ตอนที่ 56ความลับไม่มีในโลก

[ทิวัตถ์]

“ผมจองเที่ยวบินรอบแรกให้นายเรียบร้อยแล้วครับ”

ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะทำงานด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความรู้สึก เขาปรายตามองบอดี้การ์ดคนสนิทส่งตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิสต์คลาสพร้อมกับเล่มพาสปอร์ต

“เที่ยวไวที่สุดรอบตี 4 ของพรุ่งนี้ครับ”

“อืม เดี๋ยวนายจัดการพวกเอกสารที่เหลือทางนี้แล้วรีบตามมาแล้วกัน” ทิวัตถ์เอ่ยกับนนท์แล้วอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานต่อพลางถอนหายใจ

“ให้ผมแจ้งนายน้อยไหมครับว่าท่านจะกลับไทยวันพรุ่งนี้”

“ยังก่อน” ทิวัตถ์เอ่ยค้านเสียงแข็ง เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้วูบหนึ่งกระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาฉายประกายแผนการบางอย่างทำให้บอดี้การ์ดคนสนิทกังวลใจ

“แต่...”

“ฉันจะไปพิสูจน์บางเรื่องก่อน ถ้านายจัดการเอกสารส่วนที่เหลือเรียบร้อยก็รีบตามมาแล้วกัน” ผู้เป็นนายสั่งด้วยท่าทางสุขุม นนท์จึงจำใจต้องปกปิดเรื่องที่ทิวัตถ์จะเดินทางกลับเมืองไทยในเช้าวันพรุ่งนี้ เขาทำได้เพียงรีบสะสางงานทางฝั่งมาเก๊าให้เรียบร้อย

“อย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับนาย” นนท์ใบหน้าเคร่งเครียด ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นนายเหนือหัวก่อนจะขอตัวไปเคลียร์ทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุด ทิ้งให้ทิวัตถ์นั่งจ้องภาพของใครบางคนจากที่นักสืบส่งมาด้วยใจหวามไหวเพียงลำพัง

เกือบ 7 โมงครึ่งของวันที่ 20 สิงหาคม เที่ยวบินวันนี้คนไม่พลุกพล่านมากนักอาจเพราะเป็นเที่ยวบินเช้าวันจันทร์ ทำให้คนที่ดูน่าเกรงขามอย่างทิวัตถ์รู้สึกไม่คุ้นชิน เขาเป็นนักธุรกิจที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำอสังหาริมทรัพย์และสถานบันเทิงหลายแห่งย่านกลางกรุง นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่เขากลับมาเมืองไทย ทิวัตถ์สวมชุดลำลองสบาย ๆ เสื้อโปโลแบรนด์เนมสีฟ้าอ่อน เข้าชุดกันกับกางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินเข้ม สวมแว่นกันแดดสีชาบดบังใบหน้า แม้วัยจะล่วงเลยจนอายุเกือบเข้าเลขห้า ทว่าใบหน้ายังคงดูอ่อนวัยกว่าคนวัยเดียวกัน เขาก้าวเท้าฉับตรงไปยังด้านหน้าจุดรับผู้โดยสารของสนามบิน ในขณะเดียวกันนั้นประตูรถตู้สีดำวาววับก็เปิดออกตรงหน้า ชายสวมชุดสูทสีดำเป็นทางการรีบกุลีกุจอออกมารับกระเป๋าเดินทางขนาดกะทัดรัดที่อยู่ในมือ

“ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทยครับนาย” วิคมเอ่ยด้วยเสียงเรียบ แล้วเดินตามทิวัตถ์ขึ้นรถตู้เพื่อนั่งด้านหลังเยื้องผู้เป็นเจ้านาย

“ทำไมถึงเป็นนายที่มารับฉันล่ะ” ทิวัตถ์เอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับเปิดหน้าจอสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กอีเมล รวมถึงรายงานที่นนท์ส่งมาให้ว่าทางนั้นเคลียร์ธุระเรียบร้อยแล้ว

“ก็นนท์มัน...”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่... แกเคยเห็นเด็กที่ชื่อสายชลใช่ไหม”

