[สายชล]
ภายในบ้านหลังขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากรีสอร์ตที่เป็นธุรกิจของบ้านสายชล ตัวบ้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวฟ้าสบายตา มีต้นไม้ประดับอยู่ทั่วทุกมุมบ้าน ด้านหน้ามีสวนดอกกุหลาบที่ทางเข้าถูกจัดเป็นซุ้มกุหลาบโค้งเข้าหากัน กลีบดอกสีแดงสดของดอกกุหลาบตัดกับสีเขียวของสนามหญ้า ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ บรรยากาศร่มรื่นกับกลิ่นอายทะเลชวนให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
ครืน ครืน เสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง พร้อมกับลมที่โชยพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านโปร่งปลิวด้วยแรงลม แสงแดงอ่อน ๆ ที่สาดส่องเข้ามายังห้องนอนของเขา สายชลมองไปยังรอบ ๆ ห้อง คิดถึง คิดถึงบรรยากาศเหล่านี้เหลือเกิน เขากอดหมอนใบใหญ่หนานุ่มราวกับให้หมอนใบนั้นโอบกอดเขา
ผมคิดมาตลอดว่าอยากจะกลับมาช่วงเวลาเดิม ช่วงเวลาสงบสุขที่มีทั้งไอ้เก้า และแก๊งเพื่อน ๆ ของผม ป้านิด ลุง คุณแม่ และเจ้านีโน่ ถึงแม้ผมจะเป็นคนอัธยาศัยดี แต่คนที่สนิทใจจริง ๆ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไอ้เก้าคือเพื่อนคนที่ผมไว้ใจที่สุด ผมหวังว่ามันจะเชื่อและเข้าใจผมอย่างพี่ดรีม ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันต้องหาว่าผมบ้าแน่ ๆ แต่ทำไมในใจผมกลับรู้สึกไม่สบายใจกระวนกระวายแบบบรรยายออกมาไม่ถูก แต่มันปะทุแน่นอยู่ในใจ’
“ฮัลโหล เก้าทำไรอยู่ ว่างไหม” สายชลกรอกเสียงถามคนปลายสายน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไงมึง กูนอนอ่านการ์ตูนอยู่ คุยได้ ว่ามา” เสียงคนปลายสายพูดอย่างสบาย ๆ
“คือ เอ่อ เราก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี” สายชลทำเสียงตะกุกตะกัก
“เอ้า ไม่เล่าแล้วจะรู้ไหม”
“คือ โอ๊ยจะบอกไงดี พูดไปเก้าจะเชื่อเราเปล่า”
เก้าปาหนังสือการ์ตูนทิ้ง แล้วทำเสียงกระฟัดกระเฟียด มุ่ยหน้ารำคาญคนปลายสาย
“มึงมีห่าไรถึงไม่เล่า โทร.มาแล้ว อืม ๆ เออ ๆ ชาตินี้จะรู้เรื่องไหมวะ” เก้าสบถอย่างหัวเสีย
“เราไปหาเก้าที่บ้านได้ไหม มีอะไรอยากให้ดู” สายชลทำเสียงอ้อนเพื่อนซี้ เสียงที่เป็นไม้ตาย ทำให้เก้าใจอ่อนทุกที
“โทร.มาให้กูอยากรู้ แล้วก็ยังไม่เล่าเนอะ… ตามใจมึง อยากมาก็มา เดี๋ยวกูเก็บห้องแป๊บนึง กองหนังสือจะล้มทับอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวเราออกไปหาตอนนี้เลยนะ” สายชลกระตือรือร้นหยิบของ มองตัวเองในกระจกถอนหายใจยาวแล้วยิ้มให้กำลังใจตัวเอง
สายชลให้คนขับรถพามายังบ้านของเก้า ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมากที่สุด นอกจากจะอยู่หมู่บ้านใกล้กัน เรียนอนุบาลมาด้วยกัน ตอนเกิดยังอยู่ห้องเด็กอ่อนเดียวกันอีกด้วย ถึงแม้ว่าเก้าจะชอบพูดจาโผงผางเสียงดังและดุไปสักหน่อย แต่เพื่อนคนนี้ไม่เคยทิ้งให้เขาโดดเดี่ยวเลยสักครั้ง เสียงกดจากหน้าบ้านแผดเสียงดังจนทำให้เก้าต้องเดินมายังหน้าประตูบ้าน
“เก้า คิดถึงจังเลยคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” สายชลโผเข้ากอดเก้าด้วยความดีใจ
“เดี๋ยวมึง เป็นอะไรสมง สมองไปหมดแล้วเหรอ สอบหนักอะกูเข้าใจ แต่ไม่ต้องมากอดกูก็ได้” เก้าผละสายชลออกด้วยท่าทีงง ๆ พร้อมกับเดินนำไปยังชั้นสองของบ้าน
“มีขนมอะไรกินบ้างเก้า” สายชลไม่พูดเปล่า ขาเรียวก้าวไปยังตู้เย็นหยิบน้ำหวาน ขนมมาเต็มมือ แล้วยิ้มหวานจนตาเป็นสระอิ
“เดี๋ยว ไหนว่ามีอะไรจะคุย มาถึงมึงก็เปิดตู้เย็นทำตัวเป็นเจ้าบ้านเลยนะ”
“เอาน่าเก้า คนกันเอง” สายชลหยิบขนมขึ้นมากินไปพูดไป แล้วไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน
จากนั้น เขาก็หยิบกล่องดนตรีโดมใสที่มีตุ๊กตารูปกระต่ายใส่เอี๊ยมอยู่ในสวนดอกไม้วางบนโต๊ะ เก้ามองสายชลด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้
