[รัตติกาล - ไทม์]
“เฮ้ย มึงนั่งเหม่ออะไรอยู่แต่เช้าวะ” ราเชนทร์เปิดประตูเดินเข้ามามองหน้ารัตติกาลว่าที่ท่านประธานบริษัท ปุญคีตะ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทศูนย์รวมเกี่ยวกับงานสื่อต่าง ๆ ทั้งนิตยสาร จัดงานอีเว้นต์ รวมไปถึงทำซาวนด์ประกอบที่ราเชนทร์กับไทม์ช่วยกันทำเป็นงานอดิเรกที่หาเงินได้
“ไงมึง มานานแล้วเหรอ” ไทม์พูดขณะที่ยังคิดบางเรื่องอยู่ในหัว
“ก็นานพอจะเห็นคนอย่างคุณรัตติกาลนั่งเหม่ออยู่นานสองนาน” ราเชนทร์ยืนกอดอกแซวหน้าตาย
“ไอ้ห่า เรียกกูซะเต็มยศเลยนะ” ไทม์บ่นเพื่อนซี้อย่างไม่จริงจัง “ว่าแต่… ทำไมวันนี้แวะมาหากูแต่เช้าเลย”
“แสดงว่ายังไม่ได้เช็กอีเมลละสิ” ราเชนทร์ยกไอแพดโปรจอใหญ่เดินตรงไปยังโต๊ะของท่านรองประธาน มือหนาเปิดอีเมลรายละเอียดสัญญาจ้างที่จะทำซาวด์เพลงโฆษณาให้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง
“ไอ้เชนทร์ เดี๋ยวนี้มึงจะรับงานแนวนี้ด้วยหรือวะ ?”
“งานนี้มันทำไม ?”
“ก็เพลงมหาลัยเนี่ยนะ” ไทม์ถามด้วยความแปลกใจ โดยปกติพวกเขามักรับทำซาวนด์โฆษณาสั้น ไม่ก็พวกเพลงสปอตสั้น ๆ เสียมากกว่า เพราะการทำเพลงมีเพียงเขาทั้งสองคนที่ช่วยกันทำ นาน ๆ ครั้งจะมีกลุ่มเพื่อนของราเชนทร์ที่คอยทำเรื่องโปรแกรมให้บ้าง โดยส่วนใหญ่ทำกันเองขำ ๆ แต่รายได้กลับไม่ขำ จนราเชนทร์ตั้งใจจะเปิดบริษัทเล็ก ๆ เป็นของตัวเองเพื่อรับทำงานเกี่ยวกับซาวนด์โดยเฉพาะ
“มึงอ่านดี ๆ ไอ้รองประธาน”
รัตติกาลกวาดสายตาดูรายละเอียดงานอย่างคร่าว ๆ งานนี้เป็นเพลงประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย G คณะนิเทศศาสตร์ และทางผู้ว่าจ้างอยากได้เพลงที่ดูทันสมัยน่าสนใจ แต่ต้องร่วมทำงานกับทางทีมงานของมหาวิทยาลัย
“มึงเห็นกูว่างนักหรือไง ?” ไทม์บ่นอุบ
แค่งานบริษัทก็ปลีกตัวไม่ได้อยู่แล้ว นี่ต้องไปประสานงานกับเจ้าพวกเด็กมหาวิทยาลัยเนี่ยนะ ?
“ก็ไหนบอกเบื่อนั่งออฟฟิศ ไปทำงานภาคสนามบ้างก็ได้ อาหารตาเยอะนะมึง ไงมึง… สนไหม ?” ราเชนทร์คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์
“มึงลืมไปหรือเปล่าไอ้เชนทร์ ทำซาวนด์เราไม่มีทีมงาน มีแค่มึงกับกูสองคน”
“หรือมึงทำไม่ได้ ป๊อด ?” ราเชนทร์ยกคิ้วยักไหล่เป็นเชิงดูถูก
“มีอะไรบ้างที่คนอย่างไอ้รัตติกาล จะทำไม่ได้ !”
