ตอนที่ 35ก้าวสุดท้าย… ของการรอคอย

แสงแดดยามบ่ายยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ผิวขาวอมเหลืองของสายชลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงไหม้ พวงแก้มใสแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงปลั่ง ไอร้อนจากผืนทรายระอุแผดขึ้นมาจนคนตัวเล็กรู้สึกแสบร้อนไปทั่วผิว แต่โอกาสดีที่ทั้งสายชลและสายฟ้าได้มาเดินเล่นกันไม่ได้มีบ่อย ๆ สายชลจึงไม่ปริปากบ่นว่าแสบผิวมากเท่าไร เขายังคงฉีกยิ้มอย่างสดใสให้กับกล้องโดยมีตากล้องกิตติมศักดิ์ พี่ชายของเขานั่นเอง

สายฟ้ามองหน้าสายชลผ่านเลนส์กล้อง ปรากฏภาพคนที่หน้าคล้ายเขาราวกับภาพเหมือน หากแต่คนที่อยู่ตรงหน้าสดใสร่าเริง ยิ้มเก่งกว่า รอยยิ้มที่สดใสนั่นเข้ากันกับวิวทะเลและท้องฟ้าตอนนี้จริง ๆ

สายฟ้าไม่เคยรู้สึกเป็นอิสระทางความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสายฟ้าอยู่กับพ่อมาตลอด พ่อสอนให้สายฟ้าเป็นคนเก็บอารมณ์ มองแต่เรื่องที่สำคัญ พูดให้น้อยแต่รับฟังให้เยอะ และไม่เชื่ออะไรจนกว่าจะพิสูจน์ได้หรือมีผลประโยชน์ต่อกันมากพอ เพราะทุกอย่างมันอาจจะมีผลกับทั้งตัวเขาและธุรกิจ สายฟ้าโตมากับคำสอนของพ่อที่ให้เข้มแข็ง สมัยตอนสายฟ้ายังเด็กแม้จะเสียใจมากแค่ไหนพ่อก็ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกสายฟ้าเลย พ่อมักจะพูดเสมอว่าเป็นลูกผู้ชายอย่าเก็บเอาอารมณ์มาใส่ใจ ให้มองไปข้างหน้า…

ทว่าภาพสายชลตรงหน้าที่แสดงอาการงอแงอยู่ตอนนี้มันขัดกับสิ่งที่สายฟ้าถูกพร่ำสอนมาตลอดเกือบ 19 ปี สายชลกำลังแสดงสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ ริมฝีปากบางเริ่มพร่ำบ่นถึงอากาศร้อน พูดถึงขนมอร่อย ๆ น้ำแดงมะนาวโซดาที่หอมสดชื่น สายชลไม่แม้แต่จะเก็บความรู้สึกใด ๆ เลย สายฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าสายชลเติบโตมา แบบไหน ด้วยบรรยากาศอย่างไรถึงหล่อหลอมให้สายชลดูเป็นเด็กที่มีความร่าเริงแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งอย่างลงตัว ผิดจากเขาที่แข็งกร้าวจนเกือบลืมความรู้สึกที่อ่อนโยนไปเสียหมด สายฟ้าพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นเก็บกดเอาไว้ ตีหน้าขรึม

“พี่สายฟ้า ไหนชลขอดูรูปหน่อยสิ” สายช ลปาดเหงื่อเดินตรงเข้ามากอดแขนสายฟ้าทำท่าทางไร้เรี่ยวแรงอ้อนพี่ชาย ขณะที่สายฟ้ามองคนเด็กกว่าด้วยความเอ็นดู

“อื้ม”

“ร้อนอะเรารีบเข้าไปรอคุณแม่กันเถอะ” สายชลดึงกล้องถ่ายภาพมาคล้องคอตัวเองก่อนจะฉุดรั้งแขนพี่ชายไปยังที่รีสอร์ต

สายฟ้าคลี่ยิ้มให้สายชลเล็กน้อยแล้วพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงให้คนเด็กกว่าเดินนำไป เพราะที่นี่เป็นถิ่นของสายชลและตัวเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่าจนหัวใจเต้นโครมคราม สิ่งที่สายฟ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิต ผู้เป็นแม่ที่เฝ้ารออยากจะพบหน้าสักครั้งมาตลอด อีกไม่นานจะได้พบกันแล้ว

ระหว่างเดินเข้าไปยังรีสอร์ตซึ่งเป็นธุรกิจของทางบ้านสายชลที่อยู่มานานก่อนสายชลจะเกิดเสียอีก ป้านิดเคยบอกว่าเป็นธุรกิจที่พ่อกับแม่ร่วมกันสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นตัวแทนของความรัก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคุณแม่ถึงต้องเลี้ยงสายชลมาเพียงลำพัง แม้สายชลจะถามคุณแม่หรือหลอกถามป้านิดก็ไม่มีใครเล่าเรื่องในอดีตให้สายชลฟังเลย

รีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาว เป็นรีสอร์ตติดทะเล ด้านหน้าส่วนต้อนรับจะมีระเบียงยืนออกมาสำหรับผู้ที่เข้ามาพักอยากกินอาหารรับลมทะเล โดยจัดโต๊ะเก้าอี้มุมพักผ่อนสำหรับให้แขกและนักท่องเที่ยวพักผ่อนตามอัธยาศัย ถัดเข้าไปเล็กน้อยเป็นส่วนของล็อบบี้และจุดเช็กอิน ที่นี่ยังมีเมนูอาหารไทย อาหารทะเลแบบง่าย ๆ แต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันและน้ำจิ้มสูตรเด็ดจากป้าสาแม่ครัวของที่นี่ การตกแต่งของรีสอร์ตเป็นสไตล์โมเดิร์นผสมบาหลี ทำให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมักชื่นชอบที่นี่จนไม่อยากกลับเลยทีเดียว ที่นี่มีห้องพักเพียง 12 ห้องเท่านั้น ซึ่งแต่ละห้องก็เป็นเหมือนบังกะโลส่วนตัว โดยมีเพียง 4 หลังที่หันหน้าออกทะเล แต่ก็ถือว่าที่นี่เป็นที่ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง

