ห้วงนิรมิต
ดวงหน้างามเย้ายวนจรุงจิต เพียงชื่นชิดรื่นรมฤทัยหวาม
แม้นอิงแอบแนบนวลรัตติกาล หวนพบพานคู่เคียงนิจนิรันด์
เสียงใครบางคนแว่วไหวมาจากทิศทางใดก็ไม่อาจจับทิศทางได้ ทว่าภาพเบื้องหน้าที่เห็นเต็มไปด้วยหมอกควันจาง ผสานกลิ่นหอมอบอวลชวนให้เคลิบเคลิ้ม เมื่อเดินตรงเข้าไปยังเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า แล้วกลุ่มหมอกสีขาวที่มีลำแสงเรืองรองกลับค่อย ๆ ฉายชัดยิ่งขึ้น ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความหนาวเหน็บเริ่มโอบล้อม กลิ่นพิศวงนั่นเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้น พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่จางหายไปทีละน้อย ท้ายที่สุดร่างที่เคยหนักอึ้งก็เลื่อนลอยราวกับร่างไร้นี้ไร้น้ำหนัก แต่แล้วก็มาหยุดยืนอยู่ในคฤหาณ์โบราณไม่คุ้นตา พริบตาเดียวร่างของเขาก็เข้ามาอยู่ยังมุมหนึ่งของห้องลับชั้นใต้ดิน เสียงถกเถียงของผู้ที่อยู่กลางห้องดังเสียจนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ท่านพ่อจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้ากับสุชัจจ์ชน เรา-รัก-กัน ท่านจักแยกเราสองออกจากกันได้เช่นไร”
“หึ รัก...เจ้าเอ่ยออกมาได้อย่างสิ้นความละอาย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยสายตาเย้ยหยั่ยเหยียดหยาม “จิรัฐิติกาล เจ้าลืมสิ้นแล้วหรือไร ว่าเจ้าเป็นบุตรชายของบิดาที่ควบคุมมิติห้วงนิรมิต ไยเจ้าจึงหลงใหลเจ้ามนุษย์โง่เขลาผู้นั้น”
“ท่านพ่อ...เรื่องนั้นข้ารู้ว่าผิดต่อตระกูลเพียงใด แต่เรื่องของข้ากับสุชัจจ์ชน ขอเถิด ท่านพ่อได้โปรดละเว้นเราทั้งสองได้หรือไม่” จิรัฐิติกาลวิงวอนร้องขอชีวิต เขารู้แจ้งแก่ใจ หากท่านพ่อต้องการพรากชีวิตคนรักของเขา ย่อมทำได้อย่างไม่ยากเย็น
“รุจ! เจ้าจงจำเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นเจ้า มารดาของเจ้า หรือใครหน้าไหนก็ไม่อาจทำให้ตระกูลของข้าเสื่อมเสียเพียงเพราะรักมนุษย์ต่ำชั้นเพียงคนเดียว”
“แต่...”
“ไม่มีแต่” ผู้เป็นพ่อตวาดด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ข้ารู้ว่าที่จริงท่านพ่อมีสิ่งที่ท่านต้องการอยู่...”