“ก็มีอยู่อย่างหนึ่งนะที่กูเห็น” ราเชนทร์เค้นเสียงก่อนจะวางไอแพดบนโต๊ะรองประธาน ปรายตามองท่านรองประธานพร้อมยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อะไรวะ ?” ไทม์เอียงคอ ยักคิ้วโต้ตอบอย่างไม่เกรงคำพูดเพื่อนสนิท
เกือบ 3 ปีตั้งแต่ไทม์เรียนจบบริหารจากอเมริกาก็เข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัททันที อันที่จริงแล้วไทม์มีโอกาสช่วยงานพ่อตั้งแต่ตอนเรียนอยู่แล้ว การที่เขาเรียนจบแล้วมาทำงานเลยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ประกอบกับท่านประธาน พ่อของไทม์เอ่ยปากบอกอยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ไทม์เห็นว่าพ่อทำงานหนักมามาก ให้พ่อไปพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน
ทว่านับตั้งแต่วันนั้นพ่อก็แทบไม่กลับมานั่งประจำออฟฟิศอีกเลย พ่อของไทม์เดินทางไปประเทศโน้นประเทศนี้ตลอด ทำให้เกิดความวุ่นวายภายในบริษัทอยู่เสมอฝ่ายต่าง ๆ ทำงานยากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะกว่าที่ท่านประธานที่เอาแต่ท่องเที่ยวจะสละเวลามาตอบอีเมลได้นั้น งานบางอย่างก็มีปัญหาจนเกือบแก้ไขไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง
รัตติกาลอดคิดไม่ได้ว่า พ่อเขาใจแตกตอนแก่อย่างนั้นหรือ ? เที่ยวจนลืมบ้าน ! หลายครั้งที่ไทม์ต้องเดินทางไปเจรจากับผู้ใหญ่แทนพ่อโดยได้รับความช่วยเหลือจากดารุณีเลขานุการคนสนิทของพ่อ ต้องยอมรับเลยว่าได้พี่ดามาสอนงานทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก ไม่ว่าคู่ค้าธุรกิจจะเฮี้ยบแค่ไหนมีจุดอ่อนเรื่องอะไร พี่ดาแนะนำจนไทม์ทำงานได้อย่างราบรื่นทั้งที่อายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น
ผู้ใหญ่ในวงการต่างชื่นชมไทม์ปากต่อปากด้วยความที่ทำงานเนี้ยบทั้งยังมีกาลเทศะดีและเข้าถึงง่าย ตั้งแต่รปภ.หน้าบริษัทยันแม่บ้านบนตึก และไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ไทม์ต้องจัดการจะยากหรือท้าทายแค่ไหน หนุ่มไฟแรงคนนี้ก็ฝ่าฟันจนงานลุล่วงด้วยดีมาตลอด กระทั่งผู้เป็นพ่อให้สิทธิในการเป็นรองประธานบริหารของบริษัท ทำให้ไทม์มีอภิสิทธิ์ในการเซ็นอนุมัติงานต่าง ๆ แทนได้หากด่วนหรือเป็นเรื่องที่ไทม์คิดว่าสามารถทำได้เองโดยมีพี่ดารุณีคอยให้คำปรึกษาอยู่ไม่ห่าง ทำให้พนักงานในบริษัทต่างยำเกรงให้ความเคารพและมองข้ามอายุของลูกชายคนโตของท่านประธาน โฟกัสแต่เพียงศักยภาพของไทม์เท่านั้น
ข่าววงในมักชอบนินทาไทม์ว่าเป็นนักธุรกิจที่อายุน้อยแต่ได้รับตำแหน่งที่ใหญ่เกินตัว ภายในไม่ถึงปีไทม์สามารถดีลงานยาก ๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ บวกกับความขี้เล่นนิด ๆ ขี้เก๊กหน่อย ๆ ทว่าแตกต่างจากนักธุรกิจรุ่นเดียวกันตรงที่ไทม์ให้ความสำคัญกับพนักงานและคนรอบตัวมาก คนในบริษัทจึงเอ็นดูนายน้อยของบริษัทจนหมดใจ ซึ่งเอกลักษณ์ส่วนนี้ของไทม์ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักข่าว จนโมเดลลิ่งหลายที่เคยแวะเวียนขายขนมจีบให้ไปทำงานวงการบันเทิงด้วยบ่อยครั้ง ด้วยใบหน้าหล่อคมทั้งที่พ่อกับแม่เป็นคนไทย แต่ลักษณะของไทม์ออกไปทางลูกครึ่งนิด ๆ อาจเป็นเพราะได้ลูกเสี้ยวจากปู่ทวดของเขาที่เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกา ทำให้นัยน์ตาเข้มดวงหน้าหล่อคมและด้วยความสูงถึง 185 แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองทะลุปรอท ส่งผลให้รุ่นพี่ในแวดวงธุรกิจบางคนไม่ค่อยชอบใจนัก
“ไอ้สัตว์เชนทร์ มึงทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง ? มีเรื่องอะไรบ้างที่กูทำไม่ได้ ขนาดคุณวิเชียรที่ว่าดีลงานยากกดราคางานมากที่สุดในวงการ กูยังฟันกำไรมาได้เพิ่มกว่าเดิมตั้ง 12 เปอร์เซ็นต์” ไทม์พูดพลางดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มแถมยักไหล่อย่างยียวน
“มีนะ เรื่องที่มึงป๊อด… ก็อย่างเรื่องของเด็กน้อยที่มึงเพียรเขียนจดหมายหาตลอดไง” ราเชนทร์กอดอกมองเพื่อนซี้ด้วยท่าทางที่ถือไพ่เหนือกว่า
“เป็นไง สตั๊นไปเลยสิมึง ฮ่า…” ราเชนทร์หัวเราะเยาะเพื่อนซี้เมื่อเห็นไทม์ขมวดคิ้วแน่น
ราเชนทร์เคยเห็นไทม์เขียนจดหมายหาเด็กคนหนึ่งส่งกลับมาที่ประเทศไทย ตอนนั้นราเชนทร์มองแล้วก็อดถามไม่ได้ โลกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เทคโนโลยีก็ทันสมัยมากขึ้น แต่ทำไมไทม์ยังมานั่งทนเขียนจดหมายอยู่อีก กว่าจะส่งไปถึง กว่าที่ทางนั้นจะได้อ่านและตอบกลับมา ไลน์หาหรือวิดีโอคอลมันไม่ง่ายกว่าหรืออย่างไร ?