แม้รีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาวเป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าขนาดเล็กที่สุดของบ้านสายชล แต่ก็เป็นกิจการที่คุณแม่และสายชลรักที่สุด เพราะพนักงานทุกคนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัว และพี่ ๆ ทุกคนต่างก็ช่วยกันเลี้ยงสายชลมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย นอกจากทุกคนจะรักสายชลในฐานะคุณหนูของที่นี่แล้ว ยังเอ็นดูสายชลที่ชอบแวะเวียนมาช่วยดูแลแขกต่างชาติที่แวะมาพักที่นี่อยู่เสมอ

“พี่สายฟ้าพักที่รีสอร์ตดีกว่าเนอะ เดี๋ยวชลเลือกห้องทางโน้นให้” สายชลชี้นิ้วไปทางห้องที่อยู่ไกลสุดของหาด ขนาดไม่ใหญ่มากนักมีระเบียงหน้าบังกะโลและเปลให้รับลมทะเล

“ห้องไหนพี่ก็นอนได้” สายฟ้าตอบด้วยเสียงนิ่งขรึม

“โธ่ ไม่ได้ดิ มาเที่ยวบ้านน้องทั้งทีจะให้นอนห้องธรรมดาได้ยังไงกัน” สายชลพูดหน้าตาจริงจัง

“กูพักกับมึงที่บ้านก็ได้นะ ถ้าคนที่บ้าน… เอ่อ… เขาโอเค” สายฟ้าเผลอขมวดคิ้วแววตาแฝงด้วยความกังวล

“เอาน่าเดี๋ยวชลแวะมานั่งเล่นด้วย” สายชลกดยิ้มลึกที่มุมปาก มือเรียวดึงแขนแกร่งให้ตามเขาไปที่นั่งมุมโปรดที่เขาชอบ

ริมระเบียงด้านข้างเป็นมุมที่สายชลชอบมากที่สุด เพราะเป็นมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่าน สายชลชอบเอาหนังสือมาอ่านตรงนี้ หลายครั้งที่เขาชอบพาเพื่อน ๆ มาติวหนังสือด้วยกัน และเป็นมุมที่เห็นพระอาทิตย์ตกดินสวยที่สุด สายชลก็อยากให้สายฟ้าได้เห็นสิ่งสวย ๆ งาม ๆ แบบที่เขาเห็นมาตลอด ถึงสายฟ้าจะดูนิ่งขรึมแต่สายชลพอมองออกว่าสายฟ้ากำลังรู้สึกไม่มั่นใจและประหม่าอย่างมาก เพราะเมื่อไรที่สายฟ้ากังวลในเรื่องไหนก็ตาม เขามักจะเผลอเลียริมฝีปากพร้อมกับขมวดคิ้วบ่อย ๆ และถ้าเครียดขั้นสุดสายฟ้าก็จะเงียบไม่พูดอะไรเลย

สายชลยังไม่แน่ใจว่าที่พี่ชายฝาแฝดตนเป็นอยู่ตอนนี้เป็นความเครียดระดับไหนกันแน่ แต่ไม่ว่าวันนี้ผลจะเป็นอย่างไร สายชลบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทอดทิ้งสายฟ้าแน่นอน แม้ว่าพี่ชายจะต้องการเขาหรือไม่ก็ตาม

สายชลเดินมายังโต๊ะประจำหันหน้าออกรับลมทะเล ส่วนสายฟ้าหันหลังโดยเขาให้เหตุผลว่าไม่ชอบที่ลมตีหน้ามันทำให้เขาแสบตา นั่นยิ่งทำให้สายชลรู้สึกเสียดาย ‘อะไรกันพี่สายฟ้าเนี่ย ผมกะให้พี่สายฟ้านั่งมุมที่ดีที่สุด วิวดีที่สุดแล้วนะเนี่ย ดันมาแสบตาลมทะเลซะอย่างนั้น แต่ก็เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกหลายวัน มาทะเลจะไปกลัวอะไรกับลมทะเล’

ทุกการเข้าออกไม่อาจรอดพ้นจากสายตาพี่ซูซี่ สาวสองร่างท้วมที่มีเสียงสดใสและรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์เดินถลาเข้ามาหาสายชล เสียงแหลมทักทายที่ดังมาก่อนตัวเจ้าหล่อนจะมาถึง พร้อมกับน้ำแดงมะนาวโซดาที่ถือมาด้วยนั้น เอียงไปมาจนทำให้คนมองอดกังวลไม่ได้ว่าจะหกก่อนจะถึงโต๊ะหรือไม่

“น้องชลขา… พี่ซี่รู้ว่าน้องชลของพี่จะมาเลยเตรียมน้ำแดงมะนาวโซดาของโปรดไว้รอเลยค่ะ…” สาวสองร่างท้วมเดินยิ้มร่าพร้อมกับแก้วน้ำแดงทรงสูงตรงมายังโต๊ะ

ซูซี่ชะงักงันก่อนจะมาถึงโต๊ะประมาณ 3 ก้าว เธอนิ่งตะลึงงันราวกับลมทะเลพัดเอาวิญญาณของเธอไปด้วย

