บ้านขนาดกลางของหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องน่าอยู่ที่สุดหลายปีซ้อน ในเมืองอะเบอดีน ยังคงสงบสุขเหมือนเช่นเคย ทัศนียภาพต่างๆ ยังคงสวยงามน่ามอง เมื่อตั้งตระหง่านอยู่หลังกระจกหน้าต่างบานกว้าง
เบนจามินนั่งจิบกาแฟและส่งข้อมูลเกี่ยวกับที่พักและร้านอาหารให้กับนักท่องเที่ยวที่ติดต่อเข้ามา หลังจากทำงานเสร็จแล้ว เขาก็ละสายตาออกไป
ในตอนที่ตัดสินใจเลือกเช่าบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัย เขาจำได้ว่าเซลีนภรรยาของเขาชื่นชอบที่ตรงนี้ที่สุด มันเป็นโต๊ะไม้ตัวยาวธรรมดา ๆ กับกระจกกว้าง ๆ ที่สามารถมองทะลุออกไปเห็นขุนเขา ป่าไม้ และสนามกอล์ฟ เธอว่ามันทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายที่สุด และตอนนี้เขาก็ไม่เสียใจเลยที่ เชื่อเธอ
เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว เขากำลังรอโทรศัพท์จากเซลีน ภรรยา สุดที่รัก ที่สัญญาว่าจะโทรศัพท์หาเขาก่อนขึ้นเครื่อง คงอีกไม่นานที่โทรศัพท์มือถือของเขาจะดังขึ้น แต่ยังไม่ทันคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา
กริ๊ง กริ๊ง
เบนจามินคิดว่าเป็นภรรยาของเขา จึงไม่ได้มองเบอร์ที่โทรเข้ามา เขารีบคว้ามือถือขึ้นมาแล้วกรอกเสียงลงไปทันที
“หม่ามี้ อยู่ที่สนามบินยัง” เบนจามินส่งเสียงถามออกไปอย่างร่าเริง ก่อนที่จะชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของปลายสายที่โทรเข้ามา
“สวัสดีครับ ขอเรียนสายคุณเบนจามิน คลิฟฟอร์ดครับ” เป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง
“เอ้อ เบนจามินพูดครับ”
“สวัสดีครับคุณคลิฟฟอร์ด เรารู้สึกเสียใจมากที่จะต้องแจ้งว่าภรรยาของคุณ ช่อผกา คลิฟฟอร์ด ได้รับบาดเจ็บหนัก และเสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลครอว์ลีย์ ทีมแพทย์พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อช่วยชีวิตเธอ เนื่องจากเป็นคดีทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีผู้บาดเจ็บรายอื่นด้วย เราจึงต้องขอรับความยินยอมจากคุณเพื่อทำการชันสูตร........”
เสียงจากปลายสายเบาลงเรื่อย ๆ จนไม่ได้ผ่านเข้าไปถึงสมองของ เบนจามินได้ อาจเป็นเพราะสติของเขาหายไปตั้งแต่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาได้รับบาดเจ็บ
“ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ” เขาเอ่ยก่อนจะวางสายไป
โทรศัพท์เครื่องหรูถูกวางลงบนโต๊ะไม้ ส่วนเจ้าของมันก็นั่งลงที่เดิม เบนจามินเหม่อมองออกไปยังเมืองสีเทาท่ามกลางแสงแดด จู่ ๆ ก็รู้สึกว่า เมฆฝนกลุ่มใหญ่กำลังทอดตัวปกคลุมบ้านของเขาเอาไว้
แสงอาทิตย์สว่างจ้าพลันมืดดับ สองมือของเขาสั่นสะท้าน ทั้งที่ใจยังคงกู่ร้องว่าไม่ใช่เรื่องจริง
เบนจามินกวาดสายตาไปรอบบ้าน คาดหวังว่านี่จะเป็นการซ่อนกล้องของรายการโทรทัศน์หรืออะไรทำนองนั้น เขายกมือขึ้นทึ้งศีรษะราวกับคน สติไม่ดี เมื่อไร้วี่แววว่าภรรยาคนสวยจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างที่เขาเคยเห็นตามรายการทั่วไป
