ตอนที่ 57ห้วงฝันในม่านหมอก

[รัตติกาล-ไทม์]

รัตติกาลนั่งทอดอารมณ์ยังร้านกรุ่นกลิ่นกาแฟ เป็นร้านที่อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยซ้ำยังเป็นสถานที่ที่นักศึกษารวมถึงพนักงานออฟฟิศแวะมานั่งทอดอารมณ์ เขาเองก็เช่นกัน ครั้งนี้สายฟ้าย้ำท่าทางจริงจังไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาต้องอยู่กระทั่งรับสายชลหลังจากสอบเสร็จ ‘เรื่องแค่นี้เอง ถึงไอ้เด็กขรึมนั่นไม่สั่ง เขาเป็นแฟนน้องชลทำไมจะทำไม่ได้’ ขณะที่สมองและหัวใจของไทม์คิดวนเวียนเรื่องแฟนเด็กของเขาทั้งที่เพิ่งแยกจากกันไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เขายกแก้วลาเต้ที่สั่งไว้ขึ้นมาจิบเล็กน้อย ว่าจะเปิดไอแพดจัดการตารางงานช่วงบ่ายสักหน่อย ทว่าสายชลโทรศัพท์มาบอกว่าลืมกระเป๋าปากกาและบัตรนักศึกษาไว้ที่รถของเขา ด้วยความที่ไทม์เป็นห่วงว่าสายชลจะกลับเข้าไปสอบไม่ทัน เขาจึงต้องรีบกลับไปที่รถ ในเวลาเดียวกันนั้นสายฟ้าก็โทรศัพท์มาถึง 3 สายที่เขาไม่ได้รับ

“ว่าไงครับ คุณพี่ชาย” เขาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงยียวนเหมือนทุกครั้ง

[นี่ไอ้พี่ไทม์ อย่ามาทำเป็นเล่น คุณก็รู้เรื่องของสายชล ผม-จริง-จัง] สายฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จนคนที่ฟังรู้ได้ถึงแรงกดดันอย่างมหาศาลที่ปลายสายส่งมาให้

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย น้องชลเข้ามหาลัยไปแล้ว อ้อ ไม่สิ… น้องกำลังเดินออกมาเอาบัตรนักศึกษากับกระเป๋าปาก…” ยังไม่ทันที่ไทม์จะพูดจบประโยคปลายสายก็สบถคำด่าออกมาก่อนเสียแล้ว

[ไอ้ห่าเอ๊ย ไม่ได้การแล้ว ไอ้พี่ไทม์รีบโทร.ไปบอกให้สายชลรอหน้าคณะ ส่วนพี่ข้ามเอาของไปให้น้องมันนะ] สายฟ้าร้อนรนเพราะเขาเชื่อเรื่องที่สายชลเล่าให้ฟังอย่างสนิทใจ แฝดผู้พี่เอ่ยพร้อมกับดูเวลาที่ข้อมือด้วยความเป็นกังวล

“ได้ คุณไม่ต้องห่วง” ไทม์เอ่ยสั้นห้วนแล้วรีบวางสายไปก่อนจะเดินกลับไปยังทางม้าลายด้านหน้ามหาวิทยาลัย H

ภาพที่ไทม์เห็นเบื้องหน้าคือสายชลที่กำลังโบกไม้โบกมือไหว ๆ ใบหน้าสดใสเจือรอยยิ้มกว้าง ทว่านั่นกลับทำให้เขารู้สึกหัวใจไหวสะท้าน

“น้องอยู่ตรงนั้น ไม่-ต้อง-ข้าม-มา” เขาตะโกนสุดเสียง แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล

สายชลคลี่ยิ้มพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งข้ามถนนด้วยความมั่นใจ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บนสะพานข้ามแยกก่อนจะถึงมหาวิทยาลัยเขาเห็นรถยนต์คันหรูสีดำขับด้วยความเร็วสูงมาแต่ไกล ไทม์จึงรีบข้ามถนนเพื่อไปหาสายชล แต่แล้วเหมือนบางอย่างดลใจให้เขาคว้าจี้นกหวีดที่สายชลเคยให้ไว้ขึ้นมาเป่าเมื่อถึงเกือบกลางถนน ไทม์ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาทำเช่นนี้ไปทำไม ทว่าด้วยสัญชาตญาณกู่ร้องบอกกับเขาว่า ‘หากเขาเป่านกหวีดจิ๋วนี่ สายชลถึงจะรอดพ้นอันตราย’