‘ผมก็เข้าใจได้อยู่หรอกนะ ใครเห็นแบบนี้คงต้องนึกว่าเจอผีกลางวันแสก ๆ เป็นแน่ แต่ผีอะไรจะหน้าตาดีอย่างพวกเราทั้งสองคน’ สายชลรีบหันไปประคองซูซี่ที่ทำท่าจะเป็นลม แข้งขาอ่อนนั่งมองหน้าสายฟ้าสลับกับสายชลไปมา มือข้างหนึ่งกุมที่อกพร้อมกับน้ำตาปริ่ม ‘นี่พี่ซูซี่แกเป็นอะไรไปนะ’

“เอ่อ สวัสดีครับ” สายฟ้าเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับยกมือไหว้ซูซี่

“พี่ซูซี่เป็นไรครับ นี่พี่สายฟ้าครับ”

“ระ… รู้ รู้จ้ะ สายฟ้า คุณสายฟ้า ฮื่อ” ซูซี่พูดพลางเอาผ้าขี้ริ้วที่จะเช็ดโต๊ะซับน้ำตา พร้อมกับสั่งน้ำมูกดังฟืด

“อี๋ พี่ซูซี่ สกปรกอะ”

“ขอโทษค่ะ ๆ คุณผู้หญิงรู้แล้วหรือยังคะ” ซูซี่สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเอ่ยถามถึงนายหญิงของเธอ

“ผมโทร.บอกแม่แล้วฮะ อีกสักพักน่าจะมาถึงแล้ว” สายชลยิ้มบอกพลางประคองซูซี่ให้ลุกขึ้น

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเตรียมยาดม ยาขม ยาหม่องรอก่อนเลยแล้วกันนะคะ” ซูซี่พลางเดินกึ่งวิ่งไป สักพักเธอหันขวับกลับมามองหน้าสายฟ้าพร้อมกับเม้มปากแน่น

“คุณสายฟ้าขา พี่ซี่ขอกอดสักทีหนึ่งนะคะ”

สายฟ้าตกใจกับท่าทีของซูซี่แต่มือหนาก็ตบหลังปุ ๆ อย่างมึนงง

“พอแล้วมั้งพี่ซูซี่ แหม เห็นคนหล่อไม่ได้เลย ทีผมไม่เห็นจะกอดบ้างเลย” สายชลพูดก่อนจะกอดอกทำหน้าตามู่ทู่งอนซูซี่

“โธ่ คุณหนูของพี่ มามะ ยังขี้อ้อนเหมือนเดิม ส่วนอีกคนก็นิ่งไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ” ซูซี่โผเข้ากอดสายชลก่อนจะขอตัวไปเตรียมของด้านใน

“เดี๋ยวก่อนครับพี่ซูซี่”

“คะ ?”

“เมื่อกี้พี่บอกว่า เหมือนเมื่อก่อน ?” สายชลเน้นเสียงจ้องมองซูซี่ราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

“ผมเคยถามพี่มาตลอดเรื่องอดีตของผม ทำไมพี่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย พวกพี่ปิดบังผมเหรอครับ” สายชลเอ่ยด้วยเสียงตึงเครียด

“คุณหนูเดี๋ยวรอพบคุณผู้หญิงแล้วถามทีเดียวดีกว่านะคะ พี่ซูซี่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พี่ไปก่อนนะคะ” ซูซี่พูดด้วยเสียงที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่ามีพิรุธ

“นั่นใครเหรอ” สายฟ้าถาม

“พี่ซูซี่เป็นพนักงานต้อนรับของที่นี่ฮะ เอาจริง ๆ เป็นเพื่อนเล่นผมตั้งแต่จำความได้ พี่ซูซี่นิสัยดี คุยเก่ง เวลาสปีกอิงลิชนะ พี่สายฟ้าต้องฟังสำเนียงดีที่หนึ่งเลย แขกต่างชาติถูกใจเพียบ แต่พี่ซูซี่อาภัพรักก็เลยครองตัวเป็นโสด”

“แหม กูถามนิดเดียวตอบไปถึงชีวิตรักเขาเลยเหรอมึงเนี่ยนะ” สายฟ้ายกยิ้มมุมปากก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ

“ว่าไงจ๊ะ เด็ก ๆ รอแม่นานไหม วันนี้แม่อบคุกกี้ชาไทยของโปรดชลมาด้วยนะลูก” ดาริกาเอ่ยทักทายลูกชายและเพื่อนลูกด้วยเสียงกระตือรือร้น เธอก้าวเท้าฉับพร้อมกับเสียงส้นสูงเดินตรงมายังโต๊ะด้านในสุดที่เป็นโต๊ะโปรดของเธอกับลูกชาย

“สวัสดีครับ/สวัสดีครับ คุณแม่”

“รอแม่นานไหมจ๊ะ โทษทีนะ แม่มัวแต่ทำคุกกี้เพิ่มก็เลยนานไปหน่อย” ผู้เป็นแม่วางกล่องขนมบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้ารับไหว้เด็กหนุ่มทั้งสองคน

ดาริกาสบตากับสายฟ้าก่อนม่านน้ำตาจะพรั่งพรูลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดลงได้โดยง่าย ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันจนรู้สึกจุกกลางอกแทบจะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ใบหน้าดาริการ้อนผ่าว หัวสมองขาวโพลนไปหมด ก่อนที่จะใช้หลังมือเรียวปาดน้ำตาออกเพื่อจะได้มองเห็นหน้าสายฟ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คุณแม่ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ขณะที่มือขาวเรียวทั้งสองข้างสั่นเทาจิกลงบนหลังมือแน่นจนเกิดสีแดงช้ำ ความเจ็บแสบหลังมือเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่าภาพลูกชายคนโตที่หายไปจากอ้อมกอดกลับมาปรากฏตรงหน้าเธอแล้วจริง ๆ ลูกชายที่เธอเฝ้าตามหามาตลอด ลูกชายคนโตที่เธอรักไม่ต่างจากสายชล

