นหมายถึงข้าไม่ต้องอาศัยที่โลกมนุษย์อีกต่อไป ข้าจะได้กลับขึ้นสวรรค์ เทพแห่งโชคชะตาจึงต้องการขัดขวางข้า ทำให้ เจ้าตายแล้วเปลี่ยนดวงชะตาของเจ้าใหม่เสีย!!” ท่านเทพทำหน้าโมโห ก่อนจะคลายความตึงเครียดของเส้นประสาทบนใบหน้าลงแล้วหันมามองเซลีน
“กว่าข้าจะรู้ว่าเกิดเรื่องกับเจ้า เหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ข้ารู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้า ข้าเลยได้แต่ช่วยให้ผ่อนหนักเป็นเบาเท่านั้น” ท่านเทพบอกกับเซลีน
“ยังไงคะท่าน” เซลีนถามด้วยสีหน้าตกใจ
หนักเป็นเบาอย่างงั้นเหรอ? ช่วยไม่ทัน แต่ตอนนี้ก็มีโอกาสรอดใช่มั้ย
นี่คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเซลีน
“เจ้าต้องไปเข้าร่างคนใหม่ คนที่มีดวงชะตาเดียวกับเจ้า แล้วดำเนินชีวิตแทนคนคนนั้นให้ดี ทำแบบนี้ภารกิจของข้าก็สำเร็จ ตัวเจ้าก็มีชีวิตอยู่ต่อไป แบบนี้ก็ดีทั้งสองฝ่าย” ท่านเทพอธิบายให้เซลีนฟัง เซลีนหน้าถอดสีทันที
“ไม่ใช่ให้หนูฟื้นเหรอคะท่าน แบบนี้ก็หนูก็ไม่ได้เจอคุณเบนกับ แดเนียลน่ะสิคะ” เซลีนรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังจะแหลกสลาย เมื่อ ได้ยินว่าตัวเองจะต้องไปอยู่ในร่างของคนอื่นแทนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
“ท่านเทพ มันเป็นความผิดของท่านกับเทพแห่งโชคชะตา แต่มัน ดันซวยมาลงหนู หนูไม่ผิด แต่ก็ต้องมาตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่แบบนี้ ไม่ยุติธรรมกับหนูเลย หนูกำลังมีชีวิตที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น กำลังจะมีธุรกิจในฝัน เพราะพวกท่านทั้งสองคน พวกท่านทำให้หนูพลาดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด หนูไม่ยอมนะ เอาชีวิตของหนูคืนมา เอาชีวิตของหนูคืนมา”
เซลีนพูดไปก็ร้องไห้ไปเหมือนกับคนเสียสติ เธอดึงชายเสื้อของ ท่านเทพแล้วลงไปนั่งร้องไห้เหมือนคนสิ้นหวัง
“นังหนูอย่าเพิ่งร้องไห้ ตั้งสติก่อน ถ้าเจ้าไม่ตกลงทำตามที่ข้าบอก เจ้าจะไม่มีโอกาสแม้แต่กลับมามีชีวิตนะ เพราะร่างใหม่ของเจ้ากำลังจะตายแล้ว เจ้าต้องไปเข้าร่างใหม่ เดี๋ยวนี้!! ไม่งั้นมันจะสายเกินไป”
เสียงร้อนรนของท่านเทพ ทำให้เซลีนหยุดร้องไห้ทันที พร้อมกับกำลังจะถามว่า “ท่านเทพคะ แล้วพรของหนูละ จะยังมีอยู่ไหม”
ท่านเทพยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เซลีนก็รู้สึกเหมือนถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงวิญญาณของเธออย่างแรง ตอนนั้นความทรงจำของเธอกลับเหมือนกับความมืดมิด ที่ไม่อาจคาดได้เลย ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
“นังหนู เพื่อเป็นการไถ่โทษจากข้า ข้าจะมอบพรแก่เจ้าเพิ่มเติม พรข้อแรกข้า ขอให้เจ้าจงมีเอกะวาทะเป็นเลิศ คนอื่นจะเชื่อในคำพูดของเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข พรข้อสุดท้าย ขอให้เจ้าจงมีทักษะต่าง ๆ ตามที่ เจ้าปรารถนา เพื่อเกื้อกูลหนุนนำในการทำมาค้าขายของเจ้า