ทั้งบ้านเงียบงัน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงรถด้านนอก
เบนจามินยังคงมีคาดหวัง เขาจึงกดโทรศัพท์หาภรรยาผู้เป็นที่รัก
และความจริงก็ตีแสกหน้าเขาอีกครั้ง เมื่อเบอร์มือถือของเซลีน ไม่สามารถติดต่อได้ มีเพียงเสียงของระบบอัตโนมัติเท่านั้นที่ตอบกลับมา ความรู้สึกมากมายตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวของเขา เบนจามินก้มหน้าลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง นึกโกรธพวกไร้ความคิด ไร้มนุษยธรรม แล้วก็พวกนักท่องเที่ยวที่ไร้มารยาท ถ้าหากว่าไม่มีพวกไร้สมองที่ปล่อยให้อคติบังตา ภรรยาของเขาก็คงนั่งอยู่บนเครื่องบินด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที และกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ถ้าหากว่าพวกนักท่องเที่ยวไร้มารยาทพวกนั้นมีสมองขึ้นมาบ้าง ภรรยาของเขาก็คงไม่ต้องโดนลูกหลงจากความเกลียดชังแบบนี้
เธอควรจะได้กลับมาที่นี่ กลับมาหาเขาและลูกชาย กลับมาใช้ชีวิตและเป็นรอยยิ้มของเขาต่อไป
ตั้งแต่แรกที่เขาได้รู้จักกับเซลีน เธอก็เป็นเหมือนแสงสว่างและเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง เมื่อได้พูดคุย พวกเราก็เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด ตอนที่ตัดสินใจเลื่อนสถานะและใช้ชีวิตร่วมกัน ชีวิตของเขาก็สดใสขึ้นมาทันที
เซลีนทำให้วันธรรมดา ๆ ของเขากลายเป็นวันพิเศษได้เสมอ แค่เธอยิ้มหรือหัวเราะออกมา
สถานที่มากมายไม่ว่าจะที่สก็อตแลนด์หรือที่ประเทศบ้านเกิดของเธอล้วนเต็มไปด้วยภาพความทรงจำของเขากับเธอ ในบ้านที่เรียบง่ายและสุขสบายหลังนี้ ทุก ๆ ที่ล้วนมีภาพของเธอซ้อนทับอยู่แทบจะทุกตารางนิ้ว
เบนจามินกวาดสายตาไปทั่วบ้าน เห็นแต่ภาพภรรยาคนสวยเดินถือจานอาหารสองจานออกมาวางที่โต๊ะในห้องกินข้าว เขาเห็นภาพเธอยิ้มและหัวเราะตอนที่พวกเขาช่วยกันทำความสะอาดชั้นหนังสือ เขาเห็นภาพเธอวิ่งเข้ามาในบ้านและกระโจนกอดเขาเหมือนตอนที่เริ่มใช้ชีวิตด้วยกัน
ยิ่งมอง ความทรงจำของเขาก็ยิ่งไหลทะลักเข้ามา ก่อนจะกลายเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเขา
“แด๊ดดี้? โอเคมั้ยฮะ”
เด็กชายวัยห้าขวบเดินลงมาจากชั้นสอง หลังจากกลับมาจากโรงเรียน และขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แดนนี่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพ่อของเขากำลังร้องไห้อย่างหนัก แดนนี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งและอารมณ์ไม่มั่นคงของเขาเมื่อไม่เห็นว่าแม่ของเขาอยู่ในบ้านจึงเอ่ยถาม
“หม่ามี้ยังไม่กลับมาเหรอฮะ”
เบนจามินปล่อยโฮอีกครั้ง ก่อนจะรวบตัวลูกชายเขามากอด เด็กชายตกใจเล็กน้อย แต่ก็ตบบ่าปลอบโยนผู้เป็นพ่อกลับไป
“แดนนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ แด๊ดดี้จะพาไปหาหม่ามี้นะครับ ลูกหิวไหม”