“สวัสดีครับ” สายฟ้าเอ่ยทักทายอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบ

ดาริกาหันไปสบตาสายชลพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลอาบลงทั้งสองแก้ม เธอสะกดกลั้นความรู้สึกที่ทั้งสุขและโหยหา คุณแม่พยายามกลั้นสะอื้นจนไหล่สั่นเทาใบหน้าแดงก่ำ ดาริกาทำตัวไม่ถูก ทั้งที่ผ่านมาเธอใช้เวลาแทบจะทั้งชีวิตเพื่อตามหาลูกอีกคนของเธอ มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูด มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม และมีความในใจมากมายที่คิดมาตลอด หากเมื่อไรที่เธอหาลูกชายอีกคนของเธอพบ เธอจะกอดให้หายคิดถึงและพร่ำบอกกับลูกชายคนโตซ้ำ ๆ ว่า เธอรักสายฟ้ามากมายแค่ไหน แต่ทุกสิ่งที่เธอคิดไว้กลับไม่กล้าที่จะแสดงออกมาในทันทีเพราะความรู้สึกผิดกับสายชล

ดาริกาปิดบังเรื่องของสายฟ้ามาตลอด ไม่ได้ดูแลสายชลเท่าที่ควร แต่กลับเป็นสายชลที่เป็นคนพาสายฟ้ามาหาเธอ

ดาริกาใช้เวลาตามหาสายฟ้ามาโดยตลอด ทั้งจ้างนักสืบเอกชน คอยมองและตามหาสถานที่ต่าง ๆ เวลาที่เธอไปทำงานต่างจังหวัดหรือแม้แต่ต่างประเทศ ดาริกาใช้เวลามากมายเหลือเกินที่พยายามทุ่มเทหาลูกชายอีกคนของเธอ แต่ในเวลานี้สายฟ้า ลูกชายฝาแฝดคนโตกลับมาอยู่ตรงหน้าเธอ และสายชลเป็นคนที่พาพี่ของเขามา เธอลำดับเรื่องราวที่ผ่านมาพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าว…

ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามายังคนเป็นแม่ ดาริการู้ตัวดีว่าเธออาจจะเป็นแม่ที่ไม่ได้ดีมากอย่างที่ควรจะเป็น แทนที่เธอจะทำใจยยอมรับการหายตัวไปของลูกชายคนโต ดูแลฟูมฟักลูกชายคนเล็กด้วยความรักและความอบอุ่น แต่ความเห็นแก่ตัวของคนเป็นแม่อย่างดาริกา ที่เฝ้าแต่คิดถึงสายฟ้าพยายามทุ่มเทเวลาตามหาลูกชายเท่าที่ทำได้ ทั้งที่เธอรู้อยู่เต็มอกว่า หากผู้ชายคนนั้น… พ่อของลูก คิดจะปิดบังหรือไม่ต้องการให้เธอพบลูกชายไปตลอดทั้งชีวิต เขาก็ย่อมทำได้… ส่งผลให้เด็กน้อยผู้น่าสงสารอย่างสายชลจึงไม่ได้รับความอบอุ่นเท่าที่ควร เธอโผเข้ากอดสายชลพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่เก็บอาการ ทั้งความสุขที่ได้เจอลูกชายคนโต และความทุกข์ที่ทำผิดกับสายชลลูกคนเล็ก รวมถึงความลับที่ปกปิดลูกชายทั้งสองคนไว้…

“คุณแม่ครับ โอ๋ ๆ นะ ไม่ร้องนะ” สายชลกอดแม่แน่นพลางลูบหลังเบา ๆ อย่างที่แม่ชอบทำกับเขาเวลาสายชลรู้สึกเสียใจ และไม่ลืมที่จะบอกรักแม่อย่างที่แม่ทำเสมอ

“แม่ไม่ร้องนะครับ ชลรักแม่ที่สุด โอ๋ ๆ นะ” สายชลซบหน้าลงบนลาดไหล่ผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน แม้ว่าแม่จะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ดูแลสายชลเหมือนกับบ้านอื่น ๆ เพราะเธอต้องทำงานหนักเพื่อดูแลสายชลและพนักงานอีกหลายสิบหลายร้อยชีวิต บางครั้งเขาน้อยใจบ้าง แต่เขารู้ว่าแม่รักเขามาก หลายครั้งเวลาที่แม่ให้เขาอาจมีไม่มากนักแต่แม่ก็ใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนั้นอย่างมีคุณภาพเสมอ ทั้งใช้เวลาพูดคุยถามเรื่องเพื่อน เรื่องเรียน และความชอบ หลายครั้งสองแม่ลูกชอบทำกับข้าวทำขนมด้วยกัน ถึงเป็นเวลาสั้น ๆ แต่สายชลก็มีความสุข เขาจึงไม่รู้สึกขาดความรัก เขาก็พยายามปลอบใจตัวเองแบบนี้เสมอเลยละ ถึงแม้จะเหงามากแค่ไหนก็ตามที