ก็นั่นละ ไม่เคยได้รับคำตอบที่เป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง ราเชนทร์คิดแล้วไม่เคยเข้าใจการกระทำของเพื่อนซี้ ทั้งที่กลับเมืองไทยมาเกือบ 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นคืบหน้ากับเด็กคนนั้นเลย ไม่ว่ามันจะเก่งเรื่องงานเรื่องการใช้ชีวิตมากแค่ไหน แต่เรื่องการแสดงออกด้านความรักติดลบ
“ให้กูทำยังไง ?”
“ก็ไปหาน้องซะสิ มัวมานั่งเขียนจดหมายอยู่ได้”
รัตติกาลเงียบแทนคำตอบ
“หรือมึงกลัวอะไรวะ ?”
ราเชนทร์เลิกคิ้ว “นี่ไง ไอ้สัตว์ไทม์ มึงปอดแหก”
“เปล่า” ไทม์แสดงสีหน้าอึดอัด
“คนมั่นหน้าถึงขนาดมีสติกเกอร์ไลน์เป็นรูปหน้าตัวเองอย่างมึงเนี่ยนะ จะมาป๊อด ทำตัวปอดแหกเพราะแค่เรื่องไปเจอคนที่มึงชอบมาเป็นสิบ ๆ ปี กูว่ามันไม่เมคเซนส์เลย”
“คือตั้งแต่กูกลับประเทศไทยมากูก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้ติดต่อน้องเลย”
“ไอ้เหี้ย…” ราเชนทร์เผลออุทาน พร้อมกับลากเก้าอี้นั่งฟังเพื่อน ดูท่าทางแล้ววันนี้ไทม์น่าจะมีเรื่องคุยกับเขานาน ราเชนทร์ไม่คิดว่าเพื่อนซี้จะขาดการติดต่อได้ เพราะสมัยอยู่มหาวิทยาลัยไทม์เฝ้ารอจดหมาย และหาโปสต์การ์ดบ้าง หาของที่ระลึกเวลาไปต่างเมืองส่งให้เด็กของมันตลอด ถ้าไม่เห็นกับตาว่ามันไม่เคยเจอกัน คุยกันติดต่อกันผ่านจดหมายมาตั้งเป็นสิบปีก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“เออ ถึงกับเหี้ยเลยเหรอวะ” ไทม์ขมวดคิ้วแน่น
ในห้องทำงานของท่านรองประธาน ราเชนทร์เพื่อนคนสนิทพยายามคาดคั้นความทุกข์ใจของเพื่อนที่ดูสับสนวกวน กับแค่ติดต่อหาคนเคยคุ้นใจไม่ก็ไปหาเสียเลยมันจะยากอะไรขนาดนั้น
“แล้วที่มึงเครียด เรื่องอะไรวะ ?” ราเชนทร์เอ่ยถาม
“คือจะเล่ายังไงดี…” ไทม์ทำหน้าหนักใจ ถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก
“จะเล่าอะไรก็ว่ามา กูพร้อมแล้ว” ราเชนทร์ทำหน้าเหม็นเบื่อเท้าคางบนโต๊ะ
“เมื่อวันก่อนกูไปสยามมา แล้วกูเจอกับเด็กคนหนึ่งเว้ย แบบพูดยังไงดี ตัวแค่นี้กูเอง…” ไทม์ทำมือโบกอยู่แถวอก บอกใบ้ส่วนสูงของเด็กน้อยคนที่พูดถึงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป แววตามีประกายความสดใสจนราเชนทร์แปลกใจ
“แล้ว… ?”
