“เฮ้ยสายชล สอบเสร็จทั้งทีทำหน้าให้มันสดใสหน่อยสิ” เก้าเอ่ยแซวเพื่อนรักด้วยเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะคว้าคอสายชลมากอดเอาไว้แน่น ในขณะที่เสียงเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างหัวเราะพูดคุยกันอย่างเฮฮา
“อะไรที่ทำให้เก้าคิดว่าเราไม่สดใสล่ะ” สายชลระบายยิ้มกว้างในขณะที่คีบเบคอนชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
“มึงดูเหมือนกำลังคิดอะไรตลอดเวลา” เก้าชะโงกหน้าสบตาสายชลอย่างจับผิด
“พอดีมีบางอย่างค้างคาใจนิดหน่อยน่ะ... แต่ช่างเถอะ” สายชลพูดพร้อมกับเปิดโมบายแบงก์กิ้งแล้วรีบสแกนจ่ายค่าหมูกระทะในส่วนของตัวเอง
“เราขอติดรถกลับบ้านด้วยสิ” เก้าเกาะแขนสายตาอ้อน
“พอดีวันนี้เราจะกลับเอง อยากแวะไปเดินเล่นร้านวินเทจแถวนี้หน่อย”
“ไปคนเดียวเหรอให้ไปเป็นเพื่อนไหม ?” ที่ผ่านมาเก้ารู้ดีว่าเพื่อนซี้ของเขาไม่ค่อยไปไหนมาไหนคนเดียว แม้ทางบ้านสายชลจะอู้ฟู่กว่า แต่ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันมานาน
“ไม่เป็นไร ถ้าเราถึงบ้านเดี๋ยวไลน์หาแล้วกัน” สายชลบอกลาเพื่อนซี้ที่บริเวณหน้าร้านหมูกระทะ ก่อนจะปลีกตัวออกมา
สายชลเดินมาตามทางที่เคยนั่งรถผ่านรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าร้านนั้นชื่อ ‘ร้านกาลเวลา’ เป็นร้านที่เขาเห็นเพียงวูบเดียว ทว่ากลับติดตรึงใจจนทำให้สายชลต้องมาอีกครั้ง บริเวณด้านหน้าของร้านเป็นสไตล์วินเทจค่อนข้างลึกลับ ประตูกระจกครึ่งบานด้านล่างเป็นไม้สีโอ๊ค หากมองจากด้านนอกแล้วจะเห็นโคมไฟแชนเดอเลียร์ระยิบระยับห้อยระย้าอยู่หลากหลายทรง ซึ่งดึงดูดสายตาคนที่ผ่านมาเช่นเขาได้เป็นอย่างดี ตู้ใส่เครื่องประดับนานาชนิดดีไซน์แปลกตา ทั้งยังมีชั้นหนังสือตั้งตระหง่านหลายตู้วางด้านข้างผนังจนสุดทาง โซฟาทรงหลุยส์เนื้อกำมะหยี่ที่ไม่อาจทราบได้ว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ทว่าสภาพยังดูดีอยู่มากทีเดียว
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระพรวนพร้อมกับตุ๊กตารูปกระต่ายสีขาวที่ห้อยอยู่หน้าประตูส่งเสียงเตือนให้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามายังร้านกาลเวลา
เสี้ยววินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในร้าน สายชลรู้สึกราวกับผูกพันที่นี่อย่างน่าประหลาด กลิ่นหอมอบอวลยังคงกรุ่นอยู่ภายในร้านกาลเวลา ขณะที่ชายวัยสามสิบปลาย ๆ ใบหน้าหล่อเหลา สะอาดสะอ้านราวกับว่าอาบน้ำวันละสิบครั้งที่กำลังปัดฝุ่นชั้นหนังสืออยู่ด้านในสุดของร้าน แล้วหันมองมาที่เขาอย่างไม่สนใจเท่าไรนัก เจ้าของร้านกาลเวลาระบายรอยยิ้มบางแล้วพยักหน้าเบา ๆ