พรนี้ถูกแลกมาจากของรางวัลที่ข้าได้รับมาในงานเลี้ยง มันสมควรเป็นของเจ้าแล้ว ด้วยพรเหล่านี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะให้อภัยแก่ข้า แต่อย่าลืมนะ อย่าลืมว่าพรเหล่านี้จะสำฤทธิ์ได้ด้วยการตั้งมั่นในความดี ไม่เบียดเบือนผู้อื่น ข้าก็ขอให้เจ้าจงอย่าได้เกิดกิเลส หลงเดินทางไปในทางที่ผิด”
ท่านเทพเอ่ยออกมาพร้อมกับทำมือโบกออกไปด้านหน้า เกิดแสงสว่างสีขาวนวลห่อหุ้มที่จิตวิญญาณของเซลีน ก่อนที่จิตของเธอจะหายไปจากตรงนั้น
เธอเห็นท่านเทพพยายามบอกอะไรกับเธอสักอย่าง แต่เสียดายเหลือเกินที่เธอไม่อาจได้ยินมัน
แล้วสติของเธอก็ดับวูบไป
*****
“เจ็บ”
คือความรู้สึกแรกที่เซลีนสัมผัสได้
ดวงตาสวยที่ลืมตาขึ้นมากะพริบตาปริบ ๆ สองสามที เพื่อปรับภาพแสงสว่างในห้องให้พอดี ก่อนที่เธอจะผงกหัวมองไปรอบ ๆ ห้อง พยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็สามารถนั่งเอนตัวพิงกับหัวเตียงได้
สิ่งที่เธอเห็นเป็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาวออกครีม ขนาดไม่เล็กมากนัก มีอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่เต็มไปหมด นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 15.15 น. วันที่บอกบนนาฬิกา ทำให้เซลีนรู้ว่าเธอสลบไปไม่เกินหนึ่งวัน เธอคงอยู่ที่โรงพยาบาล
เซลีนพยายามรวบรวมสติแล้วเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่ากำลังกลับจากสถานทูตไทยไปที่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับบ้านที่ สก๊อตแลนด์ เธอถูกชายคนหนึ่งแทงจนตาย ท่านเทพมาหาและบอกให้เธอมาเข้าร่างคนอื่นเพื่อมีชีวิตต่อไป เธอยังคุยกับท่านเทพไม่เสร็จ สติก็ดับวูบไปเสียก่อน
“เอ๊ะ!!”
พอจำได้ถึงตอนนี้ เซลีนรีบเอามือมาคลำที่ท้องและหน้าอกตนเอง แต่ปรากฏว่าไม่มีบาดแผลเหมือนที่เธอโดนทำร้ายเลยแม้แต่น้อย พอก้มลงมองมือตนเอง เซลีนก็ได้แต่แปลกใจ เพราะนิ้วของเธอนั้นเรียวสวย ไม่เหี่ยวและหยาบเหมือนกับมือของเธอเลยแม้แต่น้อย
‘อย่าบอกนะว่า.........’
เซลีนได้แต่กังวลในใจ ว่าสิ่งที่เธอคิดคงไม่ใช่เรื่องจริง
“โอ้ย” เสียงร้องของเซลีนที่เปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเธอเอามือไปจับที่ศีรษะก็เจอกับผ้าก๊อชที่พันไว้จนแน่น เซลีนถึงได้เข้าใจว่าความเจ็บปวดที่เธอเผชิญอยู่นี้ มาจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะนี่เอง แล้วเธอเจ็บที่ศีรษะได้ยังไงกันนะ เซลีนได้แต่มึนงง ไม่นานความทรงจำมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ในสมอง กลับถูกหยิบยกมาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวได้ในที่สุด
เซลีนลูบไปบนเรือนร่างที่ไม่ใช่ร่างกายของเธอเอง เพราะนี่คือร่างกายของหญิงสาวชาวไทยคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าช่อผกาเหมือนกันกับเธอ ซึ่งคนต่างชาติเรียกช่อผกาในร่างนี้ว่า ซินดี้ หล่อนมีอายุ 28 ปี และมีแม่วัยใกล้ 60 ปี อยู่ที่ไทย พรรณี อุดมสุข คือชื่อแม่ของซินดี้ นางต้องคอยดูแลลูกสาว ช่อฉัตร อุดมสุข ซึ่งก็คือน้องสาววัย 20 ปีของเธอ ที่ป่วยเกี่ยวกับโรคเลือด ซินดี้เลยต้องทำงานส่งเสียเงินให้กับแม่และน้องสาวที่เมืองไทยมาตลอดตั้งแต่เธอเรียนจบปริญญาตรีด้วยทุนของรัฐ