“แม่ขอโทษ” แม่พร่ำเอ่ยคำขอโทษซ้ำ ๆ พร้อมกับร้องไห้ราวกับเด็ก ๆ

“ขอโทษอะไรครับ” สายชลไม่เข้าใจว่าสิ่งที่แม่พูดหมายถึงอะไร หรือรู้สึกผิดที่ต้องแยกจากสายฟ้า ถ้ารู้สึกผิดกับสายฟ้าเขาคิดว่าแม่น่าจะคุยกับสายฟ้ามากกว่า เพราะดูแล้วพี่ชายเขาก็มีเรื่องมากมายที่อยากคุยกับแม่ ติดแค่ว่าแม่ยังคงร้องไห้สะอื้นเป็นเด็ก ๆ ตอนนี้เหล่าพนักงานต่างก็มองมาที่พวกเขากันหมดแล้ว

แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งเสมอไม่ว่าจะเจอมรสุมธุรกิจมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรตั้งแต่สายชลโตมาผมยังไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อนเลย สงสัยว่าครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องที่หนักหนาจริง ๆ การที่แม่ร้องไห้ออกมาเขาว่าเป็นการแสดงออกถึงความเข้มแข็งอย่างหนึ่ง ความเข้มแข็งไม่ได้จำเป็นที่จะต้องกลั้นความรู้สึกเสมอไป สายชลไม่รู้หรอกว่าสิ่งไหนหรืออะไรที่แม่เจอมา เขาไม่รู้ว่ามันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ที่แม่อดทนจนถึงวันที่ร้องไห้ออกมาได้ ถือว่าแม่เก่งที่สุดแล้ว การร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเป็นคนอ่อนแอเสมอไป แต่เป็นการพังทลายช่องว่างและกำแพงที่กั้นความรู้สึกมากกว่า…

สายชลอดคิดถึงไทม์ไม่ได้จริง ๆ ไทม์เป็นคนบอกเขาในเรื่องนี้ว่าการร้องไห้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายหรือแสดงความอ่อนแอ หากแต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าทุกคนยังคงเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกเจ็บได้ ร้องไห้เป็น และการที่ร้องไห้กับใครสักคนนั้นก็หมายถึงคนคนนั้นได้ทลายกำแพงที่กั้นออกแล้วอย่างช้า ๆ ไทม์บอกกับสายชลในวันที่สายชลคิดถึงบ้านมากที่สุด และปลอบเขาในวันที่เขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งจะไม่ได้เจอไทม์อีก

คุณแม่กอดสายชลแน่นร้องไห้อีกครั้งจนตัวโยน สายฟ้ามองดูคนที่สายชลเรียกว่า‘แม่’ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนจะพร่าเลือน แววตาแบบนี้…

สายฟ้าคุ้นเคยแต่ก็เหมือนจะเป็นเพียงความฝัน สายฟ้ามองดูน้องแฝดกอดปลอดแม่เขาจมอยู่กับห้วงความคิดกระทั่งสายชลบอกให้แม่คุยกับสายฟ้าบ้าง ท่านใช้หลังมือเช็ดปาดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้า แววตาที่อบอุ่นมองมายังสายฟ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่นมีบ้างตามวัยแต่ยังดูดีกว่าคนรุ่นเดียวกัน แม่เสยผมจัดทรง ก่อนจะสูดลมหายใจและพรูออก ดาริกามองสายฟ้าอีกครั้งก่อนจะพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ แม้จะเป็นลูกชายอีกคนแต่การที่สายฟ้าจากอ้อมอกของเธอไปนาน ๆ ทำให้การปรับตัวเข้าหากันค่อนข้างยาก และสายฟ้าเป็นคนประเภทพูดไม่เก่ง ยิ่งกับผู้ใหญ่ด้วยแล้ว หากไม่ใช่การคุยธุรกิจ สายฟ้าแทบจะกลายเป็นคนเงียบไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งต่างจากสายชล รายนั้นคุยเก่งจนลิงหลับ แต่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว

ดาริกาพูดกับสายฟ้าพลางยิ้มหวาน “สายฟ้าเรียกแม่ว่า แม่ นะจ๊ะ”

“ครับ มะ… แม่” สายฟ้าพูดอย่างเคอะเขิน

สายฟ้าเคยแอบคิดมาตลอดว่าหากวันหนึ่งเขาเจอแม่ สายฟ้าอยากกอดแม่ แล้วเรียกแม่จนกว่าจะเหนื่อย นอนกอดกันทั้งคืนจนกว่าจะหายคิดถึง แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความคิดในวัยเด็กเท่านั้น ไม่ใช่ว่าตอนนี้สายฟ้าไม่อยากพบกับแม่ แต่ความที่เขาแสดงออกทางความรู้สึกไม่เก่ง รวมถึงไม่รู้จะชวนคุยอะไรยิ่งทำให้บรรยากาศดูอึมครึม

“สายฟ้า สายชลมีอะไรอยากถามแม่ไหมจ๊ะ” ดาริกาหันไปหาสองพี่น้องสลับกัน

“เอ่อ…/เอ่อ…” สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะทำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ

“เอาแบบนี้ดีกว่า ลองชิมคุกกี้ชาไทยของแม่หน่อยไหม อร่อยนะ” แม่พูดพลางเปิดกล่องคุกกี้ที่บรรจงทำ สายชลรีบหยิบแล้วเคี้ยวจนแก้มป่อง ขณะที่สายฟ้าได้แต่มองแต่ก็ยังไม่หยิบเข้าปาก

“ทำไมหรือจ๊ะ” คุณแม่ขมวดคิ้วมองหน้าสายฟ้าที่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เอ่อ จะเป็นไรไหมถ้าผมจะเอาส่วนนี้ให้สายชล” สายฟ้าเอ่ยกับแม่เสียงอ่อน

