ตอนที่ 38 สกอตแลนด์

เมืองอะเบอดีนที่ถูกแสงแดดสาดส่องยังคงสวยงามเหมือนในความทรงจำ บ้านเรือนต่าง ๆ ยังคงเหมือนกับเมื่อวันวานที่เซลีนยังเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นร้านรวงต่าง ๆ ในแถบนี้ ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา หมู่บ้านที่เธอเคยอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ที่นี่แตกต่างไป จนเซลีนเข้าไม่ถึงเลยเสียทีเดียว

เซลีนตัดสินใจบอกลาชีวิตในกรุงลอนดอน แล้วพาลูกแฝดของเธอมาอยู่ที่สกอตแลนด์ โชคดีที่เบนจามินปล่อยเช่าบ้านของพวกเขา ดังนั้นเซลีนจึงได้กลับมายังบ้านหลังเดิม

ระหว่างเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอยังจำความรู้สึกในตอนที่เซ็นสัญญาเช่าและรับกุญแจบ้านจากนายหน้าได้ดี

แค่กุญแจเงินดอกเดียว ก็ทำให้ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนที่แตกออก เพราะน้ำมากมายกำลังไหลทะลักเข้ามา เหมือนกับว่าเธอเห็นภาพตั้งแต่วันที่เธอกับเบนจามินจูงมือกันเข้ามาชมบ้านหลังนี้ ตอนที่เธอบอกกับสามีว่าชื่นชอบบาร์นั่งริมหน้าต่าง ตอนที่พวกเราตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ และตอนที่พวกเราใช้ชีวิตด้วยกัน

เธอยังจำได้ดีว่าวันแรกที่รับแดนนี่เข้ามาในบ้าน เธอมีความสุขขนาดไหน

เซลีนจูงมือข้างหนึ่งของเด็กชาย ส่วนอีกข้างก็เป็นเบนจามินที่จับจูงเอาไว้ พวกเขาช่วยกันจัดข้าวของให้กับแดนนี่ จากนั้นก็นั่งทานอาหารเย็นด้วยกันพร้อมเปิดรายการโทรทัศน์ แดนนี่เรียบร้อยแต่ก็ร่าเริง พอเขาเริ่มปรับตัวกับแด๊ดดี้และหม่ามี้ได้ เขาก็ทำให้บ้านของเธอและคุณเบนสดใส ขึ้นเป็นกอง

น่าเสียดายที่เธอได้อยู่กับเขาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น

“หม่ามี้เป็นอะไรคะ” อลิสเอ่ยถาม พลางกระตุกชายแขนเสื้อของเธอ

เซลีนสะบัดศีรษะเล็กน้อยก่อนจะพบว่าพวกเธอมาถึงหน้าบ้านของตัวเองแล้ว “เปล่าจ้ะ” เซลีนปฏิเสธ

“แล้ว... หม่ามี้ร้องไห้ทำไมคะ” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เซลีนส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะตอบคำ “แค่ฝุ่นน่ะ ไปเถอะ เข้าบ้านกัน เรายังต้องทำความสะอาดบ้านอีก”

เธอจูงมือลูกสาวลูกชายเข้าบ้าน เซลีนพยายามอย่างมากที่จะ ไม่แสดงท่าทีพิรุธออกไป แต่ยิ่งเดินสำรวจรอบบ้าน ในใจของเธอก็ยิ่งปวดร้าว แน่นอนว่าเธอมีความสุขมากที่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้

ทุก ๆ อย่างในบ้านยังคงเหมือนเดิม แม้กระทั่งเครื่องเรือนหรือ จานชาม นั่นก็ยืนยันได้ว่าเบนจามินยังไม่สามารถทำใจจากการเสียชีวิตของเธอได้

ความเศร้าใจที่ไม่สามารถอยู่ข้าง ๆ สามีและลูกชายผุดขึ้นมา จากนั้นก็ลุกลามไปทั่ว ยิ่งพอนึกว่าถ้าหากเธอใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ เธอจะยังมีชีวิตที่มีความสุขกับเขาหรือไม่