ซินดี้พบรักกับมาร์ค ชื่อเต็มว่า มาคัส มิลเลอร์ หนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวชาวอังกฤษที่ไปท่องเที่ยวที่ไทย ระหว่างที่มาร์คท่องเที่ยวอยู่ที่ไทย มาร์คจะดูแลเทคแคร์ซินดี้อย่างดี เธออยากได้อะไร อยากทานอะไร อยากไปไหน มาร์คก็ตามใจซินดี้ทุกอย่าง จนซินดี้ผู้ที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ถึงกับหลงรักมาร์คจนหมดใจ
เมื่อมาร์คกลับมาที่อังกฤษ ทั้งสองคนก็ยังคงติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เวลาผ่านไป 2 ปี มาร์คก็ขอซินดี้แต่งงานและย้ายมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วยกัน
ทั้งสองคนมีลูกชายหญิงเป็นฝาแฝด อายุประมาณ 4 ขวบ ลูกชายชื่อว่าแอนเดอสัน หรือแอนดี้ ลูกสาวชื่อว่าอลิเซีย หรืออลิส ซินดี้เธอฝึกให้ลูก ๆ ของเธอสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน เพราะเด็ก ๆ ต้องคุยกับคุณยายพรรณีกับคุณน้าฉัตรบ่อย ๆ สำหรับการเขียน ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าการพูด แต่ก็พออ่านออกเขียนได้ดีระดับหนึ่ง
ในช่วงแรก ๆ ที่ซินดี้มาอยู่ที่อังกฤษ เธอต้องปรับตัวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษา วัฒนธรรม ในด้านของความเป็นอยู่ มาร์คถือได้ว่าดูแลซินดี้อย่างดี จนกระทั่งซินดี้ตั้งท้องสองแฝด มาร์คก็ตกงาน เขาต้องทำเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มาร์คเข้าสู่การดื่มเหล้าหนักขึ้น
ต่อมาเมื่อแอนดี้กับอลิสอายุได้ 3 ขวบ เด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้ว มาร์คก็บังคับให้ซินดี้ออกไปทำงานเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในบ้าน ซินดี้โดนตบตีเป็นประจำ อีกทั้งต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินส่งให้กับทางบ้านที่ไทยและต้องดูแลครอบครัวของตัวเองที่อังกฤษอีกด้วย แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยบ่น และทำหน้าที่ตนเองอย่างดีที่สุด
“ถ้าไม่ทำงานหาเงิน ก็อย่าหวังว่าจะได้เจอลูกอีก!!” เสียงด่าทอของมาร์คผุดขึ้นมาในความทรงจำของเซลีนอีกครั้ง
ซินดี้ถูกมาร์คขู่ว่าถ้าเธอไม่ทำงานหาเงินเธอจะต้องกลับไทย เพราะกฎหมายของอังกฤษ ภรรยาที่ย้ายมาอยู่กับสามีจนกว่าจะได้วีซ่าถาวร ต้องได้รับการสปอนเซอร์จากสามี ต้องพึ่งพิงสามีเท่านั้น
ทุกวันคืนของซินดี้ถูกมาร์คทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกครั้งที่มาร์คต้องการมีอะไรกับซินดี้ เขาก็จะทำกับเธอแบบรุนแรง ถ้าเธอไม่ยอม เขาก็จะบังคับและข่มขืนเธอ ลูกๆ ก็รู้ว่าพ่อรังแกแม่ แต่ด้วยความเป็นเด็ก ก็ช่วยแม่ไม่ได้ ได้แต่นั่งกอดแม่ไว้แล้วร้องไห้ไปด้วยกัน เด็กๆ มักถูกพ่อตบตีเสมอ เพียงเพราะว่าเข้าไปห้ามไม่ให้พ่อตบตีแม่ อลิสกับแอนดี้จึงกลัวมาร์คมาก
ซินดี้เธอต้องอดทนเพื่อให้ได้อยู่กับลูกๆ และมีเงินส่งไปให้แม่กับน้องที่เมืองไทย เธอต้องยอมก้มหน้ารับความอดสูอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเธอรักครอบครัวของเธอ และรักลูกมากเกินกว่าจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาได้ อีกทั้งสามีก็พึ่งพิงไม่ได้ มีทางเดียวที่เธอจะผ่านวิกฤติของชีวิตในตอนนี้ไปได้ นั่นก็คือเธอต้องอดทนเพื่อรอเวลาอีกแค่ 1 ปี เธอก็สามารถขอวีซ่าถาวร เธอจะสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพามาร์คอีกต่อไป เธอบอกกับตนเองให้อดทน เพื่ออนาคตของคนที่เธอรัก