จิรัฐิติกาลรู้ดีว่าบิดาของตนมีงานอดิเรกในการสะสมเครื่องราง รวมถึงของหายากในท้องพิภพ นั่นจักเป็นทางเดียวที่สามารถปกป้องชีวิตและความรักของเราได้
“เจ้าคิดจะต่อรองอะไรกับข้า”
“หากข้านำลูกแก้สัจธรรมที่บรรจุเลือดของครอบครัวผู้มีลักษณะตรงตามที่ต้องการมาทำพิธีให้ท่านได้ เพียงแลกกับชีวิตของสุชัจจ์ชนกับข้า ท่านจะยอมหรือไม่”
ท่านพ่อแสยะยิ้มร้ายก่อนจะเดินตรงเข้ามาประชิดผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกลู ฝ่ามือแกร่งดังคีบเหล็กกล้าบีบปลายคางจิรัฐิติกาลเอาไว้แน่นราวกับต้องการข่มขวัญ “เจ้าไม่รู้หรือบุตรชายแห่งข้า ถ้าเจ้าต้องการทำพิธีสำเร็จเจ้าต้องนำกริชประจำตระกูลนิรมิตรัตติกาล แทงเข้าที่หัวใจเพื่อนำเลือดของทายาทมาประกอบพิธี”
“ข้าทราบดี...ท่านพ่อ” จิรัฐิติกาลเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ทว่าสายตายังคงหนักแน่นในความคิดของตน
“หึ...ข้าจักบอกความลับของกริชประจำตระกูลของเราให้ฟัง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มร้ายสายตาที่มองบุตรชายเต็มไปด้วยความสมเพชระคนผิดหวัง “หากผู้ใดใช้กริชปักลงกลางขั้วหัวใจแล้วจักสามารถรับพรได้ 1 ข้อ แต่ไม่สามารถขอคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นได้ และสิ่งสำคัญต้องถูกผนึกอยู่ในร้านกาลเวลาห้าร้อยปีหรือจนกว่าจะมีผู้ใดเป็นตัวแทน”
เมื่อจิรัฐิติกาลได้ฟังเช่นนั้นพลันทรุดกายลงนั่งยังโซฟาสีแดงกำมะหยี่ “ห้าร้อยปีหรือท่านพ่อ”
“เจ้าก็รู้ดีนี่ ผู้ใดที่เป็นเจ้าของร้านกาลเวลา จะมีอำนาจคุ้มห้วงนิรมิต ทั้งยังเดินทางไปมิติคู่ขนานได้ ผู้ที่อยู่ในร้านจะไม่ชรายังคงความเยาว์ไว้เฉกเช่นยามที่ก้าวเข้าไป”
บุตรชายแห่งนิรมิตรัตติกาลถอดถอนหายใจยาว ก่อนจะหยัดกายขึ้นยืน สบตาบิดาตรง ๆ “ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาเอ่ยเสียงสั้นห้วนพลางหันไปมองลูกแก้สัจธรรมว่างเปล่าที่วางอยู่บนชั้นมุมหนึ่งของผนังห้อง
“มันคุ้มแล้วหรือรุจ”
“ท่านพ่อเคยรักใครบ้างไหมครับ”
“นี่เจ้าอย่ามายอกย้อน จักว่าไปแล้วให้เจ้าได้เรียนรู้ชีวิตอยู่ในช่องว่างแห่งกาลเวลาสักห้าร้อยปีก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้เองว่าสมบัติและอำนาจมั่นคงกว่าความรักที่จับต้องไม่ได้” หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยจบเขาเดินไปยังชั้นเก็บของสีน้ำตาลเข้มก่อนจะหยิบกล่องไม้สลักลวดลายประณีตออกมาแล้วยื่นมันให้บุตรชาย
จิรัฐิติกาลเปิดกล่องไม้ออกปรากฏกริชทองเหลืองวาววับประดับงาช้างสีขาวนวลพร้อมกับทับทิมประจำตระกูล พลังงานบางอย่างที่เร้นอยู่ภายในศาสตราวุธส่งให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจอย่างน่าประหลาด
“ส่วนนี่ลูกแก้วสัจธรรม ถึงของชิ้นนี้พ่ออยากได้มันมาครอบครองตลอด แต่รู้ใช่ไหมว่าไม่จำเป็นต้องเอามันมาก็ได้”
“เพื่อสุชัจจ์ชนแล้วข้ายอมแลก”
“ถ้าแบบนั้น ขอให้เจ้าโชคดีเลือกครอบครัวผู้รับชะตากรรมนั้นให้จงดีหล่ะ” ผู้เป็นพ่อสายตามีเล่ห์นัย ริมฝีปากกดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนตบบ่าบุตรชายราวกับสั่งลา...