คุณแม่คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะพึมพำ “สายฟ้าไม่ชอบกินขนมนี่นา เมื่อก่อนสายฟ้าก็แบ่งขนมให้น้องแบบนี้ตลอดเลย”

“ขอบคุณครับพี่สายฟ้า” สายชลรับขนมจากมือสายฟ้าก่อนจะปล่อยให้แม่พูดคุยกับพี่ชายไปเรื่อย ๆ

ถึงสายฟ้าจะรู้สึกอึดอัดในช่วงแรก แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรักและความเป็นห่วงที่แม่มีให้เขา แม้จะยังรู้สึกไม่คุ้นชินแต่สายฟ้าก็ไม่ได้ปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง สายฟ้ารู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รับความรักจากแม่ และเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสายชลถึงมีความอ่อนโยนมากเหลือเกิน สายชลน่ะเหมือนแม่จริง ๆ ส่วนสายฟ้าเองคงต้องยอมรับว่าคล้ายกับพ่อราวกับถอดแบบกันมา

“วันนี้นอนบ้านกับแม่ไหมจ๊ะ” แม่เอ่ยชวนสายฟ้า

แฝดผู้พี่ทำสีหน้าอึดอัด เขาไม่อยากจะปฏิเสธความหวังดีจากแม่ แต่สายฟ้ารู้สึกอยากพักที่รีสอร์ตมากกว่า

สายชลสบตาพี่ชายก่อนจะพอเข้าใจสิ่งที่สายฟ้าอยากจะสื่อ “คุณแม่ครับ พี่สายฟ้าจะพักบ้านหลังที่ 1 ครับ” สายชลมองหน้าคนตรงหน้าแล้วตกอยู่ในห้วงความคิด ‘พี่สายฟ้าน่ะ เป็นคนประเภทรักความเป็นส่วนตัวมากที่สุดและถ้าไปอยู่ที่บ้านด้วยกันไหนจะมีผม มีคุณแม่อีก ผมกลัวว่าพี่สายฟ้าจะอึดอัด เอาเป็นว่าค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากันดีกว่า แบบค่อยเป็นค่อยไปเนอะ’

“แล้วชลจะนอนที่บ้านหรือพักกับพี่ฟ้าล่ะจ๊ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกชายคนน้อง

“ชลคงนอนที่บ้านครับแต่จะไปนั่งเล่นกับพี่สายฟ้าก่อน” สายชลพูดพลางยิ้มอย่างสดใส

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมดูแลน้องเอง” สายฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ฝากด้วยนะจ๊ะ ยังไงวันนี้กินข้าวด้วยกันที่นี่นะ เดี๋ยววันนี้แม่จะลงครัวทำกับข้าว ดูซิว่ายังชอบกินเมนูเดิมอยู่ไหม ?” แม่พูดพร้อมกับเตรียมลุกให้ทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพังพี่น้อง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังล็อบบี้ทักทายพนักงาน

“คุณดาขา โอ๊ย ซูซี่คิดว่าคุณดาจะเป็นลมไปซะแล้ว” ซูซี่รีบพูดเสียงแหลมกับเจ้านายพร้อมกับสูดยาดมฟอดใหญ่ในมือ

“เกินไปยัยซูซี่” ดาริกาเอนหลังพิงเคาน์เตอร์ก่อนจะทอดสายตามองไปทางสายฟ้ากับสายชลด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนหยาดน้ำตาแห่งความปีติจะค่อย ๆ ไหลลงมาอีกครั้ง

“ฮือ… ในที่สุด คุณผู้หญิงของซี่ก็ได้เจอลูกแล้ว ฮือ…” ซูซี่ร้องไห้กระซิก ๆ จนทุกคนต่างเบือนหน้าหนี บ้างก็ส่ายหน้าเพราะความเล่นใหญ่รัชดาลัยของเจ้าหล่อน

“เดี๋ยวขอตัวไปเข้าครัวก่อนนะคะ” ดาริกาคลี่ยิ้มตอบ

“คุณผู้หญิงลงครัวเองเลยเหรอครับ” อาร์ตหนุ่มหน้าคมคนเก่าแก่เอ่ยทักเจ้านาย เพราะอาร์ตทำงานกับดาริกามาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ ไม่สิ ต้องเรียกว่าทำงานกับดาริกาตั้งแต่ฝาแฝดยังตัวเล็ก ๆ ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุนั่น พวกเขาทุกคนต่างเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กันมานาน และทุกคนก็ดีใจที่สุด

“พี่สายฟ้าทำไมเงียบไปครับ”

“คือ… กูก็คิดอะไรของกูเพลิน ๆ” สายฟ้านั่งมองหน้าน้องชายที่กำลังถ่ายเซลฟี่ตัวเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่ามุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบา

สายฟ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกให้ผู้อื่นได้รับรู้ ด้วยความเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร บวกกับหน้าที่ที่พ่อให้ช่วยรับผิดชอบจึงทำให้เขายิ่งต้องนิ่ง สายฟ้าจึงไม่ค่อยแสดงความรู้สึกให้ใครรับรู้ เพื่อนที่โรงเรียนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสายฟ้าดูน่ากลัวและไม่เป็นมิตร แต่แท้จริงแล้วสายฟ้าก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป มีงานอดิเรกอย่างเล่นกีตาร์ที่ตัวเองชอบจนฟอร์มวงของตัวเอง และชอบเล่นกีฬาอย่างบาสเกตบอลแต่ช่วงหลังเอาดีทางด้านเล่นดนตรีเสียมากกว่า