เสียงนกหวีดแหลมใสดังก้องกังวานพร้อมกับม่านหมอกสีขาวผสานลำแสงสีทองเรืองรอง เสี้ยววินาทีราวกับทุกสรรพสิ่งหยุดหมุนในทันใด ไทม์มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ท้องถนนที่การจราจรแน่นขนัด เด็กมัธยมที่กำลังวิ่งอยู่ข้างทาง มอเตอร์ไซค์วินที่กำลังบิดตัดหน้าเขาแข่งกับเวลาที่รีบเร่ง รวมถึงรถยนต์คันนั้นหยุดนิ่งราวกับกาลเวลาได้ถูกแช่แข็งไว้อย่างไรอย่างนั้น

ไทม์ไม่รอช้ารีบวิ่งไปให้ถึงตัวสายชล แต่แล้วโชคชะตากลับไม่เข้าข้างคนตัวเล็ก เขามาถึงช้าไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

“ไม่นะ น้องชล ไม่สิ มะ… ไม่เอาแบบนี้” ไทม์แผดร้องสุดเสียงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วช้อนร่างของสายชลที่นอนหมดสติแน่นิ่งอยู่บริเวณขอบฟุตพาท ใบหน้าของสายชลตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าคนในอ้อมกอดจะลืมตาหรือตอบสนองเขาได้เลย

“น้องชล พี่มานี่แล้ว ตื่นก่อนสิ ไม่เอานะอย่าเป็นแบบนี้สิ” ไทม์กอดร่างที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงไหลซึมเสื้อนักศึกษาสีขาว มืออีกข้างหนึ่งพยายามกดโทรศัพท์เพื่อเรียกรถพยาบาล

“ผมกดเรียกรถให้แล้ว โรงพยาบาลอยู่ตรงนี้ รถกำลังมา” นักศึกษาคนหนึ่งชี้ไปทางโรงพยาบาลรัฐชื่อดังที่อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัย

ไม่นานนักรถพยาบาลก็มาถึงยังจุดเกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บ 2 รายหมดสติทั้งคู่ ไทม์ขอติดรถพยาบาลไปด้วย ทว่าพื้นที่นั่งภายในรถไม่เพียงพอ เขาจึงต้องย้อนกลับไปเอารถของตัวเองแล้วตามไปยังโรงพยาบาลทีหลังด้วยใจที่ร้อนรน

ระหว่างที่ขับรถไปยังโรงพยาบาลไทม์นั่งครุ่นคิดสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทาง เขาคิดอยู่นานว่าจะโทรศัพท์หาสายฟ้าหรือไม่ ทว่าคนที่กำลังนึกถึงกลับโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน

“สายฟ้า ว่ายังไง”

[สะ… สายชล เป็น... ยังไง] เสียงปลายสายดูไม่สู้ดีนัก ลมหายใจรวยรินราวกับจะสิ้นลมหายใจอย่างไรอย่างนั้น

“เอ่อ... คือ”

[มันเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม]

“คุณ... รู้เหรอ ?”

[ตอนนี้... น้องอยู่ไหน] สายฟ้ารวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเอ่ยถาม ในขณะที่ตัวเองก็กำลังถูกหามส่งโรงพยาบาลเช่นกัน

“โรงพยาบาล XX” เมื่อเขาพูดจบปลายสายก็ตัดไปเสียอย่างนั้น นอกจากเขาจะเป็นห่วงสายชลแล้ว เสียงของสายฟ้าก็ดูผิดแผกไปกว่าทุกครั้ง หรือสิ่งที่สายชลเคยเล่าให้ฟังจะเป็นเรื่องจริง...

