เพล้ง !!!
เสียงวัตถุตกกระทบพื้นเสียงใสดังกังวานส่งให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา เขาขมวดคิ้วยุ่งกะพริบเปลือกตาถี่ไล่ความง่วงงุนออกไปก่อนจะพยายามหรี่ตามองรอบข้างอย่างมึนงง
‘ใช่แล้ว นี่มันรีสอร์ต ม่านฟ้าทะเลดาว ไม่ผิดแน่’
ความรู้สึกสุดท้ายของสายชลรำลึกได้ว่าตนกับไทม์ตั้งใจขับรถมาเที่ยวที่หัวหิน เมื่อวานทั้งสองคนยังนั่งชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ก่อนจะขอยืมจักรยานของรีสอร์ตเพื่อไปย้อนรอยความหลัง สายชลคิดเช่นนั้นรอยยิ้มหวานก็ผุดพรายบนดวงหน้าเมื่อเด็กหนุ่มนึกถึงคำบอกรักหวานหู พร้อมกับรสจูบนุ่มนวลทว่าร้อนแรงและหนักแน่นยังคงติดตรึงราวกับผละออกจากกันเพียงไม่นาน
แสงดวงตะวันเรืองรองสาดเข้ามาทางช่องประตูที่ไม่ได้เปิดกว้างมากนัก เวลาเดียวกันกลุ่มก้อนเงาสีดำขลับมุ่งเป้าเดินตรงมายังสายชลที่นอนอยู่บนที่นอน ทั้งที่สิ่งที่กำลังย่างกรายเข้ามาคุ้นตานักแต่รูปเงาที่เขาเห็นนั้นกลับดูแตกต่างออกไป วูบหนึ่งสายชลรับรู้ถึงแรงกดดันและความรู้สึกแปลกประหลาดพวยพุ่งเข้ามาเล่นงานเขาเข้าอย่างจัง กลุ่มเงาดำมืดนั้นค่อย ๆ ขยายใหญ่ราวกับร่างคนทว่าหากนั่นกลับไม่ใช่คน สายชลขมวดคิ้วแน่นแล้วเพ่งสายตาพร้อมกับใช้หลังมือขยี้ดวงตาคู่สวยเพื่อปรับรับกับแสงนั้น
เมี้ยว !!!
“จีโน่ ? นี่แกเหรอจีโน่” สายชลขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัยพลางเรียกชื่อ ‘เจ้าจีโน่’ แมวเปอร์เซียขนปุยสีดำที่เดินหน้าเหวี่ยงตรงมาหาเจ้าของตน
‘ผมขยี้ตาแรง ๆ อีกทีขณะที่เจ้าจีโน่กระโดดขึ้นมาบนตัวของผม เมื่อกี้มันเงาอะไรกัน ทำไมผมเห็นจีโน่มีเงาเป็นคนผู้ชาย นี่ผมนอนน้อยไปเหรอ ? หรือฝันค้าง ไม่สิ สิ่งที่เห็นเมื่อกี้มันอะไรกัน’
ขณะที่สายชลจ้องหน้าเจ้าจีโน่พลางประมวลเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่นั้น สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเรื่องรูปเงาประหลาดนั่นคือ ‘จีโน่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วพี่ไทม์หายไปไหน ?’ ทว่าเรื่องวุ่นวายเช้านี้ยังไม่จบเท่านั้น
เมี้ยว !!!
เจ้าแมวหน้าเหวี่ยงสบตาสายชลพร้อมกับร้องด้วยสีหน้าไม่ค่อยสำนึกผิดเท่าไร
“นี่แก ทำมันแตกเหรอ” สายชลเอ่ยเสียงอ่อนราวกับวิญญาณได้แตกสลายตามเศษแก้วเหล่านั้นไป
‘ผมไม่อาจอธิบายความรู้สึกนี้ว่าเป็นอย่างไร กล่องดนตรีที่เป็นเสมือนกุญแจเพียงดอกเดียวที่ผมใช้มันข้ามเวลาแตกละเอียดอยู่ข้างเตียง ทั้งที่ผมทำใจมาตลอดว่าการเดินทางของผมอาจสิ้นสุดลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ไม่คิดว่าจีโน่จะเป็นตัวการทำให้ของสำคัญเพียงชิ้นเดียวของผมต้องมาอยู่ในสภาพนี้...’