ในที่สุดเขาก็เอ่ยอะไรออกมา หลังจากเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
แดนนี่พยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนเบนจามินก็เดินไปอุ่นอาหารที่ภรรยาทำเก็บเอาไว้ให้ลูกชาย ส่วนตัวเขาเองมันกินอะไรไม่ลงจริงๆ
ในคืนนั้นเบนจามินให้แดนนี่มานอนกับเขาที่ห้อง เพราะเขาไม่อยากอยู่คนเดียว บนเตียงนอนหลังนี้ ที่ต่อไปจะไม่มีภรรยาสุดที่รักของเขานอนร่วมกันกับเขาอีกต่อไป เบนจามินนอนกอดแดนนี่แน่น เหมือนกับว่าแดนนี่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวที่เขาหลงเหลืออยู่
*****
เช้าวันรุ่งขึ้น
ทั้งคู่เดินทางออกจากบ้านตอนหกโมงกว่า ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงลอนดอนและเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลครอว์ลีย์ทันที
“หม่ามี้อยู่โรงพยาบาลเหรอฮะ? หม่ามี้เป็นอะไรฮะ” เมื่อเห็นว่าแด๊ดดี้พาตัวเองมาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ เด็กชายก็เริ่มขวัญเสีย
ตลอดทางเบนจามินเหม่อลอยและเงียบนิ่งไม่เหมือนเดิม ยิ่งทำให้เด็กชายหวาดกลัว
“ครับ เดี๋ยวเรา... ไปบอกลาหม่ามี้กันนะ” เขาหันมายกยิ้มฝืดเฝื่อนให้ลูกชาย ก่อนจะจูงมือเขาไปติดต่อเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
ในห้องดับจิตกลิ่นฟอร์มาลีนฉุนกึกคละคลุ้ง แต่มันยังไม่รุนแรงเท่ากับภาพของภรรยาที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผ้าสีขาวถูกเลื่อนเปิดและใบหน้าอ่อนหวานของเธอก็ปรากฏออกมา ผิวของเธอขาวซีดและร่างกายแข็งราวกับก้อนน้ำแข็งไปแทบจะทุกส่วน เขาสวมถุงมือที่พยาบาลนำมาให้ก่อนจะสัมผัสใบหน้าของภรรยาเบา ๆ
“ที่รัก ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ” เสียงทุ้มสั่นเครือจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์
แดนนี่ยืนอยู่ด้านหลังกับพยาบาลสาวคนหนึ่งมองภาพนั้นด้วยความตกใจ เบนจามินคุกเข่าลงที่ข้างเตียง ซบใบหน้าลงกับฝ่ามือแข็งเกร็งของภรรยา พร่ำเอ่ยเสียงบางเบาจนเกือบจะเป็นเพียงเสียงลมที่พัดผ่านอย่าง เกียจคร้าน
“ผมขอโทษ ถ้าผมเชื่อคุณ.... มันคง... ผมขอโทษ ....ขอโทษนะเซลีน”
ก่อนหน้าที่ภรรยาของเขาจะเดินทาง เธอเข้ามาหาเขาและเอ่ยปากขอให้เขาไปด้วย ตอนนั้นสีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดี อาจจะเพราะสัญชาตญาณบางอย่างที่บอกเธอว่าเขาควรเดินทางไปด้วยกัน
แต่เพราะเขาไม่อยากเลื่อนงานของลูกค้ารายใหม่ เขาจึงเอ่ยปฏิเสธออกไป
“ขอโทษด้วยนะหม่ามี้ ผมมีนัดน่ะสิ” เซลีนเบะปากด้วยท่าทีเสียใจ สองแขนเล็กที่จับมือของเขาตวัดขึ้นมากอดเอวเขาแน่น
“เลื่อนออกไปก่อนไม่ได้เหรอคะ ให้เบรกซ์ตันรับแทนไม่ได้เหรอ”
เธอออดอ้อนเสียงหวาน ซุกหน้ากับไหล่กว้างของหนุ่มใหญ่ เบนจามิน คลี่ยิ้มเอ็นดูลูบผมเธอเบา ๆ และดึงเธอมามองหน้ากัน
“หม่ามี้ คุณโตแล้วนะ โตจนแม่คนแล้ว ยังงอแงเป็นเด็ก ๆ อีกเหรอครับ” เบนจามินถามกึ่งหยอกล้อ เซลีนเบ้หน้าเล็กน้อยก่อนจะผละกอดออกไป
“ฉันไม่อยากเดินทางโดยที่ไม่มีคุณนี่!”