“พี่ไทม์ น้องจะบอกความลับของเราสองพี่น้องให้ฟัง น้องและพี่สายฟ้ามีอะไรบางอย่างที่เชื่อมระหว่างเราไว้ ไม่ว่าน้องจะสุขหรือเศร้า จิตใจของเราทั้งสองคนก็สื่อถึงกันได้” เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงย้อนคิดถึงคำพูดของสายชล

ครั้งนั้นที่ไทม์ได้ฟังเรื่องที่สายชลเล่า รัตติกาลยังคิดทีเล่นทีจริงอยู่ว่าจะมีเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรกัน ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งทำให้คนที่ไม่คิดจะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างเขา จำต้องเชื่อเรื่องที่สายชลเคยเล่าอย่างสนิทใจ แล้วไหนจะเวลาหยุดหมุนราวกับถูกแช่แข็งเมื่อครู่นั่นอีก !

เกือบ 15 นาทีกว่าที่ไทม์จะขับรถมาถึงโรงพยาบาลทั้งที่อยู่ไม่ไกล เมื่อถึงโรงพยาบาล เขาก็ไม่รอช้ารีบบึ่งตรงไปติดต่อยังห้องฉุกเฉินในทันที

“ขอโทษนะครับ คุณทินาท ธารกิติประยูร อยู่ห้องไหนครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณมีความเกี่ยวข้องอะไรกับคนเจ็บคะ” พยาบาลเอ่ยถามพลางเปิดเอกสารทะเบียนผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้า

“คือ... ผมเป็นแฟนของเขาครับ”

“ตอนนี้คุณทินาทยังอยู่ในห้องฉุกเฉินนะคะ ไม่ทราบว่าคุณสามารถติดต่อญาติของผู้ป่วยได้ไหมคะ ยังไงรบกวนด้วยนะคะ” พยาบาลเอ่ยพร้อมกับให้เขารอสายชลยังที่นั่งหน้าห้อง เขาจึงนั่งรอคนที่เจ็บด้วยใจร้อนรนพร้อมกับไลน์แจ้งข่าวให้กับสายฟ้าที่เป็นห่วงสายชลไม่แพ้กันได้ทราบ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ดรีมที่กำลังประคองสายฟ้าเข้ามาโรงพยาบาล XX ด้วยสีหน้าอิดโรย นัยน์ตาเริ่มลอยเคว้ง ริมฝีปากซีดราวกับคนใกล้หมดลม บุรุษพยาบาลเห็นเช่นนั้นจึงรีบให้สายฟ้าขึ้นเตียงผู้ป่วยแล้วเข็นเข้าไปยังห้องฉุกเฉินโดยมีเพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดตามอยู่ไม่ห่าง ทว่าดรีมไม่สามารถเข้าไปยังห้องฉุกเฉินกับสายฟ้าต่อได้ เขาจึงเดินมานั่งบริเวณที่ว่างด้านข้างไทม์

“ดรีม นี่มันอะไรกัน แล้วนั่นสายฟ้า...”

“ผมก็สับสนไม่ต่างจากพี่หรอก พอสายชลเกิดเรื่อง อยู่ ๆ ไอ้สายฟ้าที่กำลังเดินไปที่คณะก็เลือดออกจมูกแล้วล้มลงไปต่อหน้าทุกคนเลย”

“ทำไมขับมาที่นี่ ไม่พาสายฟ้าเข้าโรงพยาบาลแถวนั้นล่ะ สภาพดูไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

“พี่ไทม์ก็รู้ ไอ้นี่น่ะมันดื้อจะตายไป มันก็คงเป็นห่วงน้องชายแหละ โธ่ เพิ่งเจอกันแท้ ๆ”

“ไอ้นี่ อย่าพูดเป็นลางสิ ทั้งสองคนต้องปลอดภัย ยังไงก็ถึงมือหมอแล้ว” ไทม์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสีหน้าจริงจัง เขาหวังว่าเจ้าสองแฝดจะปลอดภัย

ในเวลาเดียวกันดรีมได้รับสายจากวิคมซึ่งเป็นมือซ้ายของท่านทิวัตถ์ผู้เป็นพ่อของสายฟ้า ปลายสายน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

[ไอ้ดรีม มึงอยู่กับนายน้อยไหม กูโทร.หาไม่ติด]

