หลังจากที่เซลีนวิดีโอคอลไปหาแม่พรรณีกับน้องสาวแล้ว เธอก็มีเวลาว่าง จึงตัดสินใจไปที่ร้านอาหารไวกว่าปกติ เธอทำทุกอย่างเหมือนเดิมซึ่งกว่าจะเสร็จก็ถึงเวลาเข้างานพอดี พนักงานเริ่มทยอยเข้ามาทำงาน ตามหน้าที่ของตน เซลีนได้ยินพวกเขาคุยกันซุบซิบถึงเรื่องของร้าน
เซลีนแปลกใจว่าทำไมข่าวถึงไวมาก เธอเพิ่งคุยกับเจ้รำไพเมื่อเช้านี้ นี่เพิ่งจะห้าโมงกว่า พนักงานเกือบทุกคนต่างก็รู้และเริ่มพูดคุยซุบซิบกันแล้ว
“ช่อ แกรู้หรือเปล่าที่ร้านอาจจะต้องปิดน่ะ” กุ้งเดินเข้ามาในห้องครัวก่อนถามออกไปด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ก็พอรู้มาคร่าว ๆ แล้วทำไมคนอื่นรู้ไวจัง ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เองนะ”
“ก็มะปรางน่ะสิ มาเมาส์ให้คนที่ร้านนวดฟัง มันก็เลยเมาส์ต่อ ๆ กันมา แต่ไม่รู้ว่ามะปรางมันไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรนะ”
“มะปรางอีกแล้วเหรอ”
“อือ เห็นพี่นาว่ามะปรางได้ข่าวมาจากพี่สักนะ”
“พี่สักเหรอ ไหนพี่สักไปเป็นเชฟให้ร้านเจ้าพระยาไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วจะมายุ่งวุ่นวายกับร้านเราทำไมอีก” เซลีนรู้สึกประหลาดใจ
“สงสัยพี่สักจะโมโหให้เจ้มั้ง คงนึกว่าเจ้จะไปง้อแกให้มาทำงาน นี่เจ้กลับไม่โทรตาม แถมร้านเรายังขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีก ลองเสริชในกูเกิ้ลชิ ร้านอาหารไทยในลอนดอน ครัวสยามของเราติดท๊อปวันตลอดมากี่เดือนแล้ว” กุ้งพูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก
“อย่าบอกนะว่าที่มันเป็นแบบนี้ .....ขออย่าให้เรื่องนี้เป็นฝีมือของคุณอารยาเลย สาธุ” เซลีนยกมือไหว้ท่วมหัว ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย แต่ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ มาร์คก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
“กุ้ง ช่อ รีบไปที่หน้าร้านเร็ว เจ้กับคุณอารยากำลังปะทะฝีปากกัน”
มาร์คบอกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นปนหอบเหนื่อย
“ห๊ะ ใครทะเลาะกับใครนะ” กุ้งถามออกไป
“เจ้กับคุณอารยาไง รีบไปกันเถอะ”
มาร์คตอบพร้อมวิ่งนำหน้าทั้งสองคนออกไปที่หน้าร้านอย่างรวดเร็วพอทั้งสองคนเดินออกไปที่หน้าร้าน ก็เห็นเจ้รำไพยืนปะทะคารมกับ คุณอารยาอยู่ โดยที่มีชายวัยกลางคนอีก 2 คน ยืนอยู่ข้าง ๆ คุณอารยา
“เป็นเธอใช่ไหมที่ทำแบบนี้ อารยา ทำไมเราไม่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำมาหากิน เธอจะมาโกรธอะไรฉันมากมายขนาดนั้น” เจ้รำไพต่อว่าคุณอารยาด้วยสีหน้าโมโหสุดขีด
“มันจะไม่มีวันนั้นแน่นอน วันที่เราสองคนจะญาติดีกันคงต้องรอให้ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกละมั้ง” คุณอารยาตอบด้วยสีหน้าไม่สนอกสนใจ
“อารยาเธอทำแบบนี้มันจะมากไปแล้วนะ” เจ้รำไพบอกออกไปด้วยเสียงที่โกรธมาก ใบหน้าเธอแดงก่ำ