สายชลเท้าคางกับโต๊ะ ดวงตากลมโตแพขนตายาวกะพริบถี่มองหน้าพี่ชายฝาแฝดพลางขมวดคิ้วอย่างคนใช้ความคิด เผลอยู่ปากมองคนแก่กว่าที่นั่งเหม่อราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด แววตาแข็งกร้าว ใบหน้าดูเขร่งขรึมตลอดเวลาทั้งที่อายุเพียง 19 ปีเท่ากับสายชล แต่บุคลิก การวางตัว และการพูดจาดูเกินกว่าวัยไปมาก สายชลเพ่งไปยังขี้แมลงวันเม็ดเล็ก ๆ ตรงโหนกแก้มด้านซ้ายของสายฟ้า หากไม่นับเรื่องความสูงที่ห่างกันไม่มาก บุคลิกที่อีกคนขรึมมากกว่า ก็คงมีแต่ขี้แมลงวันเม็ดเล็กนี่กระมังที่เป็นตัวชี้วัดว่าเขาทั้งสองเป็นคนละคนกัน

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” สายฟ้าถามขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่

“ชลทำหน้ายังไงครับ” แฝดน้องเอียงหน้าเล็กน้อยขมวดคิ้วยุ่งจนสายฟ้าอดที่จะยีหัวน้องไม่ได้

“เอ่อ… พี่สายฟ้าครับ” สายชลปรับตัวนั่งหลังตรงก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ว่ายังไง…” สายฟ้าถามด้วยเสียงเรียบ

“ผมอยากรู้อะไรนิดหน่อย”

สายฟ้าเลิกคิ้วเชิงถาม…

“ทำไมพี่สายฟ้าถึงเชื่อผมง่ายจัง จริง ๆ ผมคิดว่าพี่ฟ้าน่าจะไล่ตะเพิดผมพร้อมเตะออกห้องมาด้วยซ้ำ”

“นี่ไอ้ชล มึงเห็นกูเป็นคนป่าเถื่อนแบบนั้นหรือไง เฮอะ” สายฟ้าทำหน้าฉุนเฉียว

‘ก็ใช่ดิวะ นี่พี่ฟ้าเขาไม่รู้ตัวเลยเหรอไงว่าตัวเองขี้หงุดหงิดและป่าเถื่อนที่สุด ผมนั่งมองหน้าพี่สายฟ้าแล้วอดที่จะคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ทำไมถึงเชื่อเขาง่ายนักนะ การที่คนอย่างพี่สายฟ้าจะไว้ใจใครง่าย ๆ นับว่าเป็นเรื่องแปลกพอ ๆ กับการเจอฝนดาวตกนั่นละ ใช่ว่าเห็นได้บ่อย ๆ ซะที่ไหนกัน !’

สายฟ้าเป็นคนระวังตัวและรักพื้นที่ส่วนตัวมาก แต่เรื่องที่ทำให้เขาอดสงสัยตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็คือ การที่สายฟ้าคนนี้ให้ความสนใจและดูเหมือนว่าเขาสนิทกันง่าย ทั้งที่พวกเขาเพิ่งเจอกันไม่นาน สำหรับสายชลมันไม่แปลกหรอกที่เขาจะทำตัวสนิทกับสายฟ้า เพราะช่วงเวลาที่เขาอยู่ห้วงอนาคต สายฟ้าเปิดใจและดูแลเขาอย่างดีมาตลอด แต่กับสายฟ้าคนตรงหน้าตอนนี้พวกเขาไม่เคยแม้กระทั่งเจอกันด้วยซ้ำ แต่ทำไมดูเหมือนสายฟ้าไม่ตะขิดตะขวงใจที่จู่ ๆ มีเขาเข้ามาเป็นน้องชายอีกคน

“จะถามอะไร” สายฟ้าเสียงดังหลังจากถามน้องแฝดอยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าควายน้อยกำลังติดอยู่ในห้วงความคิดจนสายฟ้าต้องเค้นเสียงเรียก

“พี่สายฟ้า ชลตกใจนะฮะ พูดเสียงดังอ่า” สายชลบ่นอุบ

“จะถามอะไร ว่ามาสิ”

“ทำไมพี่สายฟ้าถึงเชื่อผมง่าย ๆ ล่ะ” สายชลรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามพี่ชาย

“แล้วทำไมกูต้องไม่เชื่อมึง”

“ก็… ไม่รู้สิ ก็จู่ ๆ มีคนมาอ้างเป็นน้องชาย”

“มึงส่องกระจกดูสิ หน้าเหมือนขนาดนี้ เจอตอนแรก… กูคิดว่าผีหลอก” สายฟ้าเผลอกระตุกยิ้มเมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ใบหน้าที่ดูเหมือนเครียดตลอดเวลากลับดูผ่อนคลายลง ท่าทางสบาย มือหนาเสยผมอย่างเป็นกันเอง ส่งผลให้สายฟ้าในเวลานี้ดูเป็นมิตรและน่าเข้าใกล้กว่าตอนที่เจอกันคราแรก

“พี่ฟ้ายิ้มเยอะ ๆ สิครับ ยิ้มแบบนี้หล่อจะตายไป” สายชลถือวิสาสะหยิกแก้มทั้งสองข้างคนโตกว่าให้ยกยิ้มสูง ๆ ขณะที่ตัวเองแกล้งพี่ชายจนหน้าตาดูบู้บี้

“คนจะหล่อ หน้าแบบไหนก็หล่อปะ ?” สายฟ้าใช้มือจัดทรงเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะดึงหน้าขรึมอย่างที่เป็นมาตลอดอีกครั้ง