ในตอนนั้น เขาคิดว่าคงเป็นเพราะในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาเดินทางด้วยกันเสมอ แทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลยด้วยซ้ำ
“เอาน่าหม่ามี้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ผมกับแดนนี่จะรอคุณอยู่ที่บ้านไง”
สุดท้ายแล้วเซลีนก็ต้องยอมเดินทางก่อนที่จะตกเครื่องบิน ไม่คิดเลย
ว่า...นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้คุยกับเธอ
เบนจามินสะอื้นอย่างเงียบงัน นึกโทษตัวเองที่ไม่คิดจะเชื่อเธอและ คิดไปเองว่าเพราะเธอติดเขาเกินไป ถ้าหากว่าตอนนั้นมีเขาอยู่ด้วย มันคง ไม่เกิดเรื่องแบบนี้
“ผมขอโทษนะ เซลีน” เขาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะจุมพิตลงที่หลังมือซ้ายเย็นจัดที่ปราศจากชีวิตของคนที่เป็นคู่ชีวิตของเขามานานหลายปี
เบนจามินยังคงคาดหวังจะให้เธอฟื้นขึ้นมา เขาใช้ดวงตาแดงก่ำจ้องมองใบหน้าของภรรยา ใบหน้าที่ไม่ต้องแต่งแต้มอะไรมากมายมันก็สวย ในสายตาเขาเสมอ ใบหน้าที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครก็ต้องยิ้มตาม
ใบหน้าสวย ๆ ที่ทำให้ทุก ๆ วันของเขาและเธอเป็นวันพิเศษ
ตลอดสี่สิบหกปีที่ผ่านมา เบนจามินไม่เคยรักใครได้มากเท่าเซลีน เธอทำให้ชีวิตของเขามีความหมายมากขึ้น ชีวิตที่ใช้ไปวัน ๆ ของเขามีจุดมุ่งหมายขึ้นมาตั้งแต่ได้ร่วมชีวิตของเธอ ถ้าหากว่าสามารถแลกได้ วันนี้เขาก็อยากจะให้เป็นตัวเขาเองที่นอนอยู่บนนั้น
ต่อให้ต้องใช้ชีวิตแลกไป ถ้าทำให้ภรรยาของเขากลับมามีชีวิตได้ เขา ก็ยอม
“แด๊ดดี้...”
แดนนี่ส่งเสียงเรียกผู้เป็นพ่อที่มีสภาพไม่สู้ดีนัก เขาเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าอะไรคือบอกลา ไม่เข้าใจว่าทำไมหม่ามี้ของเขาถึงไม่ตื่นขึ้นมาส่งยิ้มให้เขา เบนจามินเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะตอบคำถามใด ๆ เพียงแค่อุ้มเด็กชายขึ้นมา และบอกให้เขาบอกลา
“บ๊ายบายหม่ามี้นะครับ อีกเดี๋ยวเราก็ต้องกลับแล้ว”
เบนจามินพยายามทำให้เสียงของตัวเองเป็นปกติที่สุด เขามองภาพ ลูกชายโบกมือลาภรรยาช้าๆ มือเล็ก ๆ ปิดปากตัวเองและส่งจูบให้คนที่หลับใหลตลอดกาล น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วก็พลันไหลบ่าลงมาอีกครั้ง
“บ๊ายบายหม่ามี้ แดนนี่กลับก่อนนะฮะ ฝันดีฮะหม่ามี้” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยท่ามกลางความเงียบงัน เด็กน้อยกอดแขนข้างหนึ่งไว้ที่คอของเบนจามิน อย่างทุกที แต่ครั้งนี้หม่ามี้คนสวยกลับไม่ตอบอะไร
“อีกไม่นาน ผมจะมารับนะครับที่รัก” เบนจามินเอ่ยกับภรรยาเสียงเบา ก่อนที่ผ้าสีขาวจะถูกยกกลับไปเช่นเดิม
ผ้าสีขาวสะอาดปิดกั้นใบหน้าที่คุ้นเคยจากไป
นึกสมเพชตัวเองที่แม้แต่คนรักก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ ทั้งที่วาดฝันกันไว้มากมาย เขากับเซลีนพยายามที่จะมีลูกมานาน จนกระทั่งหมอบอกว่าเซลล์ไข่ของเธออายุมากแล้ว และมันคงไม่ดีนักที่จะตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะรับเลี้ยงแดนนี่วัยห้าขวบมาเป็นลูกชาย
เซลีนอยากมีลูกมานาน ดังนั้นเธอจึงรักแดนนี่เหมือนลูกที่เธอคลอดออกมาเอง แดนนี่เป็นเด็กหัวไวและสดใสไม่ต่างกับเธอ ตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช่วยกันปลูกต้นไม้ในสวน หรือตอนที่ออกไปปิกนิค ล้วนเป็นความสดใสและความสุขของเขา น่าตลกที่ผ่านไปเพียงสามเดือน ทุกอย่างก็พังทลายลง