“สวัสดีครับ...” สายชลเดินเข้ามาในร้านอย่างด้วยความรู้สึกวูบไหวเคลิบเคลิ้ม แสงไฟสีส้มนวลชวนให้สบายใจ กลิ่นหอมอบอวลคล้ายดอกพลับพลึงแซมวานิลลา สดชื่นเหมือนเวลาที่อยู่ภูเขาสูงสงบและผ่อนคลาย ทว่ากลับให้ความรู้สึกลึกลับในเวลาเดียวกันอย่างน่าแปลกประหลาด แล้วจู่ ๆ สายตาก็เผลอเหลือบไปเห็นกล่องดนตรีซึ่งด้านบนมีโดมใส ด้านในเป็นสวนดอกไม้ ตกแต่งด้วยตุ๊กตารูปกระต่ายคู่แฝดใส่ชุดเอี๊ยมหันหน้าเข้าหากันตัวหนึ่งยิ้มสดใส อีกตัวสีหน้านิ่งขรึม ฐานของกล่องดนตรีมีเขียนว่า Yesterday ส่วนอีกด้านเขียน Part ด้านข้างมีคันโยกสำหรับหมุนไขลาน สายชลมองดูเนิ่นนานกระทั่งพบว่าเขาผู้นั้นเดินเข้ามาซ้อนด้านหลัง
“สวัสดีครับ ผมจิรัฐิติกาล คนที่ผมรู้จัก เขาก็ชอบกล่องดนตรีแบบนี้เหมือนกัน” จิรัฐิติกาลเอ่ยเสียงยะเยือก พร้อมปรายตาไปยังกล่องดนตรีด้วยสายตาเศร้า นันย์ตาแดงก่ำหยาดน้ำตารื้นปริ่ม เขาพรูลมหายใจออกช้า ๆ แล้วปรับสีหน้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมเพื่อเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษผู้มาเยือนยังร้านกาลเวลา
เมื่อสายชลเห็นว่าชายเจ้าของร้านเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอบอุ่นที่กระทบจึงรีบหันไปประชันหน้ากับจิรัฐิติกาล คนตรงหน้ากะพริบตาถี่ก่อนจะเรียกเขาด้วยชื่อที่ไม่คุ้นเคย
“สุชัชจ์ชล ใช่เจ้าจริง ๆ ด้วย”
สายชลตกใจอย่างถึงขีดสุด ยังไม่ทันได้ขยับไปไหนเจ้าของร้านกาลเวลาก็จู่โจมเข้ามาสวมกอดร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นของหมูกระทะไว้แน่น ยิ่งเขาผลักออก แรงกอดของคนตรงหน้าก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ‘ผมพยายามผลักออกแต่เขาก็ยิ่งกอดผมไว้แน่น’
“ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน อย่าทิ้งเราไปไหนอีกนะ”
อ้อมแขนอันแสนอบอุ่นที่เข้ามาสวมกอดส่งให้สายชลรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ กลิ่นหอมจางอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจิรัฐิติกาลทำเอาสายชลหัวใจหวามไหว
“เอ่อ... คือ คุณคงเข้าใจผิดนะครับ ผมชื่อสายชล” จิรัฐิติกาลเพ่งมองคนตรงหน้าแต่แล้วก็โผกอดสายชลอีกครั้ง
ผมผลักเจ้าของร้านให้แรงขึ้นแล้วเงยหน้าไปสบตาคนตรงหน้าอย่างสงสัยในตอนนี้ผมไม่ได้ขัดขืนอ้อมกอดเขาแล้ว สองสายตาสบประสานกันภายในร้านมีเพียงเราทั้งสองคน เสียงเพลงบรรเลงที่เปิดคลอเบา ๆ ผสานกับกลิ่นอโรม่าผะแผ่วจรุงใจ แต่แล้วจิรัฐิติกาลกลับเพ่งมองผมด้วยสายตาผิดหวัง เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้ แล้วเขาก็ผละตัวออกห่าง ก่อนจะรีบยกหลังมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาที่ยังไม่ทันได้ไหลออกมา
“ผมขอโทษนะครับ แต่คุณหน้าเหมือนเขามากจริง ๆ” เจ้าของร้านกาลเวลายังคงมองใบหน้าผู้มาเยือนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ ทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนเศร้า
“เขาเป็นคนรักของคุณหรือครับ” สายชลเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้
จิรัฐิติกาลพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ พร้อมกับหยิบกล่องดนตรีชิ้นนั้นขึ้นมาไขลาน แล้วเสียงเพลงใสหวานก็ดังก้องกังวล ทว่าเมื่อมองคนตรงหน้าแล้วกลับรู้สึกเหงาจับใจ