“อะไรมากไปจ๊ะรำไพ จะมาโทษกันได้ยังไง ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่เสนอเงินให้กับเจ้าของตึกมากหน่อย ถ้าเธออยากเช่าต่อ ก็จ่ายเงินมาสู้กับฉันสิ” คุณอารยาตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้ เชิญออกไปจากร้านของฉัน ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างเธอ ออกไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“แจ้งตำรวจ แจ้งข้อหาอะไรไม่ทราบ บุกรุกเหรอ อย่าลืมนะจ๊ะ เธอเปิดร้านอาหาร ฉันก็แค่ลูกค้าที่มาทานอาหารที่นี่ แล้วตำรวจจะมาจับฉันข้อหาอะไรละ”
“อารยา” เจ้ตะโกนใส่คุณอารยาและเตรียมจะก้าวเข้าไปหาอีกคน
เซลีนรีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเจ้รำไพไว้ ก่อนผลักเจ้รำไพให้ถอยหลังไปยืนให้ห่างจากคุณอารยา
“เจ้ อย่า มันไม่คุ้มเลย เราสู้เขาไม่ได้หรอก ใจเย็น ๆ เจ้ กุ้งจับตัวเจ้ไว้” เซลีนรีบห้ามพร้อมกับพูดเตือนสติเจ้รำไพ และบอกกุ้งให้รีบมาคว้าตัวเจ้รำไพเอาไว้
“คุณอารยาค่ะ ฉันชื่อช่อผกาค่ะ ฉันนับถือเจ้เหมือนเป็นพี่สาวของฉัน ฉันรู้เรื่องถึงสาเหตุความบาดหมางระหว่างคุณทั้งสองดี มีทางไหนที่ เราจะสามารถประนีประนอมและอยู่ร่วมกันแบบสันติสุขได้บ้างคะ เชิญ คุณอารยาบอกมาได้เลยค่ะ ถ้าทำได้ ฉันยินดีทำ” เซลีนเดินเข้าไปยืนตรงหน้าคุณอารยา มองสบตากับคุณอารยาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ไม่หวั่นกลัว
“อ๋อ เธอเองเหรอที่มาแทนเจ้าสัก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครัวสยาม ได้ ถ้าเธออยากให้เรื่องมันจบด้วยดี เธอก็มาอยู่กับฉันสิ รับรองว่าฉันจะให้เธอได้มากกว่ารำไพแน่นอน เธอก็รู้ว่าฉันรวยแค่ไหน ถ้าเธอยอม ตกลงมาอยู่กับฉัน ฉันก็สัญญาว่าเรื่องทุกอย่างมันก็จบ” คุณอารยาเสนอทางแก้ปัญหา ที่เธอรู้ว่าแบบนี้ยิ่งทำให้เพื่อนเธอเจ็บมากกว่าเดิม
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะคุณอารยา เจ้รำไพเปรียบเหมือนพี่สาวของฉัน เปรียบได้กับคนในครอบครัว ฉันไม่มีวันทรยศพี่สาวหรือคนในครอบครัวตนเองเด็ดขาด” เซลีนตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
“ถ้ายังงั้นมันก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันยื่นข้อเสนอไปแล้ว แต่พวกเธอดื้อเอง แต่ว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจอยากรับข้อเสนอของฉัน ก็ไปหาฉันได้ตลอดเวลา เธอรู้นี่ว่าจะติดต่อฉันได้ยังไง ไปกันเถอะ” คุณอารยาเอ่ยกับเซลีนก่อนหันไปบอกกับผู้ชายสองคนที่มาด้วย แล้วเดินจากไปอย่างนางพญา
เซลีนหันไปหาเจ้รำไพ “เจ้ เป็นไงบ้าง โอเคไหม”
“อืม พอไหว ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นฝีมือของอารยา เจ้กับยัยนั่นคงเป็นเวรเป็นกรรมกันไปไม่จบสิ้นแน่ ๆ นี่ขนาดว่าเจ้ไม่ไปยุ่งอะไรกับมันแล้วนะ” เจ้รำไพบ่นออกมาก่อนที่จะเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“เจ้ ช่างมันเถอะ ร้านนี้ของนอกกาย เราค่อยหาวิธีแก้ไขปัญหากันใหม่ อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ก็ทำใจให้สบายไปก่อน” กุ้งเอ่ยปลอบใจเจ้รำไพเสียงเบา