เด็กหนุ่มลงจากเตียงอย่างระมัดระวังแล้วก้มลงเก็บตุ๊กตากระต่ายคู่ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในโดมใสบนกล่องดนตรี บัดนี้แตกหักยากที่จะกลับไปเหมือนเก่า คงเหลือไว้เพียงแต่ความทรงจำมากมายที่ยังตรึงอยู่ในใจ ขณะที่กำลังเสียใจกับกล่องดนตรีอยู่นั้น สายชลได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกประตู และเสียงนั่นก็แสนจะคุ้นหู... คุ้นใจเสียเหลือเกิน
“น้องสายชล เป็นอะไรหรือเปล่า พี่เข้าไปนะ”
ชายหนุ่มเปิดประตูพรวดรุดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก โผลงโอบสายชลที่กำลังทรุดนั่งอยู่กับเศษกล่องดนตรีที่แตกเป็นเสี่ยงอยู่บนพื้นข้างเตียง โดยมีแมวอ้วนขนปุกปุยสีดำนั่งเลียขนอย่างสบายใจอยู่ไม่ห่างกันนัก
“ทำอะไรอยู่น่ะครับ เดี๋ยวพี่เก็บให้... ระวังเศษแก้วบาดมือ ลุกขึ้นมาก่อน” ไทม์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ฝ่ามืออบอุ่นประคองร่างน้องขึ้นมานั่งบนเตียงก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบถังขยะภายในห้องเพื่อตั้งใจเก็บเศษกล่องดนตรีที่แตกนั้นก่อนที่สายชลจะเหยียบเอาได้
“พี่ไทม์ครับ ผมจะเก็บเศษพวกนี้ไว้” สายชลไม่พูดเปล่า เขาหันไปหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะข้างหัวเตียงหมายจะให้ชายหนุ่มใช้ห่อเศษซากเหล่านั้นไว้
“น้องสายชลรู้ไหมว่า โบราณเขาถือว่าของที่แตกหักไปแล้ว เราไม่ควรเก็บไว้นะ... มันจะเป็นลางร้าย”
แม้รัตติกาลอยากตามใจคนเด็กกว่าก็จริงแต่เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่า การที่เก็บเศษแก้วและเรซิ่นแตกเหล่านี้ไว้กับตัวจะเป็นลางร้ายเหมือนกับที่ปู่ทวดเคยบอกหรือไม่
“ละ… ลางร้ายเหรอฮะ” สายชลพึมพำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าไร้สีเลือดฝาด เมื่อเด็กหนุ่มหวนนึกถึงชะตากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับเขาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ความหวั่นกลัวก็เริ่มโจมตีเล่นงานสายชลอีกครั้ง
“ครับ ปู่ทวดพี่เคยเล่าว่าการเก็บของที่แตกหักจะทำให้ชีวิตรักแตกแยก”
“อาฮะ ว่าแต่วันนี้พี่ไทม์คุยกับน้องแปลก ๆ ไปนะ” สายชลฟังที่ไทม์เล่าก็ยอมตัดใจปล่อยให้เขาเก็บของที่แตกทุกอย่างลงถังขยะอย่างอาลัยอาวรณ์ ฝ่ามือเรียวบางเอื้อมไปอุ้มเจ้าจีโน่มานั่งที่ตักเพื่อให้ไออุ่นของแมวสุดรักช่วยบรรเทาความโหวงเหวงใจ แต่อย่างว่า... จีโน่ก็คือจีโน่
ง่าว !!!
จีโน่แผดเสียงดังลั่นพร้อมทั้งกางอุ้งมือมังคุดที่ซ่อนเล็บอันแหลมคมแจกยันต์ห้าแถวแก่สายชลอย่างไม่ปรานี
“โอ๊ย... จีโน่ ข่วนพี่ทำไม”
นอกจากเจ้าจีโน่จะไม่ฟังคำต่อว่าของสายชลแล้ว หนำซ้ำมันยังกระโดดเหยียบหัวไทม์อย่างไม่สนใจว่านั่นเป็นหัวของรองประธานบริษัทใหญ่ ใช่สิ ! จีโน่ก็เป็นแค่แมว ‘นี่สินะ ที่เขาว่ากันว่าแมวใหญ่ที่สุดในโลก หรือมันกำลังหาวิธีครองโลกกันอยู่นะ’
เมื่อสายชลคิดเช่นนั้นก็อดที่จะอมยิ้มคนเดียวไม่ได้ ทว่าสายตาร้ายกาจของไทม์ที่จ้องราวกับจะจับผิด จึงทำให้เขาต้องขยับตัวเล็กน้อย ดึงหน้าเพื่อให้ตัวเองเป็นปกติที่สุดอีกสักหน่อย แล้วรวบรวมความกล้าสู้ตาไทม์อย่างตรง ๆ ‘ทำไมวันนี้ท่าทางพี่ไทม์ดูแปลกไป ไม่เหมือนพี่ไทม์ที่รู้จักเลย’
รัตติกาลรีบหลุบตาลงต่ำพร้อมกับใช้ทิชชูกวาดเศษแก้วที่เหลือราวกับไม่กล้าสู้ตาของสายชล “ว่าแต่... ทำไมน้องสายชลไม่ตอบไลน์พี่เลยครับ รู้ไหมพี่เป็นห่วงน้องมากแค่ไหน เมื่อวานจู่ ๆ น้องก็ปวดหัวหน้าซีดยิ่งกว่าไก่ไหว้เจ้า พอดีพี่พักบังกะโลห้องข้าง ๆ มองมาเห็นประตูเปิดอยู่แล้วได้ยินเหมือนเสียงของแตกก็เลยรีบวิ่งเข้ามา” ไทม์พูดเสียงอ่อน
เด็กหนุ่มขมวดหัวคิ้วแน่น ‘ในเมื่อเราอยู่ด้วยกันทั้งคืนแล้วพี่ไทม์จะไลน์มาหาอีกทำไมกัน’ แม้สายชลจะไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าไทม์เป็นห่วงตนจริงเฉกเช่นคำที่บอก
“ดะ… เดี๋ยวนะครับ พี่ไทม์พูดอะไรยืดยาวผมไม่เข้าใจ” ยิ่งคิดว่าไทม์ห่วงเขามากเท่าไร ความเป็นตัวของตัวเองก็หายวับไปทุกที
“อะไรกัน เมื่อวานตอนเย็นเล่นชิงช้ากันอยู่ดี ๆ น้องสายชลก็ปวดหัวพี่ประคองน้องมานั่งตรงล็อบบี้ แล้วพี่ชายหน้ายักษ์ของน้องก็พามาเนี่ย” ไทม์เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่สายชลจำได้ว่าเกิดขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะข้ามเวลาไปอนาคตครั้งสุดท้าย
‘แสดงว่านี่ผมกลับมาห้วงเวลาปัจจุบันที่จากมาแล้วสินะ ครั้งนี้ผมใช้เวลาอยู่อนาคตตั้ง 3 เดือนกว่า แต่จากที่พี่ไทม์เล่าผมหายจากที่นี่ไปแค่คืนเดียวเองหรอกเหรอ ?’