ในคืนนั้นหลังจากทำความสะอาดบ้านและส่งเด็กๆ เข้านอนเรียบร้อย เซลีนก็มาจัดการกับงานของเธอ หลังจากที่พูดคุยกับเจ้รำไพ แม้ว่าเธอจะลาออกมาจากร้าน แต่ยังคงส่งซอสผัดไทย ผงปรุงรส น้ำจิ้มข้าวเกรียบและน้ำมันนวดให้กับเจ้รำไพเช่นเดิม ยังไม่รวมกับรายได้ที่ส่งซอสต่าง ๆ ให้น้องฟ้า บางครั้งยังขายน้ำมันหอมให้มาดามเซรีน่า และยังมีลุ้นเงินปันผล ค่าหุ้นคลับของนิโคลัสอีก

ดังนั้นยังถือว่าเธอมีรายได้ที่มั่นคง นอกจากนั้นยังมีเงินเก็บอยู่ แต่เซลีนคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ หากว่าเธอจะใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงวางแผนเปิดร้านกาแฟในหมู่บ้านด้วย

ร้านกาแฟที่เธอคิดเอาไว้จะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คนในหมู่บ้านสนใจ และทำให้คนที่ผ่านเข้ามาสนใจเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำเซต afternoon tea เพราะอย่างไรเสีย คนที่นี่ก็ดื่มชาต่างน้ำ การเปิดร้านให้มีบริการ afternoon tea ด้วย คงจะสร้างรายได้ให้เธอไม่น้อย

ในช่วงสองสัปดาห์นั้น เซลีนวุ่นอยู่กับการติดตั้งอินเทอร์เน็ตใหม่และจัดการร้านของเธอ เซลีนต้องการพนักงานเสิร์ฟและพนักงานทำความสะอาด นอกจากนั้นก็อยากได้พาร์ทเนอร์ที่จะเข้ามาดูแลเรื่องบัญชีและเอกสารภาษีต่าง ๆ

เธอตั้งใจจะทำงานที่หน้าร้านในบางครั้ง และออกเงินทุนเท่านั้น เพราะเธอไม่ควรยุ่ง เกินกว่าจะสามารถเข้าหาเบนจามินอีกครั้ง

การที่เธอเลือกเปิดร้านกาแฟ เพื่อให้เบนจามินเห็นว่าเธอเองก็มีงานมั่นคงและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ใช่เข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์อะไร นั่นคงจะช่วยให้เบนจามินเปิดใจให้เธอได้ง่ายขึ้นสักหน่อย

หลังจากกลับมาอยู่ที่สกอตแลนด์ได้หนึ่งเดือน ในที่สุดเซลีนก็สามารถหาทำเลเปิดร้านได้เสียที ที่ที่เธอเลือกเป็นร้านกาแฟเก่ามีสองคูหา หนึ่งชั้นและมีอุปกรณ์ครบครัน เจ้าของร้านคนเก่าเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ สามีของเขาเป็นวิศวกรปิโตรเลียม นอกจากจะทำร้านต่อไม่ได้ ยังไม่มีเวลาว่างดูแลร้านได้ตลอด จึงปล่อยร้านให้เซลีนเช่า โดยที่อุปกรณ์ต่าง ๆ เซลีนก็ซื้อเอาไว้ทั้งหมด

ตึกคาเฟ่ขนาดสองคูหานี้ มีการตกแต่งแบบที่พบเจอได้ทั่วไป ดังนั้นเซลีนจึงควักเงินอีกก้อนหนึ่ง จ้างสถาปนิกและทีมก่อสร้างมาตกแต่งร้าน เสียใหม่ อาจจะเป็นเพราะชีวิตเธอผ่านเรื่องราวแปลกประหลาดมามากมายดังนั้นร้านของเธอ จึงมีกลิ่นอายของเทพนิยายและธรรมชาติ

ในร้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟและขนมหวาน เธอเลือกคุมโทนทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางขนม เป็นสีขาวนวล เขียวแก่ และน้ำตาล ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายใจกับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้ไม่ยาก

เมื่อจัดการกับร้านแล้วเสร็จ เซลีนก็จัดการกับเรื่องขนมหวานต่อ

การจัดบริการ afternoon tea นอกจากชาชั้นดีก็ต้องมีเบอเกอรี่ อร่อย ๆ โดยทั่วไปก็คงเป็นพวก คุกกี้ สโคน ชีสเค้กขนาดพอดีคำ ดังนั้นเซลีนจึงตกลงจ้างคนที่ทำขนมอบต่าง ๆ เป็น จำนวนสองคน หนึ่งคือเทเรซ่า มีหน้าที่อบเค้ก อีกหนึ่งคือโรซี่ รับผิดชอบเรื่องคุกกี้ต่าง ๆ โดยทั้งคู่จะทำขนมส่งให้เธอที่ร้านไม่ได้เป็นลูกจ้างของเธอ