ซินดี้ทำงาน 2 แห่ง ในตอนกลางวัน เธอจะทำงานเป็นหมอนวดและตอนเย็นถึงดึกเธอก็จะทำงานที่ร้านอาหารของเจ้รำไพ ซึ่งเจ้รำไพเป็นเจ้าของทั้งร้านอาหารและร้านนวด ซึ่งร้านทั้งสองอยู่ติดกัน
วันเกิดเหตุ ซินดี้ทะเลาะกับมาร์ค เพราะซินดี้เลิกงานกลับมาบ้านก่อนเวลาเลิกปกติ เธอรู้สึกไม่สบาย จึงขอลางานเจ้รำไพกลับบ้านมาก่อน เธอเห็นมาร์คดื่มเหล้าจนเมามาย จึงคิดจะอาบน้ำแล้วนอนพักสักหน่อย
“ทำไมวันนี้กลับบ้านมาไว” เสียงของมาร์คต่อว่าเธอทันทีที่เข้ามาในบ้าน
“ไม่ค่อยสบายเลยกลับบ้านไว ฉันไปพักก่อนนะ”
ซินดี้ชาชินกับเรื่องแบบนี้แล้วเลยไม่ต่อปากต่อคำ แล้วทำท่าจะไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำและนอนพัก
“เดี๋ยวก่อน” มาร์คเดินเข้ามานัวเนียเธอ เพื่อต้องการมีอะไรด้วย
“ปล่อยฉัน ฉันเหนื่อยแล้ว” ซินดี้เหนื่อยและไม่มีอารมณ์ร่วม เธอเลยสะบัดมือออกจากมาร์คอย่างแรง แต่มาร์คไม่ยอม
“มานี่” มาร์คทำแบบที่เคยทำ
เขาคิดจะข่มขืนซินดี้ เธอจึงผลักมาร์คออกไปและเดินออกไปนอกห้อง กะว่าจะไปนอนพักในห้องของอลิสลูกสาวเพื่อหลบหนีมาร์ค แต่เมื่อซินดี้เปิดประตูเข้าไปในห้องอลิส มาร์คก็ตามมาและยื้อซินดี้ไว้
“จะไปไหนซินดี้” เขาเมาไม่มีสติและพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“ปล่อยนะมาร์ค คุณจะมาบังคับฉันไม่ได้” ซินดี้สุดทนกับการกระทำของสามีไม่เอาไหน เลยเลือกตอบกลับเขาไปด้วยการไม่ยินยอม
เสียงของทั้งสองคนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็ก ๆ ที่เล่นกันอยู่ในห้องของ อลิสตกใจเพราะได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกัน
อลิสลุกเดินออกมาดูและทันเห็นพ่อกำลังยื้อยุดฉุดกระชากแม่ให้กลับเข้าไปห้องนอน จึงเข้าผลักและตีพ่อ มาร์คโมโหจึงปัดอลิสออกไปจนพ้นทาง มาร์คปัดอลิสแรงไปหน่อย ทำให้อลิสจะพลัดตกบันได
“กรี๊ดดด” เสียงของเด็กน้อยร้องด้วยความตกใจ
“อลิส” ซินดี้ตะโกนจนสุดเสียง
และด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ เธอจึงผลักมาร์คออกจากตัวอย่างแรง ร่างของมาร์คล้มลงไปบนพื้น ซินดี้รีบวิ่งไปหาลูกสาวแล้วถลาคว้ามืออลิสไว้ได้
แต่ด้วยความรีบร้อนและการทรงตัวที่ผิดพลาด ทำให้ทั้งอลิสและซินดี้ตกบันได ซึ่งโชคร้ายที่ซินดี้ดันหัวไปกระแทกกับเหลี่ยมขั้นบันไดพอดีทำให้เธอหมดสติไปในที่สุด
เหตุการณ์ของซินดี้เล่นเป็นภาพในสมองของเซลีนอย่างรวดเร็ว เธอรับรู้ความรู้สึกของซินดี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักที่เธอเคยมีต่อมาร์คผู้เป็นสามี ความแค้นที่ค่อยๆ ก่อตัวหลังจากเขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเธอในทุกคืนวัน ความรักที่เธอมีต่อแม่และน้องสาวรวมไปถึงลูกๆ
ทุกความสัมพันธ์ ทุกความรู้สึก ทุกความเกื้อกูลที่ซินดี้ต้องเผชิญบัดนี้มันมาอยู่ในความทรงจำของเซลีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เซลีนได้แต่นั่งอึ้งพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาจจะกลั้นได้ เธอโอบกอดร่างของซินดี้เอาไว้ เพราะรู้สึกว่าชีวิตของเธอคนนี้ช่างแตกต่างกับเธอลิบลับ