“ก็เด็กคนนั้น มันมีฝาแฝดด้วยเว้ย ดุอย่างกับเสือ” ไทม์พูดพลางคิดถึงหน้าของเด็กฝาแฝดคู่นั้น คนหนึ่งยิ้มหวานจนตาหยี ส่วนอีกคนทำหน้าดุสายตาแข็งกร้าว ใครว่าฝาแฝดเหมือนกันจนแยกไม่ออก คงใช้ไม่ได้กับแฝดคู่นี้แน่ ๆ
“อะฮะ” ราเชนทร์เอียงคอเชิงถาม
“แล้วกูก็ได้ไลน์น้องมาด้วย” ไทม์พูดอย่างภูมิใจ
“ฮะ… แล้วเด็กของมึงที่หัวหินล่ะ หรือยังไง ? ไม่ชอบแมวอะไรนั่นแล้วเหรอวะ ? ไอ้ห่ามึงนี่หลายใจจริง ๆ” ราเชนทร์ตกใจจนนั่งตัวตรงจากที่เอนหลังสบายบนเก้าอี้
“เดี๋ยวก่อนสิ มึงฟังกูก่อน…”
“แล้วมันยังไง…” คนฟังถอนหายใจอย่างระอา
“คือเด็กคนนั้นกูก็รู้สึกดี มันเป็นความรู้สึกดีที่โคตรแปลก น่าแกล้ง น่ารัก น่าเอ็นดู”
รัตติกาลพูดไปยิ้มไป จนคนฟังเกิดการหมั่นไส้แกล้งปาทิชชูที่ม้วนเล่นใส่เพื่อนซี้
“มึงคลั่งรัก”
ไทม์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ กูไม่ได้คลั่งรัก ใจของกูไม่เหลือที่ให้ใครแล้ว มึงก็รู้”
“ถ้าอย่างงั้นมึงจะขอไลน์น้องมาทำไม ?” ราเชนทร์เลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนซี้อย่างยียวน
“กูก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่กูเจอน้องแล้ว กูคิดถึงแมวน้อยของกูว่ะ”
“คิดถึงก็ไปหาสิวะ มานั่งทำหอกหักอะไรตรงนี้”
ไทม์เอ่ยด้วยเสียงไม่มั่นใจ “แล้วจู่ ๆ มึงจะให้กูไปหาเนี่ยนะ”
“ที่อยู่ก็มี เบอร์โทร.ก็มีมึงจะกลัวอะไร”
“ที่อยู่เบอร์โทร.เป็นของรีสอร์ตน่ะสิ” ไทม์ตอบด้วยสีหน้าประหม่า
“ยังไง ?”
“คือกูยังไม่เคยเห็นหน้าน้อง ยังไม่เคยถามชื่อด้วยซ้ำ แต่กูก็ไม่เคยรู้สึกว่าแค่เรื่องนี้จะเป็นปัญหาไง” ไทม์เล่าด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด เขาน่าจะขอไลน์หรือวิดีโอคอลเหมือนที่ราเชนทร์เคยแนะนำก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องขาดการติดต่อกันอย่างนี้
“ตอนนี้กูว่ามึงอะมีปัญหาแล้ว” ราเชนทร์ทำท่าเบื่อที่จะฟังคนสารพัดข้อโต้แย้งพูด
“ใช่ กูมีปัญหา”
“ไม่ใช่ มึงอะตัวปัญหา อย่าไปบอกใครนะว่า ท่านรองประธานจั๊ดง่าวขนาดนี้ กูอายแทนว่ะ” ราเชนทร์หัวเราะใส่หน้าเพื่อนจนไหล่สั่น
“งั้นให้กูทำยังไง ?” ไทม์พรูลมหายใจ ถามด้วยเสียงอ่อน
“มึงก็แค่ไปหาน้องเขาไง เมื่อก่อนมึงเคยเจอน้องที่ไหน มึงก็ไปที่นั่น มันจะยากอะไรวะ” ราเชนทร์ตอบด้วยความหน่ายใจ
เมื่อราเชนทร์เห็นท่าทีเพื่อนแล้วเขาก็อดที่จะช่วยไม่ได้ แม้ตัวเขาเองจะยังไม่เคยแอบรักใครนานขนาดไทม์ แต่เขารู้ว่าการที่ได้พบกับใครสักคนที่ใจตรงกัน และรอคอยกันและกันมันเป็นเรื่องที่วิเศษ อย่างน้อยถ้าการพูดเตือนสติทำให้มันได้ลงเอยกับคนที่มันชอบก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันแห้วแดกนกตัวโต เขานี่ละจะเป็นคนพามันไปดื่มเหล้าย้อมใจเอง
“นี่ก็ปิดเทอมแล้ว มึงเคยบอกกูสมัยยังไม่ได้ไปอินเดียมึงเจอน้องทุกปิดเทอมนี่” ราเชนทร์พูดอย่างใจเย็น
“ตอนนี้ปิดเทอมแล้วหรือวะ”
“ไอ้สัตว์ ก็เออสิ” ราเชนทร์ชักไม่แน่ใจว่าจะช่วยเพื่อนซื่อบื้อคนนี้ดีไหม เก่งทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของตัวเอง
“แต่วันนี้เพิ่งจะวันอังคารเอง ?”
“แล้วมึงต้องรออะไร เกือบ 3 ปียังไม่นานพออีกเหรอวะ”
“ก็จริงของมึง” ไทม์เกาท้ายทอยแก้เก้อ
ราเชนทร์อดใส่ใจเพื่อนซี้ไม่ได้ “แล้วมึงจะเลือกใคร น้องแมวอะไรนั่นของมึงหรือน้องนุ่มนิ่มเด็กสยามล่ะ ?”