เจ้าของร้านกาลเวลาระบายยิ้มบาง ก่อนจะยื่นกล่องดนตรีนั้นให้สายชล “เราให้... แล้วสิ่งนี้จักนำทางไปหาสิ่งที่คุณรอคอย”
“ไม่เป็นไรครับคุณ... เท่าไรครับ เดี๋ยวผมขอซื้อดีกว่า” เขาเอ่ยตอบอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับล้วงมือไปที่กระเป๋าสะพาย
“รับไปเถอะครับ ถือว่าเป็นของขวัญที่เราได้เจอกัน” จิรัฐิติกาลถือวิสาสะเลื่อนไปกุมมือของสายชลไว้ด้วยท่าทางจริงจังระคนเศร้า ดวงตาคู่นั้นมองสายชลไม่วางตา
สายชลรับกล่องดนตรีนั้นมาไว้ในมือหางตามองไปที่ตู้กระจกที่อยู่ด้านหน้า
“งั้นผมขอซื้อสร้อยข้อมือเส้นนี้ด้วยครับ” สายชลยื่นสร้อยข้อมือหนังที่มีล็อคเก็ตรูปเข็มทิศห้อยสมอเรือส่งให้กับเจ้าของร้าน แขกคนพิเศษวางกล่องดนตรีไว้คู่กับสร้อยข้อมือหนัง
ในคืนเดียวกันนั้นผมหยิบกล่องดนตรีไปยังที่นอนแล้วพลิกดูข้อความที่สลักเอาไว้ที่ตัวฐานก่อนจะหมุนลานกล่องดนตรีเพื่อฟังเสียงแหลมใสนั้น เสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานแหลมใสขับขานครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้ผมสมองโล่งจิตใจสงบลง พร้อมกับเอนตัวลงบนเตียงนอน กอดหมอนใบใหญ่นุ่มฟูเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มหวาน
เสียงเพลงร็อคที่ไม่คุ้นหูเปิดดังสนั่นทำเอาคนที่กำลังฝันหวานในภวังค์จำต้องตื่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิดใจ “โอ๊ย ใครเปิดเพลงอะไรแต่เช้าเนี่ย ไม่รู้หรือไงนี่มันวันเสาร์นะ”ผมยกหมอนใบหนานุ่มขึ้นมาปิดหน้า แล้วซุกตัวลงไปยังใต้ผ้าห่มผืนหนา
“อ้าวไงมึง ตื่นแล้วเหรอ ลุกขึ้นมากินอะไรสักหน่อยสิ”
ใครบางคนที่เอ่ยขึ้นทั้งที่กำลังทำบางอย่างอยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ ภายในห้อง
“โอ๊ะ โอ๊ยหัว เจ็บหัว” สายชลเอามือกุมที่ศีรษะ แล้วหันไปยังต้นเสียงที่ปลุกเขาอย่างหัวเสีย “นะ นายเป็นใครกันอ่า เข้ามาได้ไง” สายชลเลิ่กลั่กหันซ้ายหันขวา ขณะที่ร่างกายของเขารู้สึกปวดร้าวเจ็บระบมราวกับกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ น่าแปลกทั้งที่เมื่อวานยังปกติดีอยู่แต่ทำไมเขาถึงเจ็บเนื้อตัวปางตายเช่นนี้
“นี่มึงจะนั่งงงอีกนานไหม จะต้องให้กูป้อนข้าวป้อนน้ำเลยไหม ฮะ” คนแปลกหน้าเอ่ยเสียงทีเล่นทีจริง พร้อมกับเทโจ๊กใส่ชาม แล้วหันมามองสายชลอย่างประหลาดใจ
“คุณเป็นใคร” เขานั่งคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม กวาดสายตามองไปยังรอบห้อง บรรยากาศแปลกตาทั้งที่สายชลมั่นใจว่าเมื่อคืนเขาหลับอยู่ในห้องของตัวเอง ‘ไม่ใช่ที่นี่แน่นอน’
“เฮ้ยไอ้สายฟ้า มึงไหวใช่ไหม ไหนดูซิ สมองเสื่อมเหรอ”
ชายแปลกหน้าคนนั้นที่ดูท่าทางใจดี น้ำเสียงเล่นทีจริงทำเอาผมคลายความกังวลได้มาก แต่เฮ้ย นี่มันที่ไหนกันเนี่ย ไม่ได้การละ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง !
“ขอโทษนะครับ คุณคือ…”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?