“น้องสายชล คิดอะไรอยู่เหม่ออีกแล้วนะครับ”
เสียงของรัตติกาลส่งให้สายชลหลุดออกจากห้วงความคิด เด็กหนุ่มลูบท้ายทอยแก้เก้อก่อนถามชายคนรักอีกครั้งเพื่อตอกย้ำความคิด แท้ที่จริงแล้ว เขาอยู่ช่วงเวลาใดกันแน่ ?
“เมื่อวานผมกับพี่ไทม์ไม่ได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วปั่นจักรยานไปตลาดโต้รุ่งด้วยกันหรือครับ ?”
รัตติกาลช้อนตามองคนเด็กกว่าพร้อมกับกอดอกกระตุกยิ้มกว้างแบบภูมิใจ
“พี่ก็พอรู้ว่าน้องสายชลมีใจให้พี่... แต่ก็ไม่คิดว่าจะเก็บเอาพี่ไปฝันเป็นตุเป็นตะแบบนี้ ถ้าอยากเดทกับพี่ขอดี ๆ เอาแบบนี้ก็ได้... วันนี้ทั้งวันพี่อาจพอมีเวลาให้นะ”
‘เดี๋ยวก่อนนะ ท่าทางแบบนี้ ดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มกับสายตากวนประสาท พร้อมสกิลความมั่นหน้ามั่นใจแบบนี้ หรือว่าผมกลับมาห้วงเวลาปัจจุบันของผมแล้ว’
“ว่าแต่พี่ชายแฝดหน้ายักษ์ของน้องสายชลไปไหนซะล่ะ” ไทม์เก็บเศษแก้วเรียบร้อยก่อนจะทิ้งตัวลงทั้งที่โซฟาตรงข้ามเตียงนอน พลางส่งสายตาพราวระยับมองสายชลด้วยความกรุ้มกริ่มระคนยียวน
“ชลก็ไม่แน่ใจเหมือนกันฮะ”
“นี่ก็เกือบ 7 โมงแล้ว งั้นเราไปกินมื้อเช้ากันดีกว่า”
ทั้งที่เด็กหนุ่มเคยถูกไทม์สัมผัสมามากกว่านี้ ทั้งที่เคยลึกซึ้งกันจนฟ้าสาง แต่เพียงฝ่ามือหนาอบอุ่นที่กุมมือ กับสายตาที่มองมาแค่ที่เขาคนเดียวแบบนั้น ส่งให้สายชลใจเต้นรัวแรง พวงแก้มใสค่อย ๆ แดงระเรื่อ
“พี่ไทม์ไปกินก่อนเลยก็ได้ครับ ผมยัง...”
“อ้อ ยังไม่ได้อาบน้ำสินะ งั้นเดี๋ยวพี่นั่งเปลญวนหน้าห้องรอแล้วกันนะ”
สายชลฟังคำที่คนแก่กว่าตอบโต้อย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะรีบปฏิเสธอย่างอ้อม ๆ ถึงเขาจะรักไทม์มากแค่ไหน แต่เวลานี้สายชลอยากนอนพักมากกว่าจะรีบออกไปกินข้าวเช้าตอน 7 โมง
“เอ่อ ผมจะบอกว่ายังไม่หิว”
“รีบออกมาด้วยล่ะ เจ้ากระต่ายแคระ” ไทม์พูดพลางดันหลังสายชลไปยังห้องน้ำพร้อมกับโยนผ้าขนหนูให้ แล้วเขาก็เดินออกไปนั่งเปลญวนอย่างที่เขาพูดจริง ๆ และที่สำคัญเขาทำอย่างกับเขาเป็นเจ้าของห้องนี้ ‘นี่เราสนิทกันขนาดนั้นแล้วเหรอ ?’