“ครับ”

[ตอนนี้นายเข้าโรงพยาบาล XX พวกกูกำลังรีบตามไป]

“พี่วิคม นายเป็นอะไร”

[เห็นโรงพยาบาลโทร.บอกว่าถูกรถชน เอออย่าเพิ่มถามอะไรมาก มึงรีบพานายน้อยไปเจอกันที่โรงพยาบาลนะ ตอนนี้กูรีบ]

ไม่ทันที่ดรีมจะตอบวิคมก็ชิงตัดสายไปเสียก่อน ‘นี่มันวันโลกาวินาศหรือไงวะเนี่ย’ เขาพึมพำกับตัวเอง ทว่าก็ดังพอให้คนที่นั่งติดกันได้ยิน สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยของไทม์ ความกดดันที่นายของดรีมทั้งสามคน คุณทิวัตถ์ สายฟ้า และสายชลที่เข้าห้องฉุกเฉินพร้อมกัน ทำให้คนที่นั่งรออย่างเขาอกแทบระเบิดเสียตรงนี้

“มีอะไรอยากเล่าไหม” ไทม์เห็นท่าทางอึดอัดของคนตรงหน้า มืออบอุ่นก็ตบที่บ่าปุ ๆ เชิงปลอบใจ “กังวลเหรอ ใจเย็นนะ”

“คือ... ตอนนี้นายใหญ่ เอ่อ ถูกรถชนเข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน”

“ดรีมไปทำธุระก่อนก็ได้นะ ส่วนทางนี้พี่เฝ้าให้เอง ถ้าสายฟ้าตื่นแล้วพี่จะโทร.บอก”

“นายใหญ่คือพ่อของสายฟ้ากับสายชลครับ เขาก็แอดมิทอยู่ที่นี่” พูดถึงตรงนี้ดรีมก็ชี้ไปทางห้องฉุกเฉิน หัวคิ้วที่ปกติก็พันกันอยู่แล้วกลับขมวดหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า

เกือบ 2 ชั่วโมงที่ผู้บาดเจ็บทั้งสามคนอยู่ในห้องฉุกเฉิน แล้วบานตรงหน้าพลันเปิดออกพร้อมกับเตียงของสายชลและสายฟ้าก็ถูกเข็นออกมา

“เราจะย้ายคุณทิวกาลและคุณทินาทไปยังห้องพักฟื้นนะคะ พอดีว่าแฝดคนพี่ขอพักห้องเดียวกันทางคุณหมอก็เห็นด้วย ยังไงคุณโทร.หาญาติผู้ป่วยแล้วให้มาติดต่อกับพยาบาลที่เคาน์เตอร์ก่อนนะคะ ส่วนเอกสารประกันเดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะนำไปให้เซ็นภายหลังค่ะ” พยาบาลสาวระบายรอยยิ้มใจดีก่อนจะให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยนำทั้งสองคนขึ้นไปยังตึกผู้ป่วยใน

“พี่วิคม ผมขอตัวไปดูคุณสายฟ้าก่อนนะ ถ้านายฟื้น...”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวถ้านายฟื้นกูโทร.บอก ทางนี้กูดูต่อเอง” ดรีมค้อมศีรษะให้กับบอดี้การ์ดรุ่นพี่ก่อนจะวิ่งตามไทม์มาติด ๆ

“มีอะไรที่พี่ควรจะรู้ไหม” ไทม์เอ่ยถามด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“ผมว่า รอไอ้ฟ้ากับน้องชลเล่าให้พี่ฟังเองดีกว่า ผมบอกได้แค่ว่าผมน่ะเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณสายฟ้า แต่ความที่เป็นเพื่อนกันมานานก็เลยเป็นอย่างที่พี่ไทม์เห็นนั่นละ” ดรีมเล่าให้คนตรงหน้าฟังเท่าที่ทำได้