หลังจากจัดการทุกอย่างลงตัว ในกลุ่มหางานก็มีคนสนใจจะเข้ามาทำงานที่ร้านมากพอสมควร เซลีนได้พูดคุยกับผู้สมัครทุกคน ก่อนจะตกลงรับดาเลียมาเป็นหุ้นส่วน

ดาเลียเคยทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมาก่อน ดังนั้นจึงสามารถช่วยจัดการทั้งเอกสารและเงินหมุนเวียนได้ดีเยี่ยม ส่วนพนักงานร้าน เธอเลือกพิจารณาจากเรซูเม่ที่ส่งเข้ามา มิลเฟย์และเรเน็ตเป็นพนักงานเสิร์ฟ ส่วนเบลล์เป็นพนักงานทำความสะอาดรวมถึงเคลียร์โต๊ะหลังจากที่ลูกค้าทานเสร็จแล้ว

เซลีนได้พูดคุยเรื่องแผนการตลาดกับดาเลีย ตกลงกันว่าจะมีการ โปรโมตร้านก่อนเปิดจริงหนึ่งสัปดาห์ และจะให้ลูก ๆ ของเซลีนนำคุกกี้ของโรซี่ไปแบ่งเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน ทางหนึ่งก็เพื่อโปรโมต อีกทางก็เพื่อทำให้ อลิสและแอนดี้ได้ทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ มากขึ้นด้วย

ในสัปดาห์เปิดร้าน มีกระแสตอบรับทางอินเทอร์เน็ตอยู่บ้างสำหรับร้านของเธอ เซลีนส่งผงน้ำตาลที่ทำมาจากน้ำตาลผสมผงน้ำทิพย์สวรรค์ให้กับโรซี่เพื่อใช้แทนน้ำตาลทั่วไป

เมนูแรกที่โรซี่ถูกว่าจ้างให้ทำคือคุกกี้แฟนซี โรซี่ถนัดงานด้านศิลปะและการออกแบบเป็นทุนเดิม ดังนั้นนอกจากจะได้ขนมหวานแสนอร่อย ยังมีหน้าตาน่ารักน่าทานด้วย คงได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ มากพอสมควร

เซลีนคีบคุกกี้สีน้ำตาลที่ถูกตกแต่งด้วยไอซิงสีต่าง ๆ เป็นรูปสัตว์และผักผลไม้ลงในขวดโหลสองขวด เช้าวันนี้เป็นวันแรกที่ของหวานจากร้านของเธอจะถูกส่งให้คนภายนอกได้ชิม เธอตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ตอนที่ส่งโหลคุกกี้ให้กับเด็กทั้งสองคน

“อลิส แอนดี้ หนูเอาขนมไปแบ่งเพื่อน ๆ นะคะ ถ้าพวกเขาถามว่าซื้อมาจากไหน ก็บอกว่าเป็นขนมร้านของที่บ้านเรานะ” เธอบอกกับเด็กหญิงและเด็กชาย

“ครับ / ค่ะ” สองแฝดพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

เซลีนเดินไปส่งเด็ก ๆ ที่ป้ายรถบัส เพียงครู่เดียวรถโรงเรียนสีเหลืองสดก็เคลื่อนมาจอดรับ อลิสกอดขวดโหลด้วยสองมือ ในขณะที่แอนดี้หันมาโบกมือลาคุณแม่ เด็กน้อยจูงมือกันไปหาที่นั่ง จากนั้นแอนดี้ก็แอบเปิดโหลคุกกี้ออกมาชิม

“อลิส อันนี้อร่อยมาก ๆ เลย” แอนดี้พูดทั้งที่ขนมยังเต็มปาก มือน้อย ๆ ชี้ชวนให้น้องสาวหยิบคุกกี้ในโหลออกไปทานบ้าง