“ใช่เจ้ อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขอเวลาช่อคิดหน่อย ช่อมั่นใจว่าเราต้องหาทางออกได้ ขนาดพี่สักลาออกไปเรายังผ่านมาได้ คิดบวกไว้เจ้ อย่างน้อยเราก็มีเวลาตั้ง 6 วีค น่าจะพอทันทำอะไรได้บ้าง เป็นแบบนี้ก็ดีกว่าไฟไหม้ร้านนะเจ้” เซลีนเอ่ยปลอบเจ้รำไพอีกคน
“ได้ เจ้จะเข้มแข็งเพื่อตัวเองและทุกคน ขอบใจมากนะทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เจ้ ขอบใจมากนะช่อที่เตือนสติเจ้ ใช่..เรายังมีเวลาอีกตั้ง 6 วีค คิดบวกเข้าไว้ พลังบวกมันจะได้ส่งผล”
เจ้รำไพบอกให้ทุกคนไปทำงานตามปกติ ส่วนเจ้เองจะขอเวลาคิด สักวันสองวัน ได้เรื่องยังไงจะแจ้งให้ทุกคนทราบอีกที
บรรยากาศการทำงานวันนี้ค่อนข้างที่จะอึมครึม แต่ทุกคนก็ไม่มีเวลามานั่งวิตกกังวล เพราะตอนนี้ลูกค้าทยอยเข้าร้านมากันแล้ว ทุกคนจึงปล่อยปัญหาไว้ข้างหลัง หันหน้ามาทำหน้าที่ของตนในวันนี้ให้ลุล่วงไปก่อน
ทุกคนก็รู้สึกเป็นกังวล เพราะถ้าร้านปิดตัวก็หมายถึงตกงาน ไหนจะทิปที่ได้เยอะมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา พวกเขายังคิดไม่ออกว่าจะไปทำงานที่ร้านไหนที่จะได้รายได้ดีขนาดนี้ ทุกคนก็ได้แต่ภาวนาให้เจ้รำไพหาทางออกได้ไว ๆ
ผ่านไปสองวันแล้ว
หลังจากที่คุณอารยามาหาเรื่องถึงที่ร้าน ถึงแม้ว่าปัญหาจะรุมเร้า แต่ทุกคนก็ยังไปทำงานตามปกติ วันนี้เจ้รำไพให้ปิดร้านไวกว่าเดิม สองชั่วโมง เนื่องจากแกเครียดมากแกจึงจะพาทุกคนไปนั่งดื่มที่ผับแก้เครียด แต่พนักงานคนอื่นกลับบ้าน เลยมีแต่เซลีน กุ้ง มาร์ค เจ้รำไพ กับพี่นา ที่ไปเที่ยวกันต่อ
ทั้งห้าคนนั่งรถไฟไปที่ไบรตั้น จากลอนดอนไปไบรตั้นก็ใช้เวลาแค่ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เจ้ให้เหตุผลว่านั่งรถไฟนาน ๆ อาจจะคิดอะไรออก ไปชายทะเลอาจจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง พอมาถึงที่สถานีรถไฟไบรตั้น ทั้งห้าก็เดินตรงไปที่ชายหาด สายลมเย็น ๆ ทำให้ร่างกายของทุกคนรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที นี่ก็ยังไม่ถึงสี่ทุ่ม มีเวลาอยู่ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางกลับไป ที่ลอนดอน
ไบรตั้นเป็นเมืองติดทะเล ค่าครองชีพที่นี่ไม่ค่อยต่างกันมากนักกับลอนดอน คนชอบอาศัยอยู่ที่เมืองนี้แต่ไปทำงานที่ลอนดอน เพราะการเดินทางที่สะดวกสบาย เป็นเมืองท่องเที่ยว ประชากรก็ถือว่ามีคุณภาพพอสมควร
กลุ่มของเจ้รำไพเดินกันไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดเข้ากับผับแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับชายหาด สถานที่กว้างขวางแถมมีที่จอดรถอะไรพร้อมสรรพ แต่น่าแปลกที่มันเงียบมาก เซลีนจึงชวนทุกคนเดินเข้าไปนั่งในร้าน เธอสังเกตเห็นว่าในร้านมีลูกค้าอยู่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้น