ขณะที่สายชลอาบน้ำอยู่นั้นความคิดก็ตีกันวุ่น ทุกครั้งที่เขาข้ามห้วงเวลาไปหรือกลับทีไร มันก็ไม่มีอะไรเป็นตัวบอกว่าเขาอยู่ในห้วงเวลาไหนจนกว่าเด็กหนุ่มจะรู้ได้ด้วยตัวเอง สายชลยืนอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมองดูหน้าตัวเองที่เป็นตัวตนของเขาอย่างแท้จริง
‘นี่แหละคือผม ไอ้สายชลวัย 19 ยังหนุ่มยังแน่น ผิวหน้ายังเด้งเต่งตึง อีกเดือนกว่า ๆ จะเปิดเทอมเป็นเด็กมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็เท่ากับว่าตัวผมยิ่งก้าวเข้าใกล้ความตายไปทุกที ใครมันจะไปคิดว่ากว่าจะได้โควตามหาวิทยาลัยในฝันมาอย่างยากลำบาก แต่ต้องมาตกชะตาที่ต้องตายอย่างน่าเวทนาแบบนั้น ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอกนะ ในเมื่อเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างการที่ผมข้ามเวลายังเป็นจริงได้ แล้วทำไมผมจะหลีกหนีชะตากรรมของผมไม่ได้ อย่างที่พี่ดรีมกับพี่สายฟ้าบอกกับผมก่อนหน้านี้ ต้องมีเหตุผลบางอย่างที่จู่ ๆ ผมก็สามารถข้ามเวลาไปอนาคตเพื่อรู้ชะตากรรมตัวเอง แน่นอนว่าเหตุผลนั้นก็คงหนีไม่พ้นการที่ให้ผมต้องกลับมาทำภารกิจหรือไม่ก็แก้ไขอะไรบางอย่างให้มันถูกต้อง แม้มันจะดูเพ้อเจ้อไปสักหน่อย แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผมผ่านมาทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ก่อนหน้านี้ผมยอมรับว่าผมขี้ขลาดและหวาดกลัวสิ่งที่ต้องเกิด หากเป็นไปตามอนาคตที่ผมเห็นมาก่อนหน้านี้ วันที่ 20 สิงหาคมนี้ คือวันที่ผมต้องตาย อย่างน้อย ๆ ผมก็จะไม่ยอมจากไปทั้งที่ไม่ได้พยายามแน่นอน’ สายชลตกอยู่ในห้วงความคิด
“ทำไมนานจังเลย”
ขณะที่สายชลกำลังแต่งตัวอยู่นั้น ไทม์ก็เดินอาด ๆ ตีหน้าซื่อเข้ามาซ้อนด้านหลังพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่อยู่ในมือ เขาสบตาคนที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ ผ่านกระจกเงา กลิ่นหอมอ่อนของสบู่เด็กจากสายชลทำเอาชายหนุ่มอมยิ้มกริ่ม
“พี่ไทม์ ยิ้มอะไร”
“เปล่า... ใครยิ้ม ไม่มี !!! หน้าพี่มันก็หล่อแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เขาตอบเสียงสูงชนิดที่ว่าฟังจากกรุงเทพฯ ก็รู้ว่าเขาโกหก
“แต่พี่เสียงสูง แถมยังพูดยืดยาวด้วย”
“ทำให้แล้วยังพูดมากอีก เจ้าเด็กแคระนั่งเฉย ๆ เถอะน่า” ไทม์ไม่พูดเปล่าทั้งยังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้สายชลอย่างอ่อนโยน
“พี่ไม่ต้องทำให้ผมก็ได้นะ”
ไทม์จ้องตาสายชลผ่านกระจกเงาด้วยสีหน้าร้ายกาจ พร้อมจิ๊ปากอย่างคนหัวเสีย ขณะที่มือเขายังคงทำหน้าที่เช็ดผมให้คนเด็กกว่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“งั้นก็... ขอบคุณนะครับ” ถึงสายชลบอกปัดความช่วยเหลือของไทม์ แต่ตัวเขารู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้นั้นมันทำให้หัวใจของเขาพองโตและรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด
‘ตกหลุมรักคนเดิมซ้ำ ๆ ผมตกหลุมรักผู้ชายปากร้าย’
‘ผมกับพี่ไทม์เดินมายังส่วนด้านหน้าของรีสอร์ต ม่านฟ้า ทะเลดาว ส่วนพี่ไทม์เดินมุ่งหน้าไปยังส่วนที่จัดอาหารเช้าสำหรับแขกที่มาเข้าพัก พนักงานทุกคนรวมถึงพี่อาร์ตที่ประจำอยู่หน้าล็อบบี้กะเช้าเอ่ยทักผมตามปกติ โชคยังดีที่พี่ไทม์มัวแต่ง่วนอยู่กับการสำรวจมื้อเช้า แต่ก็ดีแล้วละ ! ผมยังไม่อยากตอบคำถามเขาตอนนี้หรอกนะ...’