ลูกแก้วสัจธรรมเป็นเพียงดวงแก้วขนาดเล็กที่มีความพิเศษเฉพาะตัวเพราะสามารถบรรจุพลังความชอบ ความหลง ความกลัว และความเกลียดชัง โดยใช้เลือดบริสุทธิ์จากขั้วหัวใจของคนในตระกูลนิรมิตรัตติกาลเพื่อทำพิธี ลูกแก้วนี้จะมีอานุภาพ สามารถครอบง่ำจิตใจให้ฝ่ายตรงข้ามคล้อยตามคำที่พูด นำมาสู่อำนาจและความยิ่งใหญ่แก่ผู้ที่ได้ครอบครอง ทว่าการได้มันมานั้นกลับต้องแลกด้วยความรักที่ไม่อาจสมหวัง ความเสียสละ และการพลัดพราก แต่เมื่อใดที่ทุกอย่างกลับสู่ในหนทางที่ควรเป็นโดยการฝืนชะตากรรมและหักล้างโดยผู้ที่สร้างมันขึ้นมา พลังของลูกแก้วสัจธรรมก็จะเสื่อมถอยลงไป หากผู้ที่ได้มาครอบครองเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมจะช่วยส่งเสริมให้ผู้นั้นได้ในสิ่งที่ต้องการ ในทางกลับกันถ้าผู้ที่ใช้งานเต็มไปด้วยความละโมบภัยพิบัติก็จักมาเยื่อนเช่นกัน ทั้งกษัตริย์และนักเวทย์ต่างอยากได้ลูกแก้วนี้มาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
จิรัฐิติกาลหวนระลึกถึงเมื่อครั้งที่ท่านปู่ทวดเล่าให้ฟังวัยเยาว์ “หากจะใช้พลังเวทย์ปลุกลูกแก้วสัจธรรมขึ้นมาไม่เพียงแต่ต้องใช้ไอวิญญาณของมนุษย์ 4 ผู้ ที่มีความรัก ความชอบ ความหลง ความกลัว และความเกลียดชัง แต่การได้มันมาจักทำให้ชะตากรรมของมนุษย์ผู้นั้นบิดเบือนไปจนมิสามารถคืนกลับได้”
“เช่นนั้นแล้วมนุษย์พวกนั้นจักเป็นอย่างไรครับ”
“คนที่มีความรักเต็มหัวใจก็จะสูญสิ้นดวงใจอันเป็นที่รัก ผู้ที่มีความหลงจะยิ่งมัวเมาในยศอำนาจจนทำให้สิ้นคนเชื่อใจ ผู้ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจะเกิดความไม่มั่นคงในอารมณ์ และผู้ที่เกลียดชังจะติดอยู่ในวังวนของความโกรธแค้นไม่มีที่สิ้นสุด” ท่านปู่ทวดเอ่ยด้วยนัยน์ตาเศร้า ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยลูบที่เรือนผมนุ่มของหลานรัก
“ผู้ที่ทำกับมนุษย์เหล่านั้นจิตใจอำมหิตย์เสียจริงนะขอรับ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ ไม่ว่าชาวเราหรือมนุษย์...ต่างก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับจะสะกดกลั้นมันไว้ได้เพียงใด”
“แล้วมีทางแก้ไขให้มนุษย์ที่ถูกขโมยไอวิญญาณไหมครับ”
“มีเกิด...ก็ย่อมมีดับสูญ แน่นอนว่ามีทางแก้ไขแน่นอน” ท่านปู่ทวดพาหลานรักนั่งจิบน้ำชากุหลาบที่ศาลาริมน้ำด้านหลังคฤหาสน์
หลายชายตัวเล็กยังคงตั้งใจฟังเรื่องที่ท่านปู่ทวดเล่า ดวงตากลมโตจับจ้องที่คนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา “ท่านปู่ทวดเล่าให้รุจฟังต่อสิครับ” เด็กน้อยเว้าวอนถามทว่าท่านปู่กลับทำเพียงส่งรอยยิ้มจาง ๆ แล้วลูบเรือนผมนุ่มอย่างเอ็นดู