“กูไม่รู้เว้ยอย่าถามมากได้ไหม” ไทม์พูดพลางจัดเก็บเอกสารที่วางเต็มโต๊ะให้เข้าที่ มืออีกข้างหยิบแฟ้มเอกสารด่วนมาเตรียมไว้ตรงหน้า
“ไอ้ห่านี่ หล่อเลือกได้เนอะ”
“งั้นกูไปวันนี้เลยดีเปล่าวะ” ไทม์พูดขึ้นลอย ๆ
“กูเป็นพ่อมึงเหรอต้องมาขออนุญาต”
“ก็เปล่า แต่งานกูเยอะนี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนด้วย”
“ไอ้ไทม์ กูถามหน่อย… มึงอยากเจอน้องจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย ข้ออ้างมึงเยอะจัง… เรื่องงานเดี๋ยวกูช่วย ส่วนเรื่องทำเพลงเดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไงมึงเปิดเครื่องไว้ตลอดด้วยเผื่อมีงานด่วน” ราเชนทร์เค้นเสียงพูดด้วยความหงุดหงิด หากเป็นเขาถ้าเจอคนที่อยากใช้เวลาด้วยไปตลอด ไม่มีทางที่จะปล่อยไว้แบบไทม์หรอก
“มึงไม่ไปกับกูเหรอ”
“ยังอะ มึงก็พักร้อนไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไปทีหลังถ้ามึงยังอยู่” ราเชนทร์พูดพลางขอตัวกลับไปเคลียร์งาน
ไทม์หัวใจเต้นรัว รีบเคลียร์งานที่สำคัญและวางแผนสั่งงานลูกน้องประสานงานกับพี่ดาอย่างรีบร้อน ก่อนจะกลับไปเตรียมเสื้อผ้าที่บ้านแล้วหยิบของสำคัญที่เขาตั้งใจจะมอบให้กับแมวน้อยเมื่อเจอกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวเล็กของเขาจะหน้าตาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ตัวสูงเท่ากับเขาไหม และยังรู้สึกดี ๆ กับเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า ?
กว่า 11 ปีที่ไทม์ไม่เคยได้เจอแมวน้อย มีเพียงสายใยบาง ๆ จากจดหมายที่คนเด็กกว่าเขียนส่งมาอยู่เสมอ แม้ว่าช่วงหลังน้องเล่าว่าเรียนหนักเพราะอยากสอบโควตาที่มหาวิทยาลัย H ให้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้แมวน้อยยังอยู่ที่เดิมหรือไม่และไม่รู้ว่าน้องมีใครไปแล้วหรือยัง…
รัตติกาลขับรถซูเปอร์คาร์สีแดงเพลิงมุ่งหน้าไปยังหัวหิน จุดหมายเดียวที่เขาจำได้อย่างขึ้นใจ รีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาว เพียงแค่คิดหัวใจที่แห้งผากดุจทะเลทรายก็กลับมีชีวิตชีวาชุ่มฉ่ำราวกับท้องมหาสมุทร…
แต่จู่ ๆ ภาพทับซ้อนของสายชลที่ฉวยกอดไทม์ที่สยามในวันนั้นได้เข้ามารบกวนโสตประสาทไทม์ ทั้งรอยยิ้มและแววตาทำให้เขาคิดถึงแมวน้อย
ไทม์ไม่เคยคิดว่าใครสักคนจะแทนที่อีกคนได้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะการเจอหน้ากันครั้งนั้น ไทม์ต้องยอมรับกับตัวเองว่าทำให้ใจไทม์หวั่นไหวไม่น้อย
ไทม์สะบัดหน้าแรงเรียกสติตัวเอง
‘ไม่สิ ก็แค่เจอคนที่รอยยิ้มคล้ายแมวน้อยเท่านั้น… แต่ใจเจ้าชายเป็นของแมวน้อยตลอด พี่ขอโทษที่หายไปนาน รอพี่ก่อนนะ’
๐๐๐
“รีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาว ยินดีต้อนรับค่ะ” สาวประเภทสองหน้าตาสะสวยยกมือไหว้แขกผู้มาเยือนพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วและรอยยิ้ม
“ครับ”
“ได้จองไว้ก่อนหรือเปล่าคะ ?”