เขาอยากกล่าวโทษพระเจ้าที่ไม่ได้เมตตาเขาอีกต่อไป ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยขอบคุณ ที่อย่างน้อยแดนนี่ก็ยังอยู่กับเขา ตอนที่ส่งเด็กชายเข้านอน เบนจามินยังเห็นภาพภรรยาซ้อนทับความว่างเปล่า เธอกำลังเลือกนิทานจากชั้นเพื่ออ่านให้ลูกชายตัวน้อยฟัง คืนนี้เขาจึงทำหน้าที่นั้นแทน พร้อมทั้งภาวนาให้เซลีนเอ่ยทักทายกันสักคำ
น่าเศร้าที่แม้แต่พระเจ้า ก็ไม่สามารถตอบรับคำขอของเขาได้
คืนนั้นจึงเป็นคืนที่เขาเสียใจที่สุดในชีวิต *****
หนึ่งเดือนผ่านไป
“หลังจากทำพิธีที่นี่แล้ว ผมจะพากระดูกของเซลีนไปหานะครับ แล้วก็พาแดนนี่ไปเจอคุณด้วย” เบนจากมินบอกออกไปตอนที่ได้วิดีโอคลอไปหาพี่สาวของภรรยา
ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้น ตำรวจลอนดอนทำหน้าที่ได้อย่างดี และคนร้ายก็กำลังถูกตามตัว ตอนนี้เขาสามารถพาร่างของภรรยาไปทำพิธีได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะทำพิธีแบบคริสต์ที่ สก็อตแลนด์ จากนั้นค่อยพาโถกระดูกและลูกชาย ไปพบกับครอบครัวของเธอที่ประเทศไทย
“เอาเถอะ ทางนี้ก็แล้วแต่คุณเบนจัดการละกัน ช่วงนี้ดีขึ้นบ้างหรือยังล่ะคะ” ช่อฟ้าเอ่ยถามน้องเขยด้วยความสงสาร
ตอนที่เธอและครอบครัวรู้ข่าวก็เสียใจไม่แพ้กัน กว่าเธอจะสามารถ ตั้งสติได้ก็ทำใจอยู่นาน กับน้องเขยที่อยู่ด้วยกันมานาน ทั้งรักทั้งผูกพันกันเธอไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน เป็นความโชคดีของเธอที่ คุณเบนน้องเขยสามารถพูดภาษาไทยได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชัด สำเนียงยังแปร่ง ๆ แต่เธอก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย จึงทำให้การสื่อสารแบบเบสิคไม่มีปัญหามากนัก ปกติเวลาที่ทั้งสองคนมาเยี่ยมเธอ น้องสาวก็เป็นผู้แปลตลอด
“ทำใจได้บ้างแล้ว แต่จะให้ไม่รู้สึกอะไร คงทำไม่ได้หรอกครับ”
เบนจามินตอบกลับไป
“ยังไงก็ขอให้ผ่านไปได้นะ คุณเบนต้องเข้มแข็งนะ เพื่อแดนนี่และ ตัวของคุณเบนเอง เซลีนคงไม่ดีใจแน่ ถ้าคุณเบนยังเศร้าอยู่แบบนี้”
“ครับ รักษาตัวด้วยนะครับ”
“คุณเบนเองก็เหมือนกัน รักษาตัวด้วย” ช่อฟ้าเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อสนทนากับพี่สาวของภรรยาแล้วเสร็จ เบนจามินก็เตรียมตัวเดินทางไปยังโรงพยาบาลครอว์ลีย์อีกครั้ง เพื่อรับร่างของภรรยามาประกอบพิธีตามศาสนา ซึ่งพิธีศพของเธอถูกเตรียมการเอาไว้แล้วระหว่างที่รอรับ คำอนุญาตจากตำรวจ ดังนั้นจึงไม่วุ่นวายมากนัก
ภายในงานเรียบง่ายและสงบ บรรยากาศอึมครึมและเศร้าโศก
เบนจามินนั่งอยู่ด้านหน้าสุด มีพ่อและแม่ของเขานั่งอยู่ใกล้ ๆ
ที่ด้านหน้าสุดมีหีบศพสีดำเงาและดอกไม้หลากชนิดประดับอยู่ ร่างภรรยาของเขากำลังนอนหลับใหลอยู่ในนั้น
ตอนที่ไปรับร่างของภรรยา เขาเห็นร่างกายที่ไร้สีเลือดของเธอมีร่องรอยการถูกเย็บ คงเป็นเพราะการชันสูตรศพ โชคดีที่นอกจากเส้นผมที่ถูกโกนออกไป ก็ไม่มีส่วนไหนที่แปลกแตกต่างไปจากปกติ
เขายังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจลึก ๆ เพราะคงไม่มีความเจ็บปวดไหนที่จะรุนแรงเท่ากับการสูญเสียเธอไปอีกแล้ว
หัวใจของเบนจามินรู้สึกเหมือนมีมีดกรีดลึกลงไป และไม่มีทางสมานหายได้ดีดั่งเดิมอีกต่อไป เขาได้แต่พร่ำเอ่ยขอโทษเธอทุกวันคืน เหมือนมัน ไม่เคยจางหายไปจากตัวเขา