เซลีนอยู่อย่างสุขสบายกับสามีที่รักเธอและดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่กับซินดี้นั้นช่างแตกต่างจนเธอใจหาย
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะซินดี้ ฉันเซลีนคนนี้จะดูแลแม่กับน้องสาวที่ไทยให้เอง” เซลีนพูดกับตัวเอง “สำหรับอลิสกับแอนดี้ ฉันก็จะรักและดูแลให้เหมือนกับลูกของฉันเองเลยซินดี้ ขอให้เธอวางใจ ไม่รู้ว่าเหตุอะไรที่ทำให้เราต้องสัมพันธ์กันเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่น ฉันก็ขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในฐานะของตัวเองและเธอด้วยซินดี้” เซลีนให้สัญญาด้วยชีวิตของเธอเอง และขอให้ซินดี้ไปสู่สุขคติ
“ขอให้ซินดี้อโหสิกรรมให้กับฉันด้วยนะ” เซลีนรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เพราะเธอเข้าใจดี ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็เหมือนกับว่าเธอมาแย่งชีวิตของซินดี้ไป
สายลมที่พัดผ่านร่างของซินดี้ที่เซลีนได้อาศัยอยู่ ทั้งที่อยู่ในห้องปิดมิดชิดแบบนี้
“ขอบคุณ” มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาข้างหูของเซลีน ทำเอาเซลีน ขนลุกไปชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรต่อไป เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอจึงหันไปมองที่ประตู ภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง อายุเกือบ 50 -60 ปี ท่าทางใจดี สุภาพ แต่งกายด้วยชุดสูทอย่างเป็นทางการ สีกรมท่า เธอคนนั้นเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับหอบเอกสารมากองใหญ่ เธอเดินมายืนอยู่ที่หน้าเตียงนอนที่เซลีนนั่งพิงหัวเตียงนอนอยู่ พร้อมกับกล่าวแนะนำตัวขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณมิลเลอร์ ฉันชื่อเมลิสา วิลสัน เป็นเจ้าหน้าที่ women aid ฉันเป็นผู้รับผิดชอบเคสของคุณค่ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา
“สวัสดีค่ะคุณวิลสัน เรียกฉันว่าเซลีนก็ได้ค่ะ คือน่าจะสะดวกกับทางคุณในการเรียกมากกว่านะคะ” เซลีนบอกออกไป พร้อมกับยื่นมือขวาออกไปจับมือของเจ้าหน้าที่วิลสันอย่างมีมารยาท
“ได้ค่ะ ขออนุญาตนั่งเก้าอี้นะคะ น่าจะต้องคุยกันนาน ไม่ทราบว่าสะดวกคุยไหมคะ” เจ้าหน้าที่วิลสันตอบรับคำของเซลีนพร้อมกับขออนุญาต นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียงนอน
“เชิญค่ะ ฉันสะดวกคุยค่ะ” เซลีนเอ่ยแล้วก็เพิ่งนึกได้
“เอ๊ะ ใช่แล้ว อลิสล่ะคะ อลิสลูกสาวของฉัน เธอตกบันได เธอเป็นอย่างไรบ้าง เธออยู่ที่ไหน ฉันขอเจออลิสได้ไหมคะ” เซลีนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า อลิสลูกสาวของซินดี้ก็ตกลงมาจากบันไดเช่นกันกับเธอ
เธอยังไม่รู้ว่าอลิสอาการเป็นอย่างไรบ้าง จึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างที่สุด