“เปล่าครับ” ไทม์กล่าวด้วยเสียงเรียบ สายตาเหลือบมองไปทั่วบริเวณ ในใจคาดหวังว่าจะได้พบคนที่ตนตามหา แม้ว่าเขากับแมวน้อยจะไม่ได้พบหน้ากันจริง ๆ มาหลายปีแล้ว แต่ไทม์เชื่อว่ายามใดที่ได้พบหน้ากันทั้งสองคนต้องจำกันได้ และไม่รู้ว่าแมวน้อยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแล้ว เพียงแค่คิดหัวใจที่ราวกับน้ำแข็งขั้วโลกพันปีกลับละลายดังลาวาปะทุ
รัตติกาลยืนมองภาพห้องพักพลางคิดถึงสมัยที่เคยแอบเข้าไปเล่นให้ห้องพักด้วยกันกับแมวน้อย ความน่ารักสดใสและแววตาที่ทำให้ไทม์มีความสุขทุกครั้งที่ได้พบแม้ระยะเวลาจะเนิ่นนานแต่ทุกเรื่องราวยังคงฝังแน่นในความทรงจำ
“จะพักกี่คืน เลือกห้องแบบไหนดีคะ” ซูซี่เปล่งเสียงเรียกอีกครั้งทำให้แขกหน้าหล่อสะดุ้งตัวโยน พี่ซูซี่ส่งสายตาหวานฉีกยิ้มกว้างยื่นไอแพดเปิดภาพห้องพักให้ผู้ที่จะมาพักเลือกดู
“ผมอยากพักห้องด้านหน้าตรงนั้นครับ” ชายหนุ่มชี้มือไปทางบังกะโลติดริมทะเล
ห้องพักห้องที่ 1 นั้นเต็มไปด้วยความทรงจำและเรื่องราวของเขากับแมวน้อย เรียกได้ว่าเป็นฐานทัพตอนที่ไทม์มาเล่นกับแมวน้อยก็ว่าได้ โดยปกติหากไทม์มาเที่ยวช่วงปิดเทอมที่หัวหินก็มักจะพักที่บ้านคุณอาที่อยู่ในตัวเมืองไม่ไกลจากริมทะเลนัก แต่ช่วงหลัง ๆ อาเห็นบ้านของแมวน้อยทำธุรกิจที่พักริมทะเล และด้วยอยากเอาใจหลานชายจึงอนุญาตให้พักที่นี่ได้ แต่จะมีพี่เปรมชัยเลขานุการคนสนิทของคุณอามาอยู่ดูแลด้วยเสมอหากคุณอาไม่สะดวกมาพักที่นี่
“อ๋อ ได้เลยค่ะ” ซูซี่ยิ้มรับมือเลื่อนเปิดดูผังที่ว่าง
“ผมอยากพักห้อง V1”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ วันนี้ห้อง V1 มีแขกเข้าพักแล้วค่ะ” ซูซี่หน้าถอดสีเพราะเธอลืมทำเครื่องหมายบ่งบอกว่าห้อง V1 มีคนเข้าพักแล้ว ที่สำคัญเป็นลูกชายของเจ้าของอีกด้วย ซูซี่ไม่กล้าเสี่ยงเดินไปบอกให้สายชลเปลี่ยนห้อง เพราะทุกคนต่างจำกันได้ดีว่าสายชลชอบพาเพื่อน พาพี่ชายเล่นห้องที่ 1 มาก จนนายหญิงดุบ่อยครั้ง…
“งั้นไม่เป็นไร เป็นห้องไหนก็ได้ครับ” ไทม์พูดด้วยเสียงเรียบแต่แววตาเจือไปด้วยความผิดหวัง
“ได้เลยค่ะ สักครู่นะคะ” ซูซี่จัดการจองที่พักสำหรับ 1 คืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่กำลังยื่นกุญแจห้องพัก V3
แขกที่มาเข้าพักใหม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมขออนุญาตถามพี่คนสวยหน่อยได้ไหมครับ”
ซูซี่ยิ้มร่าทัดปอยผมที่หูอย่างมีจริต “ได้เลยค่ะ ถามได้ทุกอย่างเลย”
“ไม่ทราบว่าน้อง เอ่อ… ที่เป็นเด็กแฝด ยังอยู่ที่นี่ไหมครับ ?” ไทม์เอ่ยถามด้วยความประหม่า
สิ้นเสียงคำถามนั้นราวกับโลกหยุดหมุน ทั้งซูซี่หรือแม้แต่พนักงานรอบ ๆ ที่ได้ยินต่างทำตัวไม่ถูกไปตาม ๆ กัน
“สักครู่นะคะ…” ซูซี่ยิ้มหน้าเจื่อนก่อนจะให้แขกคนพิเศษนั่งรอที่ล็อบบี้ ซูซี่รีบกดโทรศัพท์โทร.หานายหญิงของเธอให้รีบเข้ามา
ไม่นานนักดาริกาเดินตรงเข้ามายังโต๊ะหน้าล็อบบี้พบชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานสวมสูทผ้าเนื้อดีกับเนกไทสีเรียบ ดวงหน้าหล่อเนี้ยบทว่าดูยังอ่อนเยาว์นักเมื่อเทียบกับบุคลิก
“สวัสดีค่ะ” ดาริกาเอ่ยทักพร้อมยื่นนามบัตรให้กับคนที่รออยู่ก่อนด้วยสีหน้ากังวลใจ
“สวัสดีครับ” รัตติกาลยกมือไหว้ก่อนจะรีบปรายตาอ่านชื่อที่อยู่บนนามบัตรนั้น ดาริกา ธารกิติประยูร กรรมการผู้จัดการบริษัท ม่านฟ้า กรุป
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นเจ้าของรีสอร์ตนี้นะคะ เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณกำลังตามหาใคร หรืออะไรกันคะ ?” ดาริกาพูดด้วยใบหน้านิ่งขรึม รอยยิ้มบาง แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล
รัตติกาลยิ้มกว้างพร้อมกับถามอย่างมีความหวัง “ผมตามหาเด็กผู้ชายฝาแฝดที่อยู่รีสอร์ตนี้ครับ ไม่ทราบว่าน้องเขายังอยู่ที่นี่ไหมครับ ?”