ฝ่ามือแกร่งลูบโต๊ะทำงานที่เคยนั่งเล่นกับท่านปู่ ‘ข้าก็ไม่ต่างจากคนเห็นแก่ตัว เพราะข้ากลายเป็นคนอำมหิตเลือดเย็นผู้นั้นเสียแล้ว...ท่านปู่’ จิรัฐิติกาลพึมพำเบา ๆ ทว่าเขาทราบดี อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้ ‘เพื่อความรักของเราเพื่อเจ้า สุชัจจ์ชล’
จิรัฐิติกาลหยิบผ้าคลุมผืนโปรดที่คนรักเป็นผู้ถักทอให้มาสวม ก่อนจะเดินทางผ่านประตูลับที่คนในตระกูลทราบกันดีว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่ ‘ร้านกาลเวลา’ ทางเดินเส้นนี้มีเพียงคนในตระกูลไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบเส้นทางสายนี้ หากมองเผิน ๆ ไม่แตกต่างจากร้านขายของสะสมทั่วไป แท้จริงแล้ว ‘ร้านกาลเวลา’ มีหลายสิ่งที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ และยังใช้ช่องว่างแห่งกฎเกณฑ์กาลเวลาเหล่านั้นเพื่อรักษาสมดุลแห่งห้วงมิติ
ฝ่ามือหนาผลักประตูเข้าไปความยะเยือกพร้อมกับเสียงกระพรวนดังใส อันเป็นเอกลักษณ์ของร้านกาลเวลาก็ดังขึ้น จิรัฐิติกาลเดินเข้าไปยังด้านในสุดโถงทางเดินของร้าน ซึ่งเป็นห้องเก็บน้ำยาพิเศษที่มีผลลัพธ์พิสดารพันลึก ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาแปลงกายในชั่วเวลาอันสั้น น้ำยาทำให้หลงใหล น้ำยาเปลี่ยนเสียง
สายตาของเขาปราดตาหาน้ำยาอมฤตรสซึ่งเป็นที่สุดของน้ำยานอกจากสมานแผลให้หายไวทันใจ กระตุ้นชีพจรสุดท้ายของคนที่ใกล้ตาย ยังช่วยให้ผู้ที่ใช้มีดวงจิตที่แข็งแกร่งมากกว่าผู้อื่น แต่ผลข้างเคียงของยานี้ทำให้ผู้ที่ใช้ถูกลบเลือนความทรงจำไปจนเกือบหมดโดย 1 หยดจะสูญเสียความทรงจำของคนที่เคยผูกพันมากที่สุดไปในช่วงเวลา 3 ปีของโลกมนุษย์
“ท่านรุจ หาสิ่งใดอยู่ขอรับ”
“น้ำยาอมฤตรส” เขาเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักใจ
“ตะ แต่...น้ำยาอมฤตรสเป็นของต้องห้าม ทั้งยังเป็นน้ำยาที่มีอานุภาพทรงพลังมากเลยนะขอรับ” ญามานเป็นคนเก่าแก่ที่ดูแลร้านกาลเวลามานานแสนนานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“อาจจำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาชีวิต...” พอเอ่ยมาถึงตรงนี้จิรัฐิติกาลก็ชะงักงั้นแล้วถอนหายใจยาว
“หากท่านรุจต้องการรักษาบาดแผลเป็นน้ำยาอัมรสน่าจะเหมาะกว่านะขอรับ เพียงสามหยดบาดแผลก็จะสมานได้เร็วขึ้น”
“แต่มันไม่สามารถสมานรอยร้าวของดวงวิญญาณได้ใช่ไหมท่านญามาน”
“เออ...” น้ำยาทั้งสองขวดที่อยู่ในมือของผู้ดูแลร้านถูกกำเอาไว้แน่น
“หากผู้นั้นได้รับยานี้จักสูญพลังเวทย์ไป 3 ส่วนเชียวนะขอรับ ญามานว่ามันไม่คุ้ม...”