สายชลเดินไปนั่งรอที่โต๊ะประจำของตนเองซึ่งเป็นด้านนอกริมสุด และยังเป็นมุมที่ส่วนตัวสามารถนั่งชมวิวทะเลได้อย่างเต็มที่
“น้องสายชลเลือกมุมได้ถูกใจพี่จริง ๆ” ไทม์พูดเสียงนุ่มทุ้ม วูบหนึ่งเขาย้อนนึกถึงวัยเด็กที่ได้มานั่งที่ตรงนี้ ถึงบรรยากาศของรีสอร์ตจะเปลี่ยนไปบ้างตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยคือความอบอุ่นและความสบายใจเมื่อได้มาที่แห่งนี้
หาดทรายสีขาวเนียนนุ่ม แสงอรุณรุ่งยามเช้าสะท้อนเกลียวคลื่นพราวระยับ ไอทะเลแม้จะทำให้รู้สึกเหนียวตัวไปบ้าง แต่ไอแดดอุ่นก็ทำให้รู้สึกมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้มาสัมผัส
“พอมานั่งตรงนี้ทำให้พี่นึกถึงใครคนหนึ่ง”
“พี่ไทม์... นึกถึงใครอยู่เหรอครับ บอกให้ชลฟังได้นะ” สายชลสบตาไทม์พลางเม้มปากแน่น ในขณะที่คนถูกถามเลิกคิ้วสูงอย่างลังเล
“ถ้าพี่ไทม์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
“มันจะดีเหรอ ?” ไทม์เอ่ยถามเสียงอ่อน
“ดีสิครับ ผมกลับคิดว่าถ้าเราระบายความคิดถึงให้ใครสักคนได้ฟัง ก็อาจทำให้เราได้คลายความคิดถึงเขาคนนั้นลงได้บ้าง”
สายชลเท้าคางดวงตากลมใสจ้องมองมาที่ไทม์อย่างตั้งใจราวกับลูกแมวตัวน้อยที่กำลังสนใจเจ้าของไม่มีผิดเพี้ยน วูบหนึ่งทั้งท่าทางและสายตาที่เด็กหนุ่มให้ความสนใจเช่นนั้นดูคล้ายกับน้องแมวน้อยราวกับภาพทับซ้อน ส่งให้ไทม์เกิดรู้สึกละอายแก่ใจอย่างน่าประหลาด แม้เขาจะคิดถึงแมวน้อยมากเพียงใดก็ไม่อาจที่จะระบายออกมาให้สายชลได้รับรู้ ทั้งที่เขากลับมาประเทศไทยได้ 2 ปีกว่าแทนที่จะรีบติดต่อน้อง แต่เขากลับทุ่มเทเวลาไปกับการทำงานจนละทิ้งเด็กคนนั้นไว้ข้างหลัง...
แบบนี้แล้ว... ไทม์จะยังมีหน้าเล่าความคิดถึงได้อีกหรือ ?
เมื่อคิดได้ว่าต้องรีบมาตามหาน้องแมวน้อยด้วยตัวเอง คุณน้ากลับบอกว่าน้องไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว !
ยิ่งไทม์คิดถึง... ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด
ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาตักผักสลัดตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด ถึงเขาจะพยายามเก็บอาการให้แนบเนียนเพียงใด ทว่าสายชลกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของชายหนุ่มตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย
“พี่ไทม์ ไปหิวมาจากไหน... แบ่งไข่ดาวของชลได้อีกฟองเอาไหมฮะ”
สายชลพูดเสียงหยอกเอิน พลางตักไข่ดาวที่ไม่สุกในจานให้กับไทม์อย่างลืมตัว ทว่าไทม์ช้อนตามองสายชลด้วยสายตาที่คนถูกมองรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“พะ พี่ไทม์... ทำไมมองชลตาขวางแบบนั้นล่ะ”
‘หึ ! มีหรือที่ไอ้สายชลคนนี้จะกลัว พี่ไทม์แกล้งทำตาดุแบบนี้เพราะกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างอยู่แน่นอน ถึงผมจะยังไม่รู้ต้องเริ่มบอกความจริงที่ผมเป็นแมวน้อยที่พี่ไทม์ตามหายังไง แต่ผมก็ไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเราอึดอัดแบบนี้หรอกนะ’
‘ครั้งหนึ่งสมัยเมื่อพวกเรายังเป็นเด็ก พี่ไทม์ก็เคยมองผมด้วยสายตานี้ !’
‘ตอนนั้นผมตกใจจนร้องไห้ ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่า เจ้าชายที่แสนดี ทำไมถึงได้ทำหน้าขรึม พูดกับผมด้วยน้ำเสียงห่างเหิน ผมกลัวเจ้าชายและทำตัวไม่ถูก ใจคนรออย่างผมแทบแตกสลายไป เพียงเพราะคิดไปเองว่า เจ้าชายคงไม่อยากมาเจอผมอีกแล้วใช่ไหม ?’
‘แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าชายก็เล่าให้ผมฟังเองว่า... เขาทำตัวไม่ถูก และไม่รู้ต้องเริ่มคุยกับผมยังไง ทั้งที่สัญญากันอย่างดีแล้วว่าสงกรานต์ปีนี้จะมาหา เราจะขี่จักรยานไปเล่นน้ำด้วยกัน แต่เจ้าชายก็ไม่ได้มาหาตามที่ให้สัญญาไว้ ปล่อยให้ผมรอเก้อ แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองเสมอว่า เจ้าชายไม่มีวันทอดทิ้งผม เราเคยสัญญากันไว้แล้วว่าจะมีกันและกันและดูแลกันตลอดไป’
‘ถึงที่ผ่านมา ผมจะรอแต่เขาแค่คนเดียว
ถึงที่ผ่านมาเจ้าชายจะไม่มาตามสัญญาบ้าง
แต่ตลอดเวลาก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะโกรธเจ้าชายเลยสักครั้ง
ผมทำได้แค่รอ และรอต่อไปเท่านั้นเอง...’