ในร้านเปิดเพลงคลอเบา ๆ ที่ทำให้ร้านดูยิ่งเงียบเหงาไปใหญ่ การตกแต่งอะไรในร้านก็ถือว่าดูดี ผับมีขนาดที่กว้างพอสมควร มีโต๊ะนั่งกันได้แบบไม่เบียดกันมากนัก มีเคาน์เตอร์บาร์ที่มีแก้วทรงต่าง ๆ ห้อยกลับหัวไว้มากมาย เพดานและผนังตกแต่งด้วยเหรียญและธนบัตรจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กำแพงตรงที่เดินเข้ามา ก็เป็นรูปภาพเรือใบลำใหญ่แล่นอยู่ กลางทะเล ให้ความรู้สึกที่เวิ้งว้างและยิ่งใหญ่ มุมหนึ่งของตรงกลางผับเหมือนมีเวทีเล็ก ๆ แต่ไม่มีเครื่องดนตรีอะไรอยู่ตรงนั้น ด้านหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มมีเหล้าและเครื่องดื่มมากมายจัดเรียงกันไว้อย่างสวยงาม โต๊ะเก้าอี้ออกโทนน้ำตาลทอง ให้ความรู้สึกที่มีมนตร์ขลังถึงความเก่าแก่ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมร้านเงียบแบบนี้ ร้านอื่นก็พอมีคนเยอะอยู่เกือบทุกร้าน
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”
สาวสวยผมยาวสีบลอนด์คนหนึ่งยื่นเมนูมาให้กับทุกคน ด้านหนึ่งเป็นเมนูเครื่องดื่ม อีกด้านหนึ่งเป็นเมนูอาหารหรือกับแกล้ม
“ทุกคนวันนี้เต็มที่เจ้เลี้ยงเอง แต่ก็ไม่เกิน 3 รอบนะ เดี๋ยวกลับบ้านลำบาก เอาอะไรสั่งได้เลย” เจ้รำไพบอกทุกคนอย่างใจป้ำ
“จินแอนด์โทนิค 2 เบียร์ไฮนาเก้น 2 แล้วก็ ไซเดอร์ 1 ขอถั่วกับ มันฝรั่งทอดมาด้วยอย่างละ 2 ชุดครับ” มาร์คเป็นคนสั่งออเดอร์หลังจากที่ถามความเห็นแต่ละคนแล้ว
รอไม่นานทุกอย่างก็มาเสิร์ฟถึงที่ ผ่านไปสิบนาทีก็มีชายวัยกลางคน คิดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการผับเดินเข้ามาหากลุ่มของเซลีน
“ทุกอย่างโอเคไหมครับ” ชายวัยกลางคนถามขึ้น
“โอเคครับ” มาร์คตอบออกไป พวกเราก็พยักหน้าด้วย
“ร้านตกแต่งสวยนะคะ ว้าว เปิดมาตั้งแต่ปี 1959 เลยเหรอคะ นานมากๆ” เซลีนเอ่ยชมพร้อมกับทำตาลุกวาวเมื่อเห็นข้อความตรงเรือใบลำใหญ่
“ใช่ครับ ร้านนี้เป็นของคุณปู่ผมส่งต่อมาให้คุณพ่อ แล้วตอนนี้ผม ก็ดูแลอยู่” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจ ก่อนจะหน้าหม่นลงแล้วพูดต่อ “แต่ว่าน่าเสียดายครับ อีกไม่นานร้านนี้ก็ต้องปิดลง”
“อ้าวทำไมละค่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เอ้อ ขอโทษค่ะ ที่ฉันละลาบละล้วง” เจ้รำไพถามออกไป
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ความลับอะไร ใคร ๆ แถวนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้น”
ผู้จัดการร้านโบกมือให้เจ้รำไพเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
“แล้วยังไงค่ะ ขอโทษจริงๆ แต่ฉันเห็นว่าที่นี่สวยมากเลย”
เจ้รำไพถามออกมาด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะร้านสวยมาก
“ไม่ค่อยมีลูกค้าน่ะครับ ผมรับต้นทุนไม่ไหวเลยต้องปิดตัวลง ตอนนี้ก็กำลังประกาศขายผับนี้อยู่ ส่วนมากคนที่มาใช้บริการก็คนเก่าแก่รุ่นพ่อผมน่ะครับ ผมก็เสียดายไม่อยากให้มันจบลงรุ่นผม แต่ทำไงได้ล่ะครับ ค่าใช้จ่ายเยอะเกินไป รายได้น้อยกว่ารายจ่าย ผมประคองมาได้สองปีนี่ ก็ถือว่าผมทำดีที่สุดแล้ว” ชายวัยกลางคนนั้นเล่าออกมาด้วยสีหน้าที่หดหู่
“คงเสียดายน่าดูนะคะ ร้านก็สวย ทำเลก็ดี แต่เอ๊ะ ขายผับเหรอคะ”
เซลีนแสดงความคิดเห็นออกไป ก่อนที่จะคิดอะไรออกมาได้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?