“งั้นแบบนี้หน่อยเป็นไง หล่อไหม ?” แฝดพี่พรูลมหายใจยาวแล้วฉีกยิ้มทั้งที่หน้าแข็งทื่อ หรือจะเรียกว่าแยกเขี้ยวน่าจะเหมาะกับสายฟ้าในตอนนี้มากกว่า

สายชลหัวเราะจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ทั้งเสียงโวยวายของสายฟ้าผสานกับเสียงหัวเราะร่าเริงขี้แกล้งของสายชล การกลับมาของเด็กหนุ่มทั้งสองคนในครั้งนี้ ราวกับปลุกชีพให้รีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาวได้กลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง สถานที่ที่หลอมรวมความทรงจำของพี่น้องทั้งสองคนไว้มากมาย ทั้งหยาดน้ำตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ภาพจำอันแสนอบอุ่นได้ถูกลบเลือนไปเสียหมดสิ้นหลังจากเด็กน้อยทั้งสองประสบอุบัติเหตุในครานั้น กลับกลายเป็นฝันร้ายและความหม่นหมองได้คืบคลานแทนที่

พนักงานหน้าล็อบบี้รวมถึงแม่เจ้าสองแฝดแอบลอบมองดูความสดใสของสองพี่น้องที่กลับคืนมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ความอิ่มเอมปริ่มล้นหัวใจคนที่มอง ไม่นานนักกับข้าวฝีมือนายหญิงประจำรีสอร์ตก็ถูกยกมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ทั้งต้มยำทะเล กุ้งชุบแป้งทอด ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ข้าวผัดปู ปลาทอดสมุนไพร ทั้งกลิ่นหอมที่ชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงานหนัก  สีสันที่แสนน่ากินของอาหารทะเลผสานกับเสียงครืน ๆ ของเกลียวคลื่น ลมทะเลที่พัดพาความชุ่มฉ่ำใจ แสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องลงมา นี่สินะที่เรียกว่า ไม่มีอะไรสุขหัวใจไปกว่าได้กินอาหารพร้อมหน้ากันในบรรยากาศดี ๆ

ที่น่าแปลกเมนูอาหารหลายอย่างคล้ายกันมาก แต่กลับแยกจานแยกหม้อกัน นี่ป้าแม่ครัวทำมาผิดหรือเปล่านะ อย่างต้มยำทะเลแทนที่จะมีหม้อเดียวแต่กลับมีต้มยำทะเลถึง 2 หม้อเล็ก ดูเหมือนว่าทั้งสายชลและสายฟ้าจะสงสัยในเรื่องเดียวกัน เด็กหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันพลางขมวดคิ้วแน่น เพียงแต่สายฟ้ากลับดึงหน้านิ่งแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างวางมาด

“เอ่อ… คุณแม่ครับทำไมมีต้มยำ 2 หม้อล่ะครับ” สายชลเอ่ยถาม

“ก็ปกติชลไม่กินปลาหมึกใช่ไหมล่ะ แม่ทำพิเศษให้หม้อนี้ ส่วน…” คุณแม่ขยับต้มยำทะเลที่ไม่มีปลาหมึกมาไว้ตรงหน้าสายชล ก่อนจะนิ่งไปสักพัก เม้มปากแน่นราวกับมีเรื่องบางอย่างแต่ไม่กล้าพูดออกมา

“ส่วนอีกหม้อไม่มีกุ้งจ้ะ” แม่ทำแบบเดียวกันกับต้มยำอีกหม้อที่ไม่ใส่กุ้ง คือค่อย ๆ เลื่อนหม้อไปตรงหน้าสายฟ้าแล้วคลี่รอยยิ้มบางให้กับเด็กหนุ่ม

“ทำไมของพี่ฟ้าไม่มีกุ้ง อร่อยนะเอาของชลไหม”

สายชลใช้ช้อนกลางเลือกตักกุ้งตัวที่อ้วนที่สุดใหญ่ที่สุดตั้งใจจะใส่ลงในหม้อของสายฟ้าที่นั่งตรงข้ามกัน แต่สายฟ้ามือไวกว่าจึงรีบคว้าข้อมือน้องชายไว้ ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับน้องแฝดอย่างมาก

“คือกู…” สายฟ้าหยุดพูดเมื่อคิดได้ว่าแม่นั่งร่วมวงอยู่ด้วย

“คือ พี่ไม่กินกุ้งน่ะ”

สายชลรีบชักมือกลับทันทีก่อนจะยกมือขอโทษขอโพยสายฟ้าอยู่นาน แต่สายฟ้าไม่ติดใจอะไรน้องชาย เพราะสายฟ้าเองก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าสายชลแพ้ปลาหมึก

‘นี่ผมเกือบทำให้พี่สายฟ้าเข้าโรงพยาบาลซะแล้ว ตอนแรกตั้งใจอยากให้กินของอร่อยด้วยกันซะหน่อย ว่าแต่คุณแม่คงจะรู้สึกปวดใจไม่น้อยเลยที่ลูกอีกคนต้องแยกไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ เวลาผ่านมานานตั้งหลายปี คุณแม่ก็ยังจำเรื่องของเราสองพี่น้องได้ไม่ลืม ผมไม่รู้ว่าจะทำให้พี่สายฟ้ากับคุณแม่สนิทใจกันได้ยังไง แต่ผมคิดว่าในความเป็นสายเลือดของเราเดี๋ยวพี่สายฟ้ากับคุณแม่ก็คงปรับตัวเข้ากันได้เอง ผมกินอาหารฝีมือแม่ไปสักพักจึงคิดได้ว่าควรจะเปิดโอกาสให้คุณแม่กับพี่สายฟ