“พวกนั้นก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา” เสียงของทายาทนิรมิตรัตติกาลพึมพำแผ่วเบา ทว่าก็ดังพอให้คนตรงหน้าตระหนกตกใจ
“นั่นยิ่งไม่ได้เลยนะขอรับ 1 หยดจะสูญเสียความทรงจำไป 3 ปี ทั้งยังทำให้สติ จิตใจ และโชคชะตาบิดเบี้ยวได้เลยนะขอรับ”
เมื่อจิรัฐิติกาลได้ยินเช่นนั้นก็หยุดคิดเพียงครู่ แล้วยื่นฝ่ามือขาวซีดออกไปกระชากขวดสีน้ำตาลที่บรรจุน้ำยาอมฤตรสเอาไว้ “เดี๋ยวเหลือจะเอามาคืน”
เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้เป็นการเห็นแก่ตัว แต่นี่ก็ถือเป็นความปรานีอย่างเหลือล้นที่คนผู้นั้นจะได้รับหยดน้ำยาอมฤตรสนอกจากสมานบาดแผลแล้วยังเสริมให้ดวงจิตแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น หลังจากนั้นก็เดินมายังหน้าเคาท์เตอร์ญามานประทับฝ่ามือลงบนลูกแก้วสีใสที่กำลังเปล่งรัศมีสีทองสลับน้ำเงิน
“ท่านรุจมั่นใจแล้วจริง ๆ ใช่ไหมขอรับ” ญามานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล สายตายังคงจับจ้องไปที่ฝ่ามือของจิรัฐิติกาลที่กำลังจะใช้กริชอาบเลือดแห่งตระกูลนิรมิตรัติกาล
“อื้ม...”
“หากท่านรุจต้องการเลือกช่องมิติเวลาอื่น บังคับให้ร้านไปอยู่ในเวลาที่ไม่ถูกต้องนายน้อยจะต้องถูกกักขังอยู่ร้านแห่งนี้ยาวนานถึง 50 ปีเชียวนะขอรับ”
“อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องกลับมารับโทษทัณฑ์ถูกผนึกอยู่ที่นี่ 500 ปี จะเพิ่มอีกสัก 50 ปีก็ไม่เห็นจักเป็นไร”
นายน้อยแห่งตระกูลเอ่ยติดขบขัน ทว่าคนเก่าแก่ที่ซื่อสัตย์อย่างญามานกลับไม่สนุกกับสิ่งที่คนตรงหน้าตัดสินใจ เมื่อใดที่เลือดของจิรัฐิติกาลให้หยดลงลูกแก้วห้วงนิรมิตแล้ว เป็นที่แจ้งแก่ใจดีว่าคนผู้นั้นจักต้องเป็นผู้ดูแล ‘ร้านกาลเวลา’ แห่งนี้ตราบจนกว่ามีผู้ใดมาเป็นตัวตายตัวแทน
จิรัฐิติกาลระบายรอยยิ้มขมขื่นสายตาจับจ้องที่แหวนเงินซึ่งเป็นเกลียวเถาวัลย์ แล้วกริชอันคมกริบก็เฉือนเข้าฝ่ามือ เลือดแดงฉานไหลทะลักอาบลูกแก้วห้วงนิรมิตก่อนที่ภายในร้านจะมีความสั่นไหวเบา ๆ เขาสูดหายใจเข้าพยายามสงบจิตใจให้นิ่งอย่างที่สุด แม้ลึก ๆ จะหวาดหวั่นทว่ารอยยิ้มของชายอันเป็นที่รักส่งให้เขามีความกล้าที่จะแลกทุกอย่าง เดิมพันด้วยชีวิตขอเพียงท่านพ่อปล่อยเราทั้งสองคนเป็นอิสระ
“ร้านนี้จะไปโผล่ที่ใดกัน”
แสงสีทองที่ส่องสกาวดับวูบลงพร้อมกับความสงบที่กลับคืนมายังร้านกาลเวลา จู่ ๆ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ดังแว่วหวามขึ้นทั้งที่ไม่มีผู้ใดเปิด เสียงที่ขับกล่อมออกมาส่งให้รู้สึกไม่คุ้นเคย
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระพรวนหน้าประตูอันเป็นสัญญาณของแขกผู้มาเยือน ที่นี่...เป็นเช่นนี้เสมอที่ร้านเคลื่อนไปยังห้วงเวลาใหม่ตามช่องว่างแห่งมิติเพื่อเสาะแสวงหาผู้ที่เป็นลูกค้าคนพิเศษ