เบนจามินกล่าวสุนทรพจน์ถึงภรรยาผู้ลาลับ ดวงตาเขาแดงก่ำในตอนที่เอ่ยขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ผ่านมา เขาให้สัญญาว่าจะดูแลลูกของพวกเขาให้ดีที่สุด จากนั้นจึงบอกรักเธอเป็นครั้งสุดท้าย
แดนนี่ในชุดสูทสีดำนั่งอยู่กับคุณปู่และคุณย่าของเขา เด็กน้อยมีท่าทีเศร้าซึมไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เขามองไปยังหีบศพด้านหน้าสลับกับแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อบนเวทีด้วยแววตาเศร้าหม่น
ไม่นานเบนจามินเดินกลับมานั่งที่เดิม ไหล่กว้างทั้งสองข้างห่อลงเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง และในตอนที่เสียงเพลงดังขึ้น ไหล่ทั้งสองข้างก็สั่นไหวแผ่วเบา
พ่อของเบนจามินยกมือขึ้นตบไหล่ลูกชายเบา ๆ อย่างปลอบใจ แม่ของเขาลูบหัวแดนนี่เบา ๆ และมองลูกชายอย่างเป็นกังวล
ในตอนที่ผ้าม่านปิดลง เบนจามินก็ยังไม่อาจละสายตาจากไปได้
*****
หลังพิธีศพในสก็อตแลนด์เสร็จสิ้น เขาก็รับเถ้ากระดูกของภรรยามาจากทีมจัดงาน เบนจามินเลือกเดินทางไปยังบ้านของภรรยาที่ประเทศไทย ในวันเดียวกันนั้น เขาพาลูกชายขึ้นเครื่องบินและนั่งประจำที่
หลังงานงานศพจบ ลงสภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยก็สามารถมีสติทำงานและจัดการเอกสารต่าง ๆ ได้ แดนนี่เองก็ค่อย ๆ เข้าใจ คำว่าจากไปตลอดกาลจากการสูญเสียในครั้งนี้ แต่โชคดีที่เขาเข้าใจผู้เป็นพ่อไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรที่ชวนเศร้าใจมากนัก
เบนจามินจัดการเอกสารประกันระหว่างที่รอเครื่องขึ้น เงินประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่ภรรยาของเขาทำเอาไว้ มีตัวเขาเป็นผู้รับประโยชน์ทั้งหมด เช่นเดียวกันกับประกันของเขา ที่ภรรยาจะเป็นผู้รับผลประโยชน์
เมื่อตรวจสอบแล้ว เงินประกันทั้งหมดรวมไปถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเซลีน เขาเห็นว่ามีจำนวนมากพอที่เขาและแดนนี่จะใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้นเบนจามินจึงเลือกติดต่อซื้อบ้านที่เช่าอยู่ในสก็อตแลนด์เป็นของตัวเอง อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีความทรงจำกับภรรยาที่นั่น และในอนาคต เขาก็ยังคิดถึงมันได้เสมอ
*****
เมื่อทั้งสองถึงเมืองไทยบ้านเกิดของเซลีน พวกเขาก็ออกเดินทางไปหาช่อฟ้าทันที เบนจามินไหว้ทักทายช่อฟ้า เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของเธอ
“เป็นไงบ้างเบนจามิน เดินทางเหนื่อยมั้ย”
ช่อฟ้าเอ่ยทักทายเบนจามิน ก่อนจะหันไปทักทายแดนนี่อีกคน
“สวัสดีจ้ะแดนนี่ จำอานตี้ฟ้าได้ไหม” เธอทักทายเด็กชายที่เดินจับมือเบนจามินมาด้วย
แดนนี่ยกสองมือขึ้นไหว้ช่อฟ้าด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับอานตี้ฟ้า” แดนนี่ตอบกลับช่อฟ้าด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดเจน ก็เขาฝึกกับหม่ามี้ทุกวัน
“เข้ามาในบ้านก่อนเถอะ เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ” เธอยิ้มขณะที่เอ่ยบอกแล้วจูงมือเด็กชายเข้าไปในบ้าน
เบนจามินยกกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้านใน ก่อนที่สามีของช่อฟ้าจะเดินเข้ามารับมันไปไว้ที่หน้าห้องนอนเก่าของช่อผกา
“งานเป็นไงบ้างคุณเบน”