“ใจเย็นก่อนค่ะ อย่าเพิ่งตกใจไป อลิสปลอดภัยแล้ว เด็กทั้งสองคนพักอยู่ที่ตึกผู้ป่วยเด็กค่ะ อลิสไม่เป็นอะไรมากแค่แขนพลิกนิดหน่อย ตอนนี้หมอใส่เฝือกประคองแขนให้แล้ว” เจ้าหน้าที่วิลสันเอ่ยพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
“โล่งใจหน่อย แล้วฉันจะได้พบเด็กๆ ได้เมื่อไหร่คะ” เซลีนมีแต่ใจที่เป็นห่วงลูกๆ ของซินดี้ จึงเอาแต่ถามถึงพวกเด็กๆ ไม่หยุด
“อีกไม่นานค่ะคุณเซลีน ฉันต้องบอกเรื่องของมิสเตอร์มิลเลอร์กับคุณด้วย ตอนนี้สามีของคุณ ตำรวจได้นำตัวไปขังไว้ที่สถานีตำรวจตั้งแต่ เมื่อคืน น่าจะประมาณ 2-3 วัน ก็คงต้องปล่อยไปค่ะ” เจ้าหน้าที่วิลสันรีบบอกเธอให้ใจเย็นลง
“ตำรวจเหรอคะ” เซลีนถามกลับไป เพราะเธอกำลังสงสัยว่าตำรวจรู้ได้อย่างไร และใครนำเธอส่งโรงพยาบาล
“ใช่ค่ะ แอนดี้เป็นคนไปเรียกมิสเตอร์อินเนอร์เพื่อนบ้านให้มาช่วยค่ะ แล้วมิสเตอร์อินเนอร์จึงแจ้งตำรวจและเรียกรถพยาบาลมาที่บ้านของคุณ แอนดี้เก่งมากเลยนะคะ อายุเท่านี้ก็เป็นที่พึ่งของแม่กับน้องได้แล้ว” เจ้าหน้าที่วิลสันเอ่ยบอกให้เซลีนหายสงสัย
“อ๋อ” เซลีนร้องออกมาเมื่อเข้าใจเรื่องราวเมื่อวาน
มิสเตอร์อินเนอร์หรือเจสัน อินเนอร์ เป็นเพื่อนบ้านของเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่สนิทสนมกันมากนัก แต่ก็พอทักทายกันเป็นประจำ เด็กๆ ก็ชอบไปเล่นกับเขา
“ฉันอยากไปหาอลิสค่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้มากขนาดไหน” เซลีนพยายามต่อรองอีกที
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปค่ะ มีแอนดี้ดูแลอยู่ อลิสไม่ยอมอยู่คนเดียวค่ะ คุณหมอเลยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ฉันคิดว่าตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องของคุณกับสามีก่อนดีกว่าไหมคะ อลิสเธอปลอดภัยแล้ว แต่ตัวคุณนี่แหละคะ ที่ฉันคิดว่ายังน่าเป็นห่วง คุณวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป คุณต้องการให้ทางเราช่วยเหลืออะไรบ้าง” เจ้าหน้าที่วิลสันถามออกมา
“ฉันต้องการหย่าค่ะ และจะขอสิทธิ์การดูแลลูกทั้งสองคนเป็นของฉันคนเดียว ส่วนตอนนี้ฉันอยากขอให้รัฐช่วยเหลือในการหาบ้านฉุกเฉินให้พวกเราอยู่ชั่วคราว พอจะเป็นไปได้มั้ยคะ เพราะฉันคิดว่าลูกๆ กับฉันคง ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป” เซลีนพูดด้วยความกังวลใจ
“อีกอย่างค่ะ หากฉันหย่าตอนนี้แล้ว วีซ่าของฉันจะเป็นอย่างไรคะ เพราะตอนนี้ฉันถือวีซ่าติดตามสามี อีกแค่หนึ่งปี ฉันก็สามารถขอวีซ่าถาวรได้แล้ว ฉันอดทนมาตลอดก็เพื่อลูก เขาขู่ฉันว่าถ้าฉันไม่ทำตามที่เขาต้องการ เขาจะส่งฉันกลับไทย และฉันจะไม่ได้เจออลิสกับแอนดี้อีก” เซลีนบอกความต้องการของเธอให้กับเจ้าหน้าที่วิลสันฟัง
และยิ่งพูดก็ดูเหมือนเธอจะยิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้เข้าไปทุกที หรือนี่อาจจะเป็นอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่ของร่างนี้ก็เป็นไปได้
“ได้ค่ะ ฉันจะรีบดำเนินการให้ ตอนนี้คุณก็รักษาตัวที่นี่ไปก่อน ฉันคิดว่าฉันน่าจะได้บ้านฉุกเฉินก่อนที่คุณจะออกจากโรงพยาบาล สำหรับเรื่องวีซ่าไม่ต้องเป็นกังวล เรามีวีซ่าช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกทำร้าย ยิ่งครั้งนี้มิสเตอร์มิลเลอร์ทำร้ายคุณและอลิส คุณมีคุณสมบัติที่จะขอวีซ่าประเภทนี้ได้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่วิลสันบอกกับเซลีน พร้อมล้วงเข้าไปในกระเป๋าสูทของเธอ แล้วยื่นนามบัตรส่งให้เซลีน