“แต่หม่ามี้บอกว่าให้เอาไปให้เพื่อน ๆ นะ” อลิสเอียงคอถาม แอนดี้งับคุกกี้อีกครึ่งชิ้นที่เหลือแล้วก็เอ่ยตอบ “แค่ชิ้นเดียว ไม่เห็นเป็นไร”

อลิสพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยื่นมือน้อยๆ ลงไปหยิบคุกกี้ลาย คุณกระต่ายสีชมพูออกมากัดบ้าง เด็กหญิงตาโตร้องอื้อหือด้วยความอร่อย นึกอยากหยิบอีกสักชิ้นมาทานต่อ แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้

“หม่ามี้บอกให้เอาไปแบ่ง งั้นเราแบ่งของอลิส ส่วนของพี่เก็บไว้กินดีมั้ย” แอนดี้เอ่ยขึ้นมาหลังจากปัดเศษขนมออกจากกางเกง

อลิสนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตอบ สองแฝดช่วยกันเก็บโหลคุกกี้ลงกระเป๋าเป้ใบน้อย หลังจากนั้นก็นั่งลงเหมือนเดิม ชี้ชวนกันดูทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างรถอย่างเพลิดเพลิน

รถโรงเรียนคันใหญ่จอดลงที่หน้าประตูเข้าโรงเรียนประถมของ เด็กๆ นักเรียนตัวน้อยบนรถพากับเดินลงจากรถ และโบกมือทักทายคนที่มาถึงก่อนอย่างร่าเริง อลิสและแอนดี้เดินลงทางด้านหน้าของรถ เด็กหญิงกระชับกระเป๋าเป้ ในขณะที่เด็กชายกระชับโหลคุกกี้ในมือ ทั้งคู่เป็นนักเรียนใหม่และเป็นสมาชิกใหม่ของโรงเรียน เด็ก ๆ ส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วแต่ไม่ใช่กับอลิสและแอนดี้

สองแฝดพากันเดินเข้าโรงเรียนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร และได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา ตอนที่เข้ามาถึงห้องเรียน เพื่อนร่วมชั้นชี้มือบอกให้พวกเขาวางกระเป๋าลงที่ชั้นเก็บของ แอนดี้พยักหน้าขอบคุณ จากนั้นก็จูงมือน้องสาวไปวางข้าวของ เขายังคงกอดโหลคุกกี้เอาไว้ จนกระทั่งเก็บของเสร็จ จึงเอามันมาวางไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยกลางห้อง

“แม่ของเราให้เอามาแบ่งน่ะ กินได้เลยนะ” อลิสบอกด้วยรอยยิ้ม

เด็ก ๆ ราวยี่สิบชีวิตพากับเดินเข้ามาหาและหยิบขนมแสนน่ารักไปคนละชิ้น

“สวัสดี ฉันลิลลี่ พวกเธอชื่ออะไรล่ะ” เด็กหญิงผมบลอนด์เอ่ยถามหลังจากกัดคุกกี้ลายข้าวโพดไปคำหนึ่ง

“ฉันอลิส ส่วนเขาแอนดี้” อลิสตอบพร้อมยิ้มหวาน ลิลลี่จับมือทักทายพวกเขาแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้

“พวกเธอมาจากไหนล่ะ ไม่คุ้นหน้าเลย” ลิลลี่ถาม

“ลอนดอนน่ะ เพิ่งมาได้ไม่กี่เดือนเอง” แอนดี้ตอบบ้าง

เด็ก ๆ นั่งลงใกล้ ๆ โหลคุกกี้และพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เด็ก ๆ หลายคนเดินเข้ามาทักทายและถามหาร้านขายคุกกี้

“ร้านเซียลบีนีย์ เดอ คาเฟย์ เป็นร้านของที่บ้านเราเอง” แอนดี้ตอบ

“เหรอ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้เลย” เด็กหญิงผมเปียคนหนึ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ

“หม่ามี้บอกว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสล่ะ!” อลิสเฉลย

“ชื่อเพราะจัง เท่ด้วย ร้านต้องสวยมากแน่ ๆ เลย” เสียงตอบรับจากเด็ก ๆ ทำให้สองแฝดยิ้มกว้าง คุยกันได้ไม่นานคุณครูก็เข้ามา เด็ก ๆ จึงแยกย้าย นั่งลงประจำที่ของตนเองและเริ่มคลาสกันต่อไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