พี่สาวของเซลีนเดินออกมาจากห้องครัวแล้วเอ่ยถาม เธอวางจานขนมลงบนโต๊ะรับรองและนั่งลงช้า ๆ เบนจามินยกน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย
“ก็ดีครับ ไม่มีอะไรยุ่งยาก” เบนจามินตอบด้วยท่าทีอ่อนน้อม
แดนนี่นั่งอยู่ข้าง ๆ ช่อฟ้าและมองขนมในใจด้วยสายตาสงสัย ช่อฟ้าขยับจานเข้ามาหาหลานชายและชี้ชวนให้เขาทาน
“พิธีที่นี่ จัดการยังไงบ้างเหรอครับ”
เบนจามินเอ่ยถาม ช่อฟ้าก็เริ่มเอ่ยเรื่องแผนการพิธี
“เราตั้งใจจะทำแค่ปลงศพ เก็บอัฐิ แล้วก็ลอยอังคาร ตอนนี้ผกาอยู่ไหนล่ะ” ช่อฟ้าชะเง้อไปทางกระเป๋าเดินทาง
เบนจามินขยับกระเป๋าลงจากไหล่และค่อย ๆ นำกล่องที่วางโถบรรจุเถ้ากระดูกของเซลีนออกมา ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาและความรู้สึก ร้อนผ่าวก็ตีตื้นขึ้นมาทั่วใบหน้า
“เธอไปสบายแล้วล่ะ” ช่อฟ้าปลอบใจและตบบ่าของเขาเบา ๆ
ตลอดเวลาที่เขาอยู่บ้านของภรรยาที่ไทย เบนจามินและแดนนี่ไม่ได้เข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ แต่เลือกจะพาแดนนี่ไปที่ต่าง ๆ ที่เขากับภรรยาเคยไปด้วยกัน
เขาเองก็อยากซึมซับความรู้สึกที่แสนคิดถึงนี้
เบนจามินมีช่วงเวลามากมายให้เขาได้อยู่กับตัวเอง แม้ว่าภายนอกเขาจะไม่ได้มีท่าทีผิดแปลกไปนัก แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงเศร้าเสียใจ เขาตัดสินใจจะปล่อยเช่าบ้านที่สก็อตแลนด์อย่างน้อยก็หนึ่งปี เขาไม่สามารถอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยภาพของภรรยาคนสวยได้ในตอนนี้ เขายังคงเจ็บปวดเสมอ ตอนที่นั่งลงที่ริมหน้าต่างและมองภาพทิวทัศน์ที่ภรรยาชอบ
ดังนั้นเขาจึงเลือกออกไปใช้ชีวิตที่อื่น ปล่อยให้เวลาค่อย ๆ รักษาบาดแผลของเขาช้า ๆ จนกว่าจะพร้อมกลับมาเผชิญหน้ากับความทรงจำที่งดงามเหล่านั้นอีกครั้ง
*****
ณ ชายหาดหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต
“แล้วหลังจากนี้จะไปอยู่ไหนล่ะ”
แม่ของเขาส่งเสียงถามไถ่ผ่านสัญญาณโทรศัพท์ เบนจามินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สดใส แล้วหันไปมองลูกชายที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ริมหาด
“ฝรั่งเศสครับ ที่บ้านพักตากอากาศของบ้านเรา”
บ้านหลังที่เขาเอ่ยถึง เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวคลิฟฟอร์ด เบนจามินเดินทางไปที่นั่นทุก ๆ ปีนับตั้งแต่เขาอายุได้ห้าขวบ เขามีความ ทรงจำและความผูกพันกับบ้านหลังนั้น พอ ๆ กับบ้านที่อาศัยอยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นบ้านที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ
เขาจะไปพักผ่อนที่ฝรั่งเศสประมาณ 1 เดือนก่อน เพื่อหาลู่ทางในการย้ายไปอยู่แบบถาวร แล้วกลับมาที่สก๊อตแลนด์เพื่อทำการซื้อขายบ้านให้เรียบร้อย ติดต่อเอเจนซี่ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการปล่อยบ้านเช่า และเก็บของส่วนตัวเขาไปไว้ในโกดังที่เช่าไว้
เบนจามินคิดว่าเขาจะใช้เวลาปีหรือสองปีในการอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส หลังจากนั้นก็จะกลับมาอยู่ที่บ้านของเขาในสก็อตแลนด์เช่นเดิม พอดีกับเวลาที่แดนนี่จะต้องเข้าเรียนเป็นหลักแหล่ง
“ตัดสินใจแล้วก็ขอให้โชคดี ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” แม่ของเบนจามินเอ่ยบอกผ่านมาทางโทรศัพท์