“คือ… เราก็ไม่รู้จะเล่าไงนะ เก้าจำวันที่เราไปกินหมูกระทะกันได้ไหม”
“เออจำได้ อิ่มมากเลย ยังอยากกินอีกเลยนึกถึงเบคอนหอม ๆ มันแตก ๆ ในปาก”
“เดี๋ยวก่อนเก้า อย่าเพิ่งตะกละสิ”
“ก็หิวนี่ อะว่ามา… แล้วยังไง” เก้ากระโดดขึ้นไปบนที่นอนแล้วเอนหลังพิงกำแพง หันหน้าไปยังสายชลที่นั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ทว่าเขาเห็นสายชลทำหน้าตาขึงขังผิดปกติวิสัย โดยปกติแล้วคนตัวเล็กจะร่าเริงไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องอะไรเท่าไรนัก แต่ท่าทีวันนี้ดูแปลกไป เขาจึงคิดว่าเรื่องที่จะปรึกษาต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ พลางหยิบหมอนใบใหญ่มากอดขณะฟัง
“หลังกินหมูกระทะเสร็จ เราแวะไปร้านของสะสมร้านนึง เราเล็งร้านนี้มานานแล้ว ชื่อร้านสะดุดใจแบบแปลก ๆ แล้วเจ้าของร้านก็ให้กล่องดนตรีอันนี้มา แต่เราเกรงใจเลยซื้อสร้อยอันนี้มาด้วย…”
“แล้วมันแปลกยังไง” เก้าขมวดคิ้วมองสายชลไขลานกล่องดนตรี เสียงกรุ๊ง กริ๊งกังวานใส ดูก็ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติ
“หรือว่า มึงเจอผีเหรอชล” เก้าลนลานกระเถิบไปที่สุดมุมขอบเตียงแล้วหันซ้ายหันขวาด้วยความระแวง
“ไม่ใช่เก้า ไม่ได้เจอผี”
“อ้าว แล้วไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้กูเล่นใหญ่อยู่ตั้งนานนะมึงเนี่ย” เก้าลูบท้ายทอยแก้เขิน
“เราคิดว่า…”
“ว่า…?” เก้าลากเสียงตาม
“เราข้ามเวลาไปอนาคตแหละ”
เก้านอนกลิ้งหัวเราะอยู่บนที่นอนสักพัก แล้วหันมาประสานตากับสายชลที่นั่งนิ่ง ดูค่อนข้างเศร้าและสับสน
“เฮ้ยมึง เป็นอะไร” เก้าลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองเพื่อนซี้ด้วยท่าทีเริ่มจริงจัง
“เราพูดจริง ๆ นะ เราเหมือนกับว่าข้ามไปอนาคต 8 ปีข้างหน้า เราได้ทำงานกับบริษัทนึง และมีอะไรอีกหลายอย่างเลยเก้า เราคิดว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้ฝัน”
“มันเป็นไปได้ยังไง เมื่อวานเรายังกินหมูกระทะกันอยู่เลย มึงจะบอกว่ามึงวาร์ปไปแบบนี้เหรอ มันไม่เข้าเรื่องอะมึง” เก้าลุกขึ้นมาเดินตรงมายังสายชล แล้วกอดคอพร้อมกับตบบ่าเบา ๆ
“กูคิดว่ามึงอาจจะเหนื่อยอะ แบบฝันซ้อนฝัน กูเคยเป็นนะ” สายชลมองช้อนตาไปยังเพื่อนสนิท น้ำตาสีใสคลออยู่ในดวงตากลมโต
“มึงอย่าร้องสิวะ เอ้าไหนมึงลองเล่ามาสิ”
“เก้าไม่เชื่อเรา จะเล่าไปทำไม”
“มึงก็ใจเย็นสิ กูก็พยายามอยู่นี่ไง ถึงให้มึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กูฟัง งั้นกูจะรู้ไหมว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”
สายชลเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาให้เก้าฟัง ว่าเขาต้องอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งมันไม่ง่ายเลยกับการที่เด็กม.ปลายแบบเขาจะต้องไปใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแบบนั้น อีกทั้งยังอยู่ด้วยความกังวลใจตลอดเวลาว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วจะกลับอย่างไร ไหนจะเรื่องพี่ไทม์ที่เขารู้สึกว่าเริ่มหลงรัก ทั้งที่ทุก ๆ อย่างมันกำลังไปได้ดีแล้ว
“เดี๋ยวนะ มึงเดินลงทะเลคิดว่าจะลอยกลับมาที่นี่งั้นเหรอ มึงมันประสาทหรือเปล่าวะ ไม่กลัวตายหรือไง”
“ก็ตอนนั้นคิดน้อยไปหน่อย ไม่คิดว่าจะตาย แต่ก็ไม่ตายนะเว้ย”
“แล้วมึงจะเครียดอะไร มึงก็กลับมาแล้วนี่ อยู่ตรงหน้ากูแล้ว” เก้าพูดสบตาพร้อมกับหยิกไปที่ต้นขา
“โอ๊ย… เก้าหยิกเราทำไม”
“นี่ไง มึงเจ็บใช่ไหม มึงไม่ได้ฝันไปหรอก คือตอนนี้มึงก็ใช้ชีวิตตามปกติละไง มีเวลาชิลอีกแค่เดือนกว่า ๆ เอง เดี๋ยวพวกเราก็เข้ามหาลัยแล้ว”
“อืม เก้าเชื่อเราใช่ไหม”
“ก็เชื่อยากนะ แต่เราจะพยายามเชื่อ ว่าแต่พาเราไปร้านกาลเวลาหน่อยสิ”
“ได้ดิ ไปกันเลยไหม เราก็อยากเจอเจ้าของร้านเหมือนกัน เผื่อเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?