“ไม่ค่ะ ไม่อยู่” ดาริกาตอบเสียงเรียบ พยายามสะกดกลั้นทุกความรู้สึกเอาไว้ เธอไม่แน่ใจว่าผู้ชายที่จู่ ๆ มาตามหาลูกชายทั้งสองคนคือใคร จะมาพรากลูกของเธอไปอีกหรือไม่ สิบกว่าปีที่ดาริกาต้องทนทรมานกับความรู้สึกผิด สิบกว่าปีที่ตามหาลูกชายเท่าไรก็ไม่พบ กระทั่งโชคชะตาทำให้สามแม่ลูกได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก ดาริกาจะไม่ยอมเสียลูก ๆ ของเธอให้ใครอีกแล้ว
“ปกติผมส่งจดหมายมาที่นี่ตลอด น้องก็ตอบกลับหาผมตลอด มีเพียงแค่ 2-3 ปีหลังมานี้ที่ผมขาดการติดต่อ น้องไม่อยู่ที่นี่จริง ๆ หรือครับคุณน้า” ไทม์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเศร้า ความหวังทั้งหมดที่มีของเขาเริ่มพังทลายลงอย่างช้า ๆ
“น้าขอถามอะไรหน่อย… คุณรู้เรื่องเด็กแฝดได้ยังไง ?”
“เมื่อสมัยเด็ก ๆ ผมแวะมาหาน้องทุกปิดเทอมเลยครับ แต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนผมต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศไม่ค่อยได้กลับประเทศไทย ก็เลยไม่ได้แวะมาเที่ยวหาน้อง มีแค่ติดต่อกันผ่านจดหมายเท่านั้น”
“นี่เจ้าชายน้อยหรือลูก ?” ดาริกาขมวดคิ้วสงสัย เธอก็ไม่แน่ใจว่าเด็กชายชื่ออะไรเพียงแต่เรียกตามลูกของเธอเท่านั้น
“ดีใจจังครับ คุณน้าจำผมได้แล้วใช่ไหม ? ตอนนี้ผมตัวไม่น้อยนะครับ ผมโตแล้ว” ไทม์ลูบท้ายทอยแก้เขิน
ความสงสัยของดาริกาได้ถูกคลี่คลายออกไปอย่างง่ายดายเมื่อผู้ชายตรงหน้าตอนนี้คือเพื่อนของลูกตั้งแต่สมัยเด็ก และเธอก็เคยพูดคุยทำขนมให้กินอยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงหลังเห็นเด็กหนุ่มหายไป
ทันทีที่เจ้าของรีสอร์ตเอ่ยเรียกฉายาที่มีแต่คนที่นี่เท่านั้นที่รู้ ความหวังที่พังทลายครืนเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังที่จะพบกับแมวน้อยใกล้จะเป็นจริงแล้วสินะ…
“ใช่ครับ ผมชื่อไทม์นะครับ ขออนุญาตแนะนำตัวกับคุณน้าอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ ผมชื่อรัตติกาล ปุญคีตชัย” ไทม์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อสูทหยิบนามบัตรส่งให้กับดาริกาด้วยท่าทางนอบน้อม…
“แหม โตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วน้าจำไม่ได้เลย ก็คิดว่าเป็นพวก…”
“พวกไหนหรือครับ ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ กินอะไรก่อนไหม วันนี้แวะมาเที่ยวเหรอจ๊ะ ดีเลยวันธรรมดาหาดเงียบคนไม่เยอะ”
“ผมแวะมาหาน้องแมวน้อย ว่าแต่น้องไม่อยู่ที่นี่แล้วหรือครับ ย้ายไปไหนครับ คุณน้าพอจะบอกผมได้ไหม ?” ไทม์ถามด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
“นายหญิงขา… แย่แล้ว ๆ ค่ะ” ซูซี่เดินตรงมาทางดาริกาแล้วเรียกเสียงตื่นด้วยท่าทางรีบร้อน
“ว่ายังไงซูซี่ เห็นไหมฉันคุยกับแขกอยู่ เธอนี่เสียมารยาทจริง ๆ” นายหญิงเอ็ดลูกน้องจนหน้าถอดสี
“เอ่อ… สักครู่นะจ๊ะ” ดาริกาหันไปบอกไทม์
ซูซี่กระซิบบางอย่างกับเจ้านายก่อนจะเดินออกไปอย่างรีบร้อน
“คือพอดีทางรีสอร์ตเกิดปัญหานิดหน่อย น้าต้องขอตัวก่อน มีอะไรติดต่อน้าตามนามบัตรได้นะ วันนี้น้าให้ส่วนลดพิเศษ ยังไงเดี๋ยวคุยกันใหม่นะจ๊ะ”
ดาริการีบเดินไปกับพนักงานสาวสองคนสวย ไทม์มองแสงแห่งความหวังหายวับไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มถอนหายใจยาวมองทะเลด้วยความเคว้งคว้าง
“พี่สายฟ้า วันนี้อะโคตรอิ่มเลย เราไปนั่งพักที่เดิมกันไหม ? ที่ประจำชลอะ” สายชลเดินเข้ามายังด้านหน้าของรีสอร์ตโดยตรงเข้ามานั่งพักที่ส่วนด้านหน้าที่พวกเขานั่งกันเมื่อช่วงบ่าย
“อื้ม ยังไงก็ได้” สายฟ้าตอบเสียงเรียบ ขณะที่เด็กหนุ่มมองไปยังจุดที่นั่งกันเมื่อบ่าย เห็นชายหนุ่มคุ้นหน้านั่งอยู่ก่อนแล้ว และเป็นคนเดียวกันกับที่สายฟ้าอยากต่อยหน้าให้คว่ำเมื่อสักครู่ หลังจากฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่สายชลเล่าให้ฟัง คนนี้ชื่อไอ้ไทม์ สายฟ้าจำได้อย่างขึ้นใจ !