“ครับ ถ้าไม่อยู่ด้วยกัน แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าคนไหนคุณสายฟ้า คนไหนคุณสายชล” วิคมตอบตามที่เขารู้สึก

“ไปมหาลัยของสายชล” ทิวัตถ์พูดด้วยท่าทางนิ่งขรึม ขยับแว่นกันแดดเล็กน้อยเพื่อบดบังสายตาและความรู้สึกที่เก็บงำเอาไว้สิบกว่าปี

การจราจรในเช้านี้แน่นอนว่าติดขัดอย่างไม่ต้องมีคำบรรยาย ยิ่งทิวัตถ์ต้องอยู่ภายในรถที่อุดอู้เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ในที่สุดรถตู้คันหรูก็มาจอดยังหน้ามหาวิทยาลัย H ซึ่งเป็นสถานที่เรียนของสายชล ทิวัตถ์หยุดยืนหน้าประตูด้านนอกก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย ขณะที่เขากำลังจะข้ามถนนรถมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารที่ขี่มาด้วยความเร็วก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้ทิวัตถ์เสียหลักเกือบล้มลง

“ขับรถดี ๆ สิเพ่...”

เสียงจากใครบางคนที่ช่วยประคองร่างของทิวัตถ์เอาไว้ตะโกนด่าตามหลัง

“คุณลุงครับ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เด็กหนุ่มยังคงพยุงทิวัตถ์เอาไว้ สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “คนสมัยนี้ขับรถไม่ดูคนเลย แย่จริง ๆ” เขายังคงบ่นอุบอิบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพลางประคองทิวัตถ์ไปนั่งพักยังบริเวณริมรั้วมหาวิทยาลัยด้านใน

ทิวัตถ์ลอบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกับเนกไทสีกรมพร้อมกับเข็มตรามหาวิทยาลัย เขาสบตากับเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกพรั่งพรู ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นทิวัตถ์จึงถูกใครหลายคนตราหน้าว่าเป็นคนเย็นชา ไร้ความรู้สึก

แท้จริงแล้ว... เข้าใจว่าลูกชายต้องการความรักและการเอาใจใส่จากเขา

เข้าใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในอดีต

เข้าใจว่าหลายครั้งก็ทำตัวเคร่งขรึม ทั้งยังเหมือนเผด็จการกับคนที่รัก

แต่... ที่เขาทำทั้งหมดนั้นก็เพราะ ‘รัก’

“คุณลุงครับ... คุณลุง”

เสียงใสบวกกับรอยยิ้มเต็มใบหน้าทำให้เขาหลุดจากห้วงความคิด “อะ… ครับ”

“วันนี้มีสอบผมต้องไปก่อนนะครับ ว่าแต่... คุณลุงโอเคแล้วใช่ไหม ?” เด็กหนุ่มมองเขาด้วยความห่วงใย ขณะที่เพื่อนเริ่มเร่งเร้าเนื่องจากเกรงว่าจะเข้าห้องสอบช้า

“รีบไปสอบเถอะ ลุงไม่เป็นอะไรแล้ว” ทิวัตถ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “ตั้งใจสอบนะ”

คนฟังระบายรอยยิ้มกว้าง จนทำให้ดวงตากลมโตคู่สวยเล็กหรี่ลงเป็นสระอิ ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นประมาณหน้าอกแล้วทำท่าเรียกพลัง “สู้ครับ ขอบคุณนะครับ”

ทิวัตถ์มองตามหลังไปจนสุดสายตาเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปยังตึกเรียนแล้ว เขายังคงทอดอารมณ์นั่งย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วคำของวิคมซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของสายฟ้าก็ดังก้องขึ้นในหัว ‘ถ้าไม่อยู่ด้วยกันแทบแยกไม่ออกเลยว่าคนไหนคุณสายฟ้า คนไหนคือคุณสายชล’