“นี่เป็นนามบัตรและเบอร์โทรศัพท์ของฉัน ถ้าต้องการติดต่ออะไรโทรหาฉันได้ตลอดเวลาค่ะ” เจ้าหน้าที่วิลสันยิ้มให้เซลีน
“ขอบคุณมากค่ะ” เซลีนยื่นมือไปรับนามบัตรเอามาเก็บไว้ข้างเตียง
เจ้าหน้าที่วิลสันอยู่คุยกับเซลีนไม่นานก็ขอตัวกลับไป หลังจากนั้นห้องของเซลีนก็เงียบกริบ เซลีนกำลังจะกดกริ่งเรียกพยาบาลเพื่อสอบถามเกี่ยวกับห้องที่อลิสพักรักษาตัว แต่ยังไม่ทันได้กดกริ่ง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง และประตูก็เปิดออกทันที
“ช่อเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนมากไหม ไอ้มาร์คบ้านี้ ก็น่าจะทุบกะโหลกให้ตายไปเลย” หญิงสาวรูปร่างบอบบาง ผิวออกแทนเดินเข้ามาพร้อมกับคำก่นด่า
เซลีนมองไปที่สาวร่างบางตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ครุ่นคิด
“มีอย่างที่ไหนกัน มาทำเพื่อนฉันแบบนี้ แย่มากไอ้เจ้ามาร์คเนี้ย มันไม่ใช่คนแล้ว มันเป็นปีศาจ...โอ๊ยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ฉันว่าแกหย่าๆ กับมันไปเถอะ ไม่ต้องทนแล้ว ผู้ชายเส็งเคร็งพันธุ์นี้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป แกได้ตายก่อนมันแน่”
เซลีนยังจ้องมองสาวปริศนาที่เดินเข้ามาข้างเตียง พร้อมกับบ่น ชุดใหญ่ อีกทั้งข้างหลังหญิงสาวก็มีหญิงวัยเกือบ 60 ปี เดินตามกันเข้ามาด้วย
เซลีนพยายามค้นความทรงจำว่าสองสาวคนละวัยนี้เป็นใคร ก่อนจะจำได้ว่าหญิงสาวคนนี้ที่กำลังบ่นให้เธอฟังอยู่ ชื่อว่านันทิกาหรือกุ้ง เพื่อนที่ทำงานของเจ้าของร่างนี้ กุ้งกับซินดี้ถือเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งสองคนจะพูดคุยปรึกษาปัญหากันตลอด เหมือนกับรู้ไส้รู้พุงกันเลยก็ว่าได้
“เอาน่ากุ้ง จะไปบ่นอะไรมากมาย รู้ๆ กันอยู่ สงสารก็แต่ช่อ ต้องมาพลอยลำบากไปอีก”
ส่วนหญิงวัยใกล้ชราคนนี้ก็คือเจ้รำไพ เจ้าของร้านอาหารและ ร้านนวดที่ซินดี้ทำงานด้วย พอเธอพูดจบเธอก็เดินมานั่งข้าง ๆ เตียง พร้อมส่งสายตาเห็นใจมาที่เซลีนทันที
“ซ่อเป็นไงบ้าง “ เจ้รำไพถามเธอขึ้นมา
“เจ้ กุ้ง ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง ช่อโอเค แค่หัวแตก เจ็บเรือหายเลยเจ้” เซลีนตอบเจ้รำไพไปพร้อมกับพูดให้ติดตลก
“ยังจะมาเล่นอยู่อีกช่อ พอเจ้รู้ข่าวนะ เจ้ก็รีบมาที่โรงพยาบาลเลย แต่ว่าก็เข้าเยี่ยมไม่ได้เพราะช่อยังไม่ฟื้น นี่ก็รีบมาทันทีเลยที่พยาบาลโทรไปแจ้งน่ะ” เจ้รำไพแอบบ่นเบา ๆ ให้กับเซลีนฟัง
“เจ้ กุ้ง ถ้าช่วงนี้ฉันทำตัวแปลกๆ หรือนิสัยไม่เหมือนเดิม เจ้กับกุ้งก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ฉันหัวกระแทกนะ หมอบอกว่ามันก็จะหลงๆ ลืมๆ บ้าง เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นและกลับมาเอง แต่จะกลับมาตอนไหน หมอหรือฉันก็บอกไม่ได้นะ” เซลีนรีบบอกสองสาวต่างวัยด้วยท่าทางจริงจัง
กันไว้ก่อน เกิดนิสัยซินดี้เปลี่ยนไปกะทันหัน จะได้ไม่มีใครสงสัย เธอเลยถือโอกาสนี้อ้างเรื่องที่หัวแตก เหมือนเหตุผลสุดฮิตในนิยายนั้นแหละ