“มีใครอยู่ไหมครับ”
แขกผู้มาเยือนชะโงกศีรษะเข้ามาในร้าน มือทั้งสองข้างกำลังหุบร่มสีแดงสดแล้วพิงไว้ยังหน้าร้าน เขากระชับเสื้อโค้ตสีดำตัวยาวตรงเข้ามาด้านในทั้งทีสายตายังคงจับจ้องยังชั้นหนังสือโบราณ ขณะที่ญามานระบายรอยยิ้มสุขุมค้อมศีรษะเล็กน้อยให้จิรัฐิติกาลแล้วยืนประจำที่หน้าเคาท์เตอร์ไม้โอ้คสีน้ำตาลเข้ม
“ผมอยู่แถวนี้มานาน ไม่เคยเห็นร้านนี้เลย” สายตาของแขกพิเศษจับจ้องไปทั่ว ๆ ถอนหายใจแล้วทำทีท่าราวกับจะเดินออกไปจากร้าน
“คุณผู้ชายต้องการสิ่งใดหรือครับ ที่ร้านเราอาจช่วยคุณได้” เสียงที่แหบพร่าเย็นเยียบของญามานทำให้คนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ไม่มีใครให้สิ่งที่ผมต้องการได้หรอก”
“แล้วคุณต้องการสิ่งใดหรือขอรับ”
“อำนาจ เงินทอง และความคุ้มครอง...” เขาเอ่ยด้วยนัยน์ตาเศร้าราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบอย่างไรอย่างนั้น
ญามานชำเลืองสายตาไปทางจิรัฐิติกาลเล็กน้อยก่อนจะตรงไปหาแขกคนพิเศษ
“ไม่มีอะไรที่ร้านกาลเวลาแห่งนี้ไม่มี ทว่าทุกอย่างในโลกหล้าล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย”
“ถ้าผมมีเงินมีอำนาจมากเพียงพอ ครอบครัวของผมก็จะรอด”
“คุณผู้ชายคิดว่าเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่มีอะไรที่อำนาจและเงินซื้อไม่ได้”
“ครอบครัวของท่าน...อาจแค่ต้องการตัวท่านมากกว่า”
สายตาของแขกคนพิเศษดูวูบไหว แต่แล้วก็ยังยืนยันเช่นเดิม เขาต้องการ อำนาจ เงินทองและความคุ้มครอง ญามานเดินตรงไปที่ตู้กระจกแล้วเอื้อมหยิบกล่องไม้แกะสลักใบหนึ่งส่งให้แขกคนพิเศษ เขารับมันไว้ในมืออย่างสงสัยแล้วเปิดกล่องออกปรากฏทับทิมสีแดงก่ำ
“ผมไม่เห็นจะเข้าใจว่าทับทิมเม็ดนี้จะช่วยอะไรผมได้” เขาทำทีราวกับจะยื่นมันกลับคืน แต่แล้วจิรัฐิติกาลที่ทราบดีว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ทับทิมธรรมดา ทว่านั่นคือ ‘ทับทิมโลหิต’
“แล้วผมต้องจ่ายด้วยอะไร”
“ด้วยชีวิตและความทรงจำของคุณยังไงล่ะ”
“พวกคุณพูดบ้าอะไร” แขกคนพิเศษหน้าถอดสีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ญามานเอ่ยเสริม “สิ่งนี้เรียกว่าทับทิมโลหิต เป็นหินที่มีจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าสถิตอยู่ ทว่าตอนนี้มันยังหลับใหล หากหยาดเลือดเพียง 3 หยดพร้อมกับหลอมรวมกับโลหิตของผู้สืบทอดร้านกาลเวลาเพียงหยดหนึ่ง คุณจะได้ทั้งเงิน อำนาจมากเท่าที่คุณต้องการ”
“ถึงผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดแต่ชีวิตผมมันก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก”