ทิวัตถ์กระตุกยิ้มให้กับคำพูดนั้นของลูกน้อง ‘ทำไมจะแยกไม่ออก ทั้งสายฟ้ากับสายชลแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันอยู่แล้ว สายฟ้าเป็นคนแน่แน่วเด็ดเดี่ยวทั้งยังเข้มแข็ง เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่โดดเด่นและมั่นคง ส่วนสายชลเป็นคนร่าเริงอ่อนโยนและใจเย็น หากจะเปรียบแล้ว เด็กคนนี้ก็เหมือนดอกทานตะวันที่สดใสแต่ก็บอบบางเหลือเกิน’

ทิวัตถ์ปล่อยใจหวนคิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กของเด็กชายฝาแฝดทั้งสองคน ช่วงเวลาที่อบอุ่นตั้งแต่ดาริกาตั้งท้อง เมื่อรู้ว่าได้ลูกชายฝาแฝดตลอดจนวันที่คลอดเจ้าสองคนนี้ ช่วงนั้นแม้จะเป็นเวลาสำคัญที่เขาต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ภรรยา หากไม่ติดว่าคู่แข่งทางการค้าของเขายังคงราวีไม่เลิก ซ้ำยังจงใจโจมตีเขาในช่วงนี้โดยมันข่มขู่จะนำพรรคพวกเข้ามาบุกสร้างความเสียหายให้ร้านต่าง ๆ ที่เขาเป็นผู้ดูแล แม้ดาริกาจะเอ่ยปากบอกว่าเธอดูแลตัวเองได้ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นแม่ ทิวัตถ์จึงทำได้เพียงกอดปลอบแล้วจำเป็นต้องรีบไปเคลียร์กับคู่กรณี เพราะหากปล่อยให้พวกมันรุกล้ำเข้ามาได้แล้วครั้งหนึ่ง ความเชื่อมั่นของคนในปกครองก็จะสั่นคลอนไป

ในเวลาเดียวกันคนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองรีบเพราะวันนี้มีสอบกลับวิ่งกระหืดกระหอบออกมา กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทิวัตถ์ “ผมคิดว่าคุณลุงไปแล้วซะอีก...พอดีผมลืมดินสอ 2B กับบัตรเข้าสอบไว้ในรถพี่ครับ”

“งั้นรีบไปเถอะ” ทิวัตถ์เอ่ยน้ำเสียงเรียบ ‘เด็กคนนี้ยังคงทำตัวไม่รอบคอบเหมือนเคย’

ขณะที่ทิวัตถ์กำลังเดินออกไปยังหน้าฟุตพาทเพื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มคนนั้นก็รีบวิ่งข้ามถนนมาเช่นกัน ทว่าเขาที่อยู่ไกลกว่าเห็นรถยนต์คันหรูสีดำขับด้วยความเร็วสูงมาแต่ไกล ด้วยความเป็นห่วงเขาไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอื่นใด ทิวัตถ์รีบปรี่ตรงเข้าไปยังลูกชายคนเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตนพยายามกระชากคนตรงหน้า ด้วยความดีของเขาที่สั่งสมมาคงยังไม่มากพอที่ให้เขาใช้ในเวลานี้ รถยนต์คันนั้นแม้จะเบรคแล้วก็ตามทีแต่ก็ยังพุ่งชนทิวัตถ์เข้าอย่างจัง เสียงหวีดร้องดังลั่นด้วยความตื่นตระหนก ร่างของทิวัตถ์ลอยเคว้งขึ้นในอากาศ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาอันสั้นแต่ภาพความทรงจำที่เขาเคยใช้เวลาร่วมครอบครัวและลูกแฝดทั้งสองคนกลับพรั่งพรูเข้ามาในหัวอย่างไม่มีทีท่าจะหมดลง หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจคลอเต็มหน่วยตา ‘เป็นเพราะพ่อเองที่ตัดสินใจผิด วันนั้นพ่อไม่น่าทำอย่างนั้นเลย’ แล้วร่างของเขาก็กระแทกลงกับพื้นพร้อมกับสติที่เหลือน้อยเต็มทน

ทิวัตถ์ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเรียกชื่อลูกชายที่นอนกองอยู่บริเวณไม่ไกลจากเขานัก “สายชล... ลูก” ยังไม่ทันที่สายชลจะได้ยินเสียงของผู้เป็นพ่อ เปลือกตาของทิวัตถ์ก็หนักอึ้งและสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับมืดลงไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