“ทำเป็นลืมนะ เจ้าเปี๊ยก” ไทม์ขมวดคิ้วยุ่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ลืมเหรอ... ผมลืมอะไรครับ” ผมพยายามครุ่นคิด
รัตติกาลตั้งใจเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้สายชลเซ้าซี้ถามเขาเรื่องก่อนหน้าเขาจึงร่ายยาวกลบเกลื่อน “ก็เรานัดกับพี่เมื่อวานว่าจะขอเข้าไปพักกับพี่ชายแป๊บหนึ่ง แล้วจะออกไปตลาดโต้รุ่งกับพี่ไง... ไอ้เราก็รอทั้งคืน ไลน์ก็ไม่ตอบ โทร.หาก็ไม่รับ จริง ๆ ก็ไม่อยากบ่นหรอกนะ พี่ไม่ใช่คนงี่เง่ากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“โอ้โฮ นี่ขนาดพี่ไทม์ไม่อยากบ่นนะครับยังมาเป็นชุดเลย” สายชลบ่นอุบทั้งที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้าง
สายชลรู้ดีว่าตอนนี้ไทม์พยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เขาถามเรื่องที่ไม่อยากตอบ แน่นอนว่าสายชลก็ปล่อยเบลอตามน้ำตามที่ไทม์ต้องการ
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าลืม... ใช่มะ !” ไทม์พูดเสียงนิ่งทว่าใบหน้าขรึมกลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉาบอยู่
“เอ่อ... งั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับ เดี๋ยวเรากินอาหารเช้าเรียบร้อย เดินเล่นริมทะเลสักพัก แล้วผมจะพาไปทัวร์ที่สวย ๆ รับรองพี่ไทม์ต้องชอบ เพื่อเป็นการไถ่โทษ”
รัตติกาลลอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “เอาแบบนั้นก็ได้ เห็นแก่ที่น้องขอร้องหรอกนะ” ในขณะที่สายชลขมวดคิ้วแน่นกับท่าทางหลงตัวเองเบอร์สุดของไทม์เวอร์ชันนี้ เด็กหนุ่มพยายามกลั้นขำอย่างเต็มกำลัง
‘ผมจำได้ว่าเคยคุยกับพี่ไทม์เมื่อครั้งอยู่ห้วงอนาคต ถามถึงสาเหตุที่เขาลืมติดต่อผม สุดท้ายได้ความว่า พี่ไทม์ซึ่งก็คือคนเดียวกับเจ้าชายของผม ยังคงคิดถึงแมวน้อย แต่เขาตั้งใจว่าจะมาหาแมวน้อยด้วยตัวเองจึงไม่ได้เขียนจดหมายเหมือนที่ทำมาตลอด แต่ด้วยหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในฐานะรองประธานบริษัท ทำให้เขาผลัดวันในการมาตามหาน้องแมวน้อยไปเรื่อย ๆ วันแล้ววันเล่า กระทั่งแมวน้อยคนนั้นหายไปเกือบจะตลอดกาล...’
“ว่าแต่... พี่ไทม์มาที่นี่วันธรรมดาแบบนี้ ที่บริษัทจะไม่มีปัญหาหรือครับ”
ในขณะที่สายชลเอ่ยถามจึงทำให้ท่านรองประธานหนุ่มตระหนักคิดได้ แท้จริงแล้วการที่เขาดั้นด้นมาถึงที่หัวหินทั้งที่งานกองเป็นภูเขาจนต้องให้ราเชนทร์เพื่อนรักมือขวาช่วยรับหน้าให้นั้น เพียงเพื่อตั้งใจตามหาน้องแมวน้อยของเขา แต่เมื่อพบกับสายชลโดยบังเอิญทำให้ไทม์ลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงข้อนี้อย่างสนิทใจ เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้นต่อมความรู้สึกผิดก็เริ่มเล่นงานเขาอย่างจัง
“อันที่จริง... พี่มาตามหาคนน่ะ”
เมื่อสายชลได้ฟังคำตอบเขาถึงกับสำลัก ช้อนตามองไทม์ด้วยหัวใจเต้นดังโครมครามแข่งกับเสียงเกลียวคลื่น
“เอ่อ... พะ… พี่ไทม์มาตามหาใครเหรอครับ พอบอกผมได้ไหม ชลอยู่แถวนี้เผื่อรู้จัก”
“ไม่เป็นไร พอดีพี่ได้ข่าวว่าช่วงนี้น้องเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ไทม์ทำหน้าอึดอัดลำบากใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางอย่างสิ้นหวัง
ผิดกับสายชลที่หัวใจเต้นระรัว ตื่นเต้น วูบหนึ่งสายชลคิดเข้าข้างตัวเองว่าไทม์มาตามหาแมวน้อยเจ้าของจดหมายนั้นหรือเปล่า ทั้งที่สายชลตั้งใจรวบรวมความกล้าจะบอกว่าแท้จริงแล้วว่า เขาคือน้องแมวน้อยเป็นเจ้าของจดหมายที่ส่งให้เจ้าชายมาตลอดสิบกว่าปี แต่เมื่อไทม์พูดเช่นนั้นออกมาก็ทำให้สายชลอดที่จะผิดหวังไม่ได้ หรือคนที่ไทม์ตามหาจะไม่ใช่เขา