“ ช่อ แล้วแกจะเอาไงต่อไป” นันทิกาถามหลังจากที่เซลีนพูดจบ
“ฉันจะหย่ากับมาร์ค women aid เพิ่งกลับไปก่อนหน้าที่เจ้กับกุ้งจะเข้ามาเอง ฉันขอให้เจ้าหน้าที่หาบ้านพักฉุกเฉินให้อยู่ พร้อมกับดำเนินเรื่องหย่า และขอสิทธิ์ดูแลแอนดี้กับอลิสเอง” เซลีนบอกเพื่อนออกไป
“อ้าวช่อ แล้วแกไม่ต้องรอให้ครบ 5 ปี ก่อนเหรอ ที่จะต่อวีซ่าได้ แบบนี้แกต้องกลับไทยหรือเปล่า แล้วที่แกอดทนมาตั้ง 5 ปีก็เท่ากับเสียเปล่าน่ะสิ” นันทิกาบ่นให้กับเซลีนฟังแบบโมโห
“ไม่หรอก เจ้าหน้าที่บอกว่าฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้ พวกเขาจะช่วยดูแลเรื่องนั้นให้และเรื่องวีซ่าก็ไม่ต้องเป็นห่วง มาร์คมันทำให้อลิสกับฉันบาดเจ็บ เรื่องนี้เลยกลับกลายเป็นผลดีกับฉันและลูกไป”
เซลีนพูดพร้อมถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก “แบบนี้ทุกอย่างก็คงง่ายขึ้นล่ะ แต่ก็ต้องรอว่าเจ้าหน้าที่จะบอกให้ทำอย่างไรต่อไป” เซลีนตอบเพื่อนกลับไปด้วยความหนักใจระดับหนึ่ง
“ดีแล้วละที่ว่าจะหย่า ทนมันมาตั้งนานละ ไม่ต้องทนอีกต่อไป ช่อไปอยู่กับเจ้ก่อนก็ได้ เจ้ก็อยู่ตัวคนเดียว แอนดี้กับอลิส เจ้ก็เห็นมาตั้งแต่เกิด ก็รักเหมือนลูกเหมือนหลาน ดีชะอีก เจ้จะได้มีคนมาอยู่ด้วยจะได้หายเหงา” เจ้รำไพเสนอขึ้นมา
“ขอบคุณเจ้มากที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด ทั้งให้งานทำ แล้วยังจะให้ไปพักด้วยอีก แต่ฉันว่าฉันน่าจะไปอยู่บ้านรัฐที่จัดหาให้จะดีกว่า ไม่อยากรบกวนเจ้เลย เกรงใจจริงๆ เลยเจ้” เซลีนไหว้ขอบคุณและตอบเจ้รำไพไป
“โอ้ย..จะเกรงอกเกรงใจกันทำไม แกก็เป็นเหมือนลูกเหมือนหลานเจ้คนหนึ่ง ไม่ต้องคิดมาก ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ย้ายไปอยู่ด้วยกัน เด็ก ๆ ก็คงไม่ชอบไปอยู่ร่วมกับคนอื่นหรอก ไปอยู่ด้วยกันนี่แหละดีแล้ว”
เจ้ตัดสินใจให้กับซินดี้ตามประสาคนที่ชอบจัดการทุกอย่างเอง อีกอย่างเธอก็อยากดูแลซินดี้และเด็ก ๆ อยู่แล้วด้วย
“ฉันก็ว่าดีนะช่อ แกไปอยู่กับเจ้ แอนดี้กับอลิสก็คงสบายขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะดุจะตีเมื่อไหร่ ถ้าแกอยากตอบแทนเจ้ ก็แค่ตั้งใจทำงานให้เจ้มากขึ้น เจ้ก็น่าจะโอเคแล้ว จริงไหมเจ้”
นันทิกาบอกกับเซลีน พร้อมกับหันไปถามเจ้รำไพ
“อือ” เจ้รำไพตอบพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอบคุณเจ้มากๆ จ้ะ งั้นฉันจะโทรไปบอกเจ้าหน้าที่ ว่าจะย้ายไปอยู่กับเจ้หลังออกจากโรงพยาบาล เขาจะได้ให้ตำรวจพาไปเก็บของ ฉัน ไม่อยากเจอมาร์คตามลำพังอีกแล้ว” เซลีนตอบด้วยความเหนื่อยใจ
“เอ้อ...อีกอย่างนะ เจ้ กุ้ง ฉันจะเปลี่ยนชื่อด้วย ไม่เอาชื่อซินดี้แล้ว ไหนๆ ก็จะหย่ากันแล้ว ฉันเองก็อยากจะมูฟออนต่อเหมือนกันนะเจ้ ต่อไปฉันจะใช้ชื่อว่าเซลีนนะ ฉันว่ามันน่ารักดี” เซลีนรวบรัดทุกอย่างจบครบ
“เอ้อ ก็ดีนะ เปลี่ยนผัวใหม่ด้วยจะดีมาก” นันทิกาได้ยินแบบนั้น ก็เอ่ยแซวเซลีนไปด้วยเช่นกัน
หลังจากสามสาวคุยกันเรียบร้อย ทั้งเซลีน นันทิกากับเจ้รำไพ ก็พากันไปเยี่ยมอลิสกับแอนดี้ที่ตึกเด็กที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?