“คุณเลือกได้” จิรัฐิติกาลเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
“แล้ว...จ่ายด้วยชีวิตและความทรงจำของผม...คือยังไง”
“จวบจนถึงวันนั้น คุณจะรู้เอง” ว่าที่ผู้สืบทอดร้านกาลเวลาเอ่ยด้วยสายตาแฝงไปด้วยความหวัง
“ทีนี้ ก็เหลือแต่คุณลูกค้าแล้วขอรับ ว่าจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่” ญามานเอ่ยพร้อมกับนำเข็มหมุดวาววับขึ้นมาถือไว้ในมือ แขกคนพิเศษขมวดคิ้วราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ถ้ามันจะทำให้ลูกและครอบครัวของผมปลอดภัย ไม่ว่าอะไรก็ยอม”
“คนส่วนใหญ่ล้วนแต่ทำเพื่อความต้องการของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก ลูกค้าที่ร้านกาลเวลาแห่งนี้ย่างก้าวเข้ามาต้องการบางอย่างที่แรงกล้า แน่นอนว่าร้านของเราคือคำตอบที่คุณตามหาแน่นอน” ญามานเอ่ยอย่างผู้เห็นโลกนี้มาเยอะ ลูกค้าหลายคนที่เข้ามายังร้านแห่งนี้ล้วนแล้วทำเพื่อตัวเอง ‘เขาก็เช่นกัน’
เข็มหมุดปลายแหลมวาววับสะกิดลงบนนิ้วหนึ่งของแขกคนพิเศษและจิรัฐิติกาลผู้เป็นทายาทแห่งนิรมิตรัตติกาล ทั้งยังเป็นว่าที่ผู้สืบทอดร้านกาลเวลา หยาดเลือดสีแดงฉานซึมไหลเข้าทับทิมโลหิตอย่างรวดเร็วพร้อมปรากฏลำแสงสีขาวสว่างวาบเรืองรอง
“ทับทิมสีเลือดตอบรับคำขอของคุณแล้ว” ญามานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัว
“หลังจากนี้สิ่งที่คุณต้องการจะถาโถมเข้ามาจนคุณแทบรับมันไม่ไหวเลยหล่ะ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยเสียงยะเยือกแล้วส่งแขกคนพิเศษยังหน้าประตู
“ทำไมถึงต้องเป็นมนุษย์ผู้นี้” จิรัฐิติกาลเอ่ยถามด้วยสายตาว่างเปล่า
“กระผมเป็นเพียงผู้ดูแลร้านกาลเวลา มิสามารถตอบได้ดีเท่าท่านรุจหรอกขอรับ”
“เมื่อครู่ข้าเห็นภาพคนผู้นั้นกับครอบครัวของเขา”
“นั่นเรียกว่า โสตนิมิต เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของผู้ดูแลร้านกาลเวลา” ญามานเอ่ยด้วยสายตายียวน “เฮ้อ...เกือบเก้าร้อยปีเนิ่นนานเต็มทน เห็นทีว่าครานี้ข้าน้อยคงได้พักแล้วกระมัง”
ผ้าคลุมสีดำถูกสวมเอาไว้พร้อมกับกระชับสายแล้วมันไว้แน่น ลูกแก้วสัจธรรมพร้อมกับกริชประจำตระกูลที่อยู่ในมือสั่นเทาเพียงน้อย ทว่าจิรัฐิติกาลพยายามสะกดอารมณ์ที่หลากหลายนั้นเอาไว้ เขาสบตากับญามานแล้วพยักหน้ารับเบา ๆ
“มรกตแมลงทับนี้จักเป็นเครื่องรางนำทางท่านรุจไปหาชายผู้ที่ทำพันธะเลือดเอาไว้ ญามานขอให้นายน้อยสมดังปรารถนา”