สายชลรู้แก่ใจดีกว่าตลอดระยะเวลาที่ไทม์ขาดการติดต่อไปนั้นเขายุ่งกับสังคมใหม่และการทำงาน แต่เกือบ 3 ปีแล้วที่พี่ไทม์ขาดการติดต่อไป แล้วจะให้เขาแสดงตัวอย่างไรกันเล่า !? เด็กหนุ่มทะเลาะกับความคิดตัวเองอย่างสับสน กระทั่งฝ่ามืออบอุ่นเอื้อมแตะพ่วงแก้มนุ่มของเขาอย่างอ่อนโยนจึงทำให้สายชลหลุดออกจากภวังค์
“ทำไมน้องสายชลทำหน้าแบบนั้น ร้อนใช่ไหม เดี๋ยวเราเข้าด้านในกันดีกว่า”
ไทม์ยังคงใช้ฝ่ามือหนาแนบที่แก้มนวลของน้องพลางแตะสลับกับหน้าผากของตนเองอย่างห่วงใย การแสดงออกเช่นนั้นทำให้สายชลรู้สึกหัวใจอ่อนยวบอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มลอบมองใบหน้าหล่อเข้มติดยียวนของไทม์แล้วส่งให้สายชลย้อนนึกถึงคำสัญญาที่เขามอบให้ไทม์ก่อนจะกลับมายังห้วงเวลาปัจจุบัน
‘ผมรู้ว่าต้องบอกพี่ไทม์เรื่องที่ผมเป็นแมวน้อยของพี่ แต่ให้บอกตอนนี้มันจะดี... ใช่ไหม ?’
“น้องสายชล เฮ่ ! เจ้าเม่นแคระ พี่เรียกตั้งนานมัวแต่เหม่ออะไร”
เสียงไทม์ทำให้สายชลหลุดออกจากห้วงความคิดอีกครั้ง
“โทษทีครับ... พอดีผมคิดบางอย่างอยู่” สายชลตอบด้วยสายตาเลื่อนลอย ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ เมื่อต้องคิดคำสารภาพว่าแท้จริงแล้วเขาคือใคร !
“คิดอะไรหรือครับ... อย่าบอกนะว่า น้องสายชลคิดถึงพี่”
‘ไม่ยักจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วพี่ไทม์เป็นพวกเจ้าชู้ ไหนเขาบอกกับผมว่าชอบแต่แมวน้อยมาตลอด แล้วนี่อะไรหยอดมุกกับผมแบบไม่เว้นวรรคให้หายใจเลย’
“เหอะ ๆ” สายชลแกล้งหัวเราะอย่างแห้ง ๆ
“ว่าแต่วันนี้น้องสายชลจะพาพี่ไปไหนบ้างครับ... เอ๊ะ หรือจะเซอร์ไพรส์พี่ครับ”
“ตอนแรกว่าจะเซอร์ไพรส์นะครับ แต่คิดอีกทีบอกเลยดีกว่า เผื่อว่าพี่ไทม์จะไม่อยากไป” ท้ายที่สุดสายชลก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าบอกไทม์ได้ในตอนนี้
“ถ้าไปกับน้อง ที่ไหนพี่ก็ไปได้หมด” ไทม์ยกยิ้มมุมปากพร้อมกับหรี่ตาอย่างยียวน
“ผมจะพาพี่ไทม์ไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวันครับ”
“มะลึกอะไรนะ” ไทม์เอียงหน้าอย่างสงสัยพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
“เดี๋ยวไปถึงพี่ไทม์ก็รู้เองครับ”
“ว่าแต่พี่ไทม์มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษไหมครับ”
“นอกจากที่นี่... ก็ไม่มีที่ไหนที่พี่อยากไปเป็นพิเศษหรอก”
“ไหน ๆ พี่ไทม์ก็อยู่ต่างประเทศมาตั้งหลายปี วันนี้ผมจะพาไปรำลึกความเป็นไทยให้หนำใจพี่ไปเลย ผมจำได้ที่พี่เคยบอกนี่ว่าชอบกลิ่นอายความเป็นไทย ใช่มะ ?” สายชลพูดด้วยเสียงสดใสเมื่อคิดว่าจะได้พาไทม์ไปยังสถานที่ที่ว่านั่น เขายิ้มกริ่มด้วยความตื่นเต้น
เด็กหนุ่มจำได้ดีว่าไทม์ชอบถ่ายภาพ และพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน สถานที่ที่สายชลจะพาไทม์ไปนั้นถือว่าบรรยากาศดีมาก หนำซ้ำละแวกนั้นยังมีร้านขนมเปิดใหม่ซึ่งเป็นแหล่งเช็กอินที่กำลังฮิตในช่วงนี้อีกด้วย
“งั้นดีเลยครับ” รัตติกาลตอบรับอย่างว่าง่าย แม้เขาจะไม่รู้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจก็คือเรื่องเกี่ยวกับเขาที่ดูเหมือนน้องสายชลคนนี้จะรู้ลึกรู้จริงมากกว่าคนรอบตัวของเขาเสียอีก
“น้องสายชล...” ไทม์เรียกเด็กหนุ่มเสียงต่ำ ในขณะที่ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาคว้าที่ปลายคางมนของสายชลเพื่อล็อกใบหน้าจิ้มลิ้มให้สบตาเขาตรง ๆ
“พะ… พี่ไทม์บีบคางชลทำไม” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
“เอ๊ะ พี่เคยบอกน้องสายชลด้วยหรือครับ... ว่าพี่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ”