“พี่ฟ้าชอบนวดสปาไหม ที่นี่มีนวดด้วยนะ” สายชลยังคงพูดคุยสนุกสนานกับพี่ชายโดยไม่ทันได้สังเกตว่าที่ประจำของพวกเขามีแขกไม่ได้รับเชิญที่คิดถึงมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไม่อะ ไม่ชอบ” สายฟ้าตอบด้วยสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิด
“ไม่ชอบนวดเหรอครับ เหมือนชลเลยมันจั๊กจี้เนอะ”
“ไม่ใช่” พี่ชายฝาแฝดเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สายตาจ้องไปที่โต๊ะประจำ
“อ้าว… แล้วไม่ชอบอะไรอะ” สายชลขมวดคิ้วยุ่ง เด็กน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ พี่ชายถึงอารมณ์เสียได้ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้ยังคุยกันดีอยู่แท้ ๆ
“ไม่ชอบขี้หน้าไอ้เหี้ยนั่น !!!” สายฟ้าพูดพร้อมปรายตามองไปยังต้นเหตุของความหงุดหงิด สายชลจึงหันไปตามทิศทางที่พี่ชายมองก็เริ่มเข้าใจที่มาของอาการหัวเสียพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง ความคิดถึงผสานกับความตื่นเต้น ทุกอย่างมันแทบจะระเบิดออกมานอกอก
‘นี่ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าชายของชลจะมาอยู่ตรงนี้ ไม่สิ พี่ไทม์ยังไม่รู้เรื่องนี้ เราจะเอายังไงดีนะ โอ๊ย เดี๋ยวค่อยคิดแล้วกันเนอะ’
“ไอ้ชล ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“อะไรเหรอพี่ฟ้า…”
“อะไรจะตื่นเต้นดีใจขนาดนั้น โอ๊ย รำคาญเว้ย” สายฟ้าบ่นอุบพลางเอามือกุมที่อกด้านซ้ายของตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด “ตรงไหนนะที่บอกว่าสปา”
“พี่สายฟ้าเดินเข้าไปถามพี่ซูซี่ได้เลยนะ อ้าว ไหนว่าไม่ค่อยชอบ”
“ดีกว่าให้กูไปไฝว้กับไอ้เหี้ยนั่น” สายฟ้ามองไทม์ด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่สายฟ้าเข้าใจดีว่าน้องชายทั้งคิดถึงและอยากคุยกับผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน ถ้าเรื่องการรอคอยและความหวังที่จะได้พบใครสักคน เขานี่ละเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุด เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สายฟ้าก็ยังเฝ้ารอจะได้พบกับคนในฝันอีกครั้ง อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเขาคนนั้นชื่อ รุจ เป็นเจ้าของร้านกาลเวลา และเชื่อว่าเร็ว ๆ นี้ต้องได้พบกันอย่างแน่นอน
“เรียกเขาดี ๆ สิ เขาชื่อพี่ไทม์” สายชลพูดด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายใจ มองพี่ชายด้วยสายตาดุ
“มันเป็นพ่อกูเหรอ ต้องเรียกดี ๆ กูจะเรียกของกูแบบนี้แหละ ใครจะทำไม ถ้าพูดมากงั้นกูจะอยู่เป็นก้างขวางคอแบบนี้ละ เอาไหม ?”
“โธ่ พี่สายฟ้า นี่น้องนะ” สายชลอ้อนพี่ชายพลางกอดแขนแกร่งเขย่าเบา ๆ แน่นอนว่าพี่สายฟ้าก็ต้องใจอ่อนให้น้องน้อยอีกครั้งหนึ่ง
จังหวะที่ทั้งสองพี่น้องเถียงกันนั้น คนที่นั่งอยู่ก่อนก็ได้ยินเสียงเอะอะจึงหันมามอง ทั้งสายชลและไทม์จึงได้สบประสานสายตากัน…
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?