จิรัฐิติกาลย่างกรายออกมาจากหน้าประตูร้านกาลเวลาผ่านหมอกหนาทึบสีเทาพร้อมกับแสงทองเรืองรองที่เปล่งประกายออกมาจากมรกตแมลงทับ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นครอบครัวหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บริเวณเชิงเขา กลิ่นเผาไหม้จากเครื่องยนต์ ผสานกลิ่นน้ำมันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังกระเสือกกระสนออกจากรถ ส่วนออกคนที่ใบหน้าละม้ายกันร่างกระเด็นอยู่ข้างทาง เขาเงื้อมกริชแห่งนิรมิตรัตติกาล ปักกริชลงที่อกด้านซ้ายของเด็กชายอย่างไม่ลังเลใจ หยาดเลือดแดงฉานลงลูกแก้วสัจธรรมแล้วรีบนำน้ำยาอมฤตรสหยดลงบนแผลตำแหน่งหัวใจในทันที
หยดแรกแทนที่จะสมานได้คาดคิด ทว่าเด็กน้อยผู้นั้นกลับกระอักเลือดออกมา นัยน์ตาเหม่อลอย เปลือกตาขยับด้วยความยากลำบาก
“พะ พี่ชายฮะ ช่วยผมด้วย” จิรัฐิติกาลรีบหยาดน้ำยาอมฤตรสเข้าริมฝีปากซีดเผือดอีกหลายหยดเพื่อรั้งชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ เมื่อเห็นว่าอาการดีขึ้นราวกับร่ายเวทมนตร์ เขาจึงเดินไปยังเด็กที่หน้าคล้ายกันอีกคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก สายตาของเขาจับจ้องมองเด็กชายผู้นั้นด้วยความรู้สึกแปลกออกไปจากเดิม จิรัฐิติกาลสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกที่ว้าวุ่นหวนระลึกถึงดวงหน้าอ่อนโยน รอยยิ้มที่ทำให้เขาพร้อมละทิ้งทุกอย่าง และอ้อมกอดอุ่นของสุชัจจ์ชน ส่งให้พลันชักกริชขึ้นมาแล้วแทงเข้าขั้วหัวใจของเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเบามือ หยาดเลือดลงบนลูกแก้วสัจธรรม ก่อนจะหยดน้ำยาอมฤตรสลงบาดแผล 2 หยด บาดแผลบริเวณอกด้านซ้ายรวมถึงส่วนอื่น พลันหายในทันทีราวกับปาฏิหาริย์ เขาทำเช่นเดียวกันกับผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าของตัวรถซึ่งคาดว่าจะเป็นมารดาของเด็กทั้งสอง กระทั่งมาถึงมนุษย์ผู้ที่มีลักษณะตรงตามที่ลูกแก้วสัจธรรมต้องการคนสุดท้าย
“นี่ จะทำอะไร” ชายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“ข้ามาตามพันธสัญญาแห่งเลือดที่เจ้าได้ตกลงไว้”
“จะฆ่าผมกับลูกเหรอ อย่านะ”
“ไม่ ข้าไม่ทำเช่นนั้น” จิรัฐิติกาลง้างกริชขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่เย็นชาไร้ความรู้สึก “ข้าแค่ขอเลือดเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น” เอ่ยจบปลายกริชคมบาดลึกเข้าขั้วหัวใจทั้งที่คนถูกกระทำยังรู้สึกตัว ทว่าแรงกระแทกจากอุบัติเหตุทำให้เขาไม่สามารถหลีกหนีได้ เมื่อเลือดหยาดสุดท้ายซึมเข้าสู่ลูกแก้วสัจธรรม เขามองหน้าชายผู้ลุ่มหลงมัวเมาในยศตำแหน่งและอำนาจ จึงเปลี่ยนไปใช้น้ำยาอัมรสหยาดลงบาดแผลแทน แม้ร่างกายภายนอกจะสมานได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ ทว่าหัวใจที่ถูกกริชแห่งนิรมิตรัตติกาลปักลงไปแล้วไซร้ หากไม่ได้รับน้ำยาอมฤตรสรักษาแก่นวิญญาณ มนุษย์ผู้นี้จักต้องทนทรมานต่อความเจ็บปวดตลอดชั่วกัลปาวสาน...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?