เวลาล่วงเลยไป 3 วัน สายชลยังคงนอนแน่นิ่ง มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาที่บ่งบอกให้รู้ว่า ‘เขายังมีชีวิต’ ในขณะที่สายฟ้าแม้ภายนอกดูปกติ ทว่าเขากลับอ่อนแรงลงไปกว่าวันแรก พี่น้องฝาแฝดทั้งสองคนนอนไม่ไหวติง ผู้เป็นแม่ที่นั่งเฝ้าอยู่ตรงกลางระหว่างสองเตียงเริ่มใจเสีย 3 วันที่ผ่านมาดาริกาพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่วันนี้อาการของสายชลไม่มีทีท่าจะดีขึ้น สายฟ้ายังอาการทรุดลงกว่าวันแรก เธอสะอื้นปล่อยโฮด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ภาพรอยยิ้มของสองพี่น้องเมื่อครั้งก่อนที่บ้านริมทะเลยังคงตราตรึงใจ

“สายฟ้า สายชล อย่าเป็นอะไรไปนะลูก นี่ 3 วันแล้วนะทำไมยังไม่ฟื้นสักที” ดาริกายังคงร้องไห้ปานจะขาดใจ

ในเวลาเดียวกันนนท์กับวิคมก็เปิดประตูเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าดาริกาพร้อมกับค้อมศีรษะเคารพ “คุณดาริกาครับ ไม่ทราบว่าจะแวะไปเยี่ยมท่านทิวัตถ์สักหน่อยไหมครับ”

“ไม่ ฉันไม่ไปเยี่ยมคนที่พรากลูกไปจากฉันหรอก” สายตาของดาริกายังเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ

ดาริกามองภาพลูกทั้งสองคนของเธอสลับกันไปมาด้วยความปวดร้าวใจ ทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 11 ปีก่อน… หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น สายฟ้ากับสายชลเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลร่วม 2 เดือน เมื่อสายฟ้าเริ่มหายดี ทิวัตถ์ผู้เป็นสามีได้พรากลูกชายคนโตจากเธอไป โดยทิ้งข้อความไว้เพียง ‘ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของเธอกับลูก’

ดาริกาแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่าถูกพรากลูกคนโตไป ทว่าลูกคนที่ยังเหลือทำให้เธอจำต้องลุกขึ้นสู้และตามหาลูกชายอีกคนให้เจอจนได้

เธอไม่เคยรู้เหตุผลมากกว่าข้อความในกระดาษที่อดีตสามีทิ้งไว้ให้

เธอไม่เคยรู้เหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น

เธอรู้แค่เพียงชาตินี้ต้องตามหาสายฟ้าให้พบ และจะไม่มีวันให้อภัยทิวัตถ์เป็นอันขาด

...ภาพความทรงจำอันรางเลือนของสายฟ้า

“วันนี้เราจะไปไหนกันครับ” สายชลในวัย 8 ขวบ ตื่นเต้นลิงโลด ผิดกับสายฟ้าที่นั่งนิ่งอยู่กับที่แล้วทอดสายตาไปยังสองข้างทาง

“พ่อจะพาลูกสองคนไปเยี่ยมคุณย่าที่กรุงเทพฯ” ทิวัตถ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็น รอยยิ้มบางกดลึกที่มุมปาก ปกติแล้วเขามักไปมาระหว่างกรุงเทพฯ-หัวหิน นั่นเพราะธุรกิจของทิวัตถ์ล้วนอยู่ในเมืองหลวงทั้งนั้น เขาเอ่ยปากชวนภรรยาหลายต่อหลายครั้งให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทว่าดาริกากลับรักสายลมและเกลียวคลื่นมากกว่า และเขาก็พ่ายแพ้รอยยิ้มของภรรยาเสียด้วย นั่นจึงทำให้ทิวัตถ์จำต้องเดินทางไปมาอยู่บ่อยครั้ง

“วันนี้พี่นนท์ไม่มาด้วยเหรอครับ” สายฟ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุขุม ท่าทางผิดแผกจากเด็กในวัยเดียวกัน แต่นั่นก็ทำให้พ่อยิ่งเข้มงวดกับเขา

“เดี๋ยวนนท์ขับตามมา” ขณะที่ทิวัตถ์กำลังขับรถก็สังเกตเห็นเจ้าเด็กแฝดของเขาเริ่มมีอาการง่วง เขาจึงกดเล่นแผ่นซีดีที่อยู่ภายในรถก่อนที่เสียงเพลงบรรเลงจะขับกล่อมให้เด็กทั้งสองคนค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา

เวลาเดียวกันนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ระหว่างทางด้านหน้าของถนนปรากฏกลุ่มเงาบดบังการมองเห็น ดาริกากับสายชลที่สะลึมสะลือรู้ทันทีว่าเบื้องหน้ากำลังจะเกิดอันตราย ทั้งสองกรีดร้องสุดเสียงก่อนรถยนต์คันหรูจะพุ่งเข้าข้างทาง กลุ่มเงาสีเทานั้นเริ่มครอบงำรถทั้งคัน ถุงลมนิรภัยอัดเข้าเต็มด้านหน้าทั้งฝั่งคนขับและด้านข้าง แรงสะบัดจากรถพุ่งชนทำให้ร่างของสายฟ้าหลุดออกมายังนอกตัวรถกระแทกเข้ากับฟุตพาท...

สายฟ้าเจ็บแปลบไปทั่วร่าง เลือดแดงฉานกลิ่นคาวคลุ้งผสานควันปริศนาชวนน่าพิศวงใจ เด็กน้อยพยายามประคองสติเอาไว้ก่อนจ้องไปยังชายแปลกหน้าที่สวมชุดสีดำผ้าคลุมแปลกประหลาดราวกับคนที่หลงยุค เขาผู้นั้นย่างกรายไปทางน้องชายของสายฟ้าที่กำลังหมดสติ

“ยะ... อย่านะ จะทำอะไร” แม้สายชลจะพยายามเสือกไสร่างที่เจ็บร้าวสักเพียงใด แม้เขาจะตะโกนตะเบ็งออกไปอย่างสุดเสียง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมามีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนรางขาดห้วง แล้วทุกอย่างก็มืดมิดลงไป...

“สายชล ไม่นะ ไม่...”

ราวกับปาฏิหาริย์ สายฟ้ารู้สึกตัวพลันเรียกชื่อน้องชายฝาแฝดเสียงดังลั่น เขาใช้หลังมือขยี้ตาเพื่อปรับแสงจ้าให้เข้าที่ ก่อนมองไปรอบ ๆ ห้อง หัวคิ้วขมวดพันกันยุ่ง สิ่งแรกที่สายฟ้าตื่นแล้วหันมองหานั่นก็คือ ‘สายชล’

“สายฟ้า ลูก ลูกฟื้นแล้ว” ดาริกากุมมือลูกชายคนโตไว้แน่นก่อนจะรีบให้ดรีมออกไปเรียกพยาบาลเข้ามาตรวจเช็กสภาพร่างกายเนื่องจากเขานอนนิ่งไปหลายวัน เหลือก็แต่ลูกชายคนเล็กที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

“สายชล...” คำแรกที่สายฟ้าเปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาเหลือบไปมองคนป่วยที่นอนเป็นผักสภาพร่างเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ บริเวณศีรษะถูกผ้าพันเอาไว้ หากมองเผิน ๆ ดูเหมือนน้องชายของเขาแค่นอนขี้เซาเท่านั้น

ไม่นานนักผู้ช่วยพยาบาลเชิญให้ญาติของผู้ป่วยออกไปรอยังด้านนอกห้อง พยาบาลอีกสองคนก็รุมตรวจสอบสภาพร่างกายสายฟ้าเบื้องต้น ระหว่างที่เขานอนเป็นผักไม่ต่างกับน้องชายฝาแฝดเตียงติดกันให้พยาบาลตรวจนั่นเช็กนี่ สายฟ้าทบทวนเรื่องราวที่เห็นเมื่อครู่ เขามั่นใจว่าอุบัติเหตุทางรถของครอบครัวที่เขาเห็นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เพียงความฝัน ครั้งนี้มันชัดเจนเหลือเกิน จนทำให้เขาเห็นภาพชายแปลกหน้าที่ปรากฏกายพร้อมกับกลุ่มม่านหมอกนั้นได้อย่างชัดเจน

‘คุณรุจ’ นั่นคุณจริง ๆ หรือ คุณทำเช่นนั้นทำไม...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