“ครับ พ่อกับแม่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
เบนจามินวางสายจากมารดาของเขา และเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เขาถอนหายใจหนัก ๆ ครั้งหนึ่ง พลางทอดสายตามองออกไปยัง ผืนน้ำกว้างใหญ่ ดวงตะวันสาดแสงสีส้มกระทบผิวน้ำจนเกิดประกายวาววับ แดนนี่นั่งลงที่พื้นทรายเปียกชุ่ม ใช้สองมือกอบทรายขึ้นมาก่อเป็นทรงปราสาท เด็กชายมีท่าทีเซื่องซึม คงเพราะคิดถึงแม่ของเขา
ทั้งสองปล่อยให้ตัวเองค่อย ๆ ผ่านช่วงเวลาที่น่าเศร้าไป จนกระทั่งตะวันใกล้ลับไปจากขอบฟ้า
“แดนนี่ กลับกันได้แล้วครับ” เบนจามินส่งเสียงเรียกลูกชาย เด็กชายปัดมือเบาๆก่อนจะวิ่งเข้ามาหาเขา
“เราจะไปไหนกันต่อฮะ” แดนนี่เอ่ยถามเสียงใส เบนจามินลูบหัวลูกชายเบา ๆ และส่งลูกมะพร้าวให้เขา
“เราจะไปเที่ยวที่ฝรั่งเศสกันครับ แล้วค่อยกลับบ้านกันนะ”
“ฮะ” เด็กชายรับคำอย่างแข็งขันและส่งยิ้มให้กับเขา
เบนจามินเลือกที่จะโทรศัพท์ไปบอกกับช่อฟ้า ถึงแผนการของเขาและขอโทษที่ไม่ได้กลับไปลาเธอที่จังหวัดน่าน เขาจะเดินทางจากภูเก็ตและเดินทางต่อไปที่ฝรั่งเศสจากสนามบินสุวรรณภูมิเลย กล่าวลากันอีกเล็กน้อยเบนจามินก็วางสายไป ตอนนี้เบนจามินสูดหายใจลึกๆ และจูงมือลูกชายเข้าไปในสนามบินสุวรรณภูมิ
เขาเดินเข้าไปที่จุดตรวจสอบสัมภาระ จัดการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นและจูงมือแดนนี่ไปยังห้องรับรอง
เขามองดูบรรยากาศวุ่นวายของสนามบินใหญ่ด้วยความรู้สึกอึดอัด แดนนี่นั่งกินขนมและลอบมองผู้เป็นพ่อด้วยความสนใจ
เสียงประกาศไฟลท์บินดังขึ้น เบนจามินก็พาลูกชายไปยังทางขึ้นเครื่องบินหมายเลขที่สาม ตามที่บอร์ดดิ้งพาสได้ระบุเอาไว้
เบนจามินหันมองรอบตัวเป็นครั้งสุดท้าย ตอนที่เขากำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อน เขาหวังว่าเมื่อหันหลังกลับไป จะมองเห็นภรรยาของเขากำลัง เดินไว ๆ มาหาเขากับแดนนี่แล้วงอนเขาหน่อย ๆ เหมือนกับที่เธอชอบทำเป็นประจำ เมื่อเขาแกล้งเดินแล้วปล่อยให้เธอเดินตามหลัง เธอจะบ่นตลอดว่า ก็เธอขาสั้น ใครจะไปเดินไวเหมือนเขากันละ
แต่ก็นั่นแหละ แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความหวังที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แม้เขาจะเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากวันคืนที่มีร่วมกันกับเธอ แต่ เบนจามินก็ยังไม่อาจรู้ได้ ว่าเขาจะกลับมาเป็นเบนจามินคนเดิมที่มีความสุขได้อีกครั้งเมื่อไหร่ แต่เขาก็สัญญาว่าเขาจะมองดูความทรงจำที่มีต่อเซลีนภรรยาของเขา ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขอย่างเต็มหัวใจได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้
เขาหันไปมองเด็กชายตัวน้อยที่เป็นเหมือนของขวัญล้ำค่าที่เขามีร่วมกับภรรยา แล้วค่อย ๆ กุมมือของแดนนี่เอาไว้ ก่อนจะจูงมือเขาก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม
ทั้งสองเดินเคียงกันไปบนเส้นทางที่ปราศจากเซลีนเคียงข้าง ทว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าเซลีนไม่เคยหายไปไหน เพราะเธอยังอยู่ในใจของพวกเขาตลอดกาล
มันก็แค่ความหวัง ที่มันไม่มีวันเป็นจริงอีกต่อไป
หลังจากนี้เขาจะกลับมามองความทรงจำเหล่านี้ ด้วยความสุขอีกครั้ง
เขาสัญญา
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?