“เอ่อ... คือ...” สายชลตอบเสียงตะกุกตะกัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนพันกันยุ่งเหยิง
“พี่ไทม์บอกกับผมตอนเจอกันครั้งแรกที่สยามยังไงล่ะครับ แหม ลืมเหรอครับ”
สายชลพยายามตอบให้ดูร่าเริงอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขาดูมีพิรุธมากกว่าเดิม
ท่านรองประธานหนุ่มขมวดคิ้วแน่นอย่างครุ่นคิด “อื้ม... ก็คงงั้น ที่แน่ ๆ พี่มั่นใจนะ ผมไม่เคยบอกใครเรื่องที่พี่ชอบความเป็นไทยอะไรนั่นให้ใครฟัง”
รัตติกาลเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้สายชลอย่างจับผิด เด็กหนุ่มพยายามขยับหน้าถอยหนีแต่ชายหนุ่มกลับใช้ปลายนิ้วเรียวบีบปลายคางสายชลให้แน่นขึ้นอีก ก่อนจะประชิดเข้าใกล้จนเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจอบอุ่นที่ตกกระทบผิว
“พะ… พี่ไทม์เคยบอกผมตอน...”
‘นี่ผมเผลอพูดเรื่องที่เราคุยกันผ่านจดหมายเมื่อหลายปีก่อนได้ยังไงกัน โธ่ ความที่พี่ไทม์พูดคุยกับผมอย่างสบาย ๆ และเป็นมิตรจนเกินพอดี ถึงทำให้ผมลืมตัวจนเผลอพูดในสิ่งที่รู้จนได้ หรือเราจะใช้โอกาสนี้เพื่อบอกความจริงว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดของพี่ไทม์จากจดหมายนั่นดีนะ’
‘ใช่แล้ว... นี่อาจเป็นโอกาสเหมาะที่สุดในการสารภาพก็ได้ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ไอ้ชล เอาเว้ย ฮึบ !’
ยิ่งสายชลแสดงสีหน้าครุ่นคิดมากเท่าไร เด็กหนุ่มยิ่งเผยพิรุธออกมามากเท่านั้น ไทม์ที่พยายามจ้องจับผิด เขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ดวงตาสีนิลดำขลับจ้องอย่างคาดคั้นหาความจริง ไทม์มั่นใจอย่างสุดหัวใจว่าเขาไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ให้กับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างสายชลได้รับรู้แน่นอน แล้วทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงรู้เรื่องนี้ได้ !?
‘หรือแท้จริงแล้ว... เด็กสายชลคนนี้จะรู้จักกับแมวน้อยของเขา นี่ก็เท่ากับว่าเขาเข้าใกล้ความจริงที่สามารถตามหาตัวของน้องแมวน้อยของเขาได้แล้วสินะ !’
ไทม์กระตุกยิ้มกว้างเค้นถามด้วยน้ำเสียงเข้ม “พี่เคยบอกน้องตอนไหนหรือครับ... พี่จำได้ว่าไม่เคยบอกใครนอกจาก...” เขาลากเสียงยาวด้วยสายตาจ้องจับผิด
สายชลตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อสารภาพว่าเขาคือน้องแมวน้อยของเจ้าชาย แล้วเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ อาจคลี่คลายได้สักที สายชลจะไม่ปล่อยโอกาสทองแบบนี้ให้หลุดไปอีกแล้ว และจะไม่มัวเสียเวลาอีกต่อไป !
‘เอาวะ บอกไปเลยก็แล้วกัน’
“พี่ไทม์... อันที่จริง ผมก็คือ...”
ในขณะเดียวกันกับที่สายชลกำลังจะพูดนั้นแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็มาปรากฏตัวราวกับผู้กำกับปล่อยนักแสดงออกมาผิดคิว “พี่ไทม์ ว่าแล้วเชียวพี่ไทม์จริง ๆ ด้วย แค่มองเห็นด้านหลังผมก็จำพี่ได้ขึ้นใจเลยละ”
ไทม์ปล่อยมือจากพวงแก้มนุ่มของสายชล ก่อนจะหันไปยังเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อตนเองด้วยความประหลาดใจ
“ทีม ?”
“ว่าแล้วเชียว พี่ไทม์ต้องพักที่นี่ต่อแน่ ๆ วันนี้ไปเที่ยวกันนะครับ” ทีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส แววตาเปล่งประกาย เขาปรี่ตรงเข้ามาดังด้านข้างไทม์พลางคลี่ยิ้มมีความหวัง ในขณะที่สายชลได้แต่ถอนหายใจยาวให้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้อย่างท้อใจ
‘ช่างมันเถอะ ค่อยหาโอกาสวันหลังแล้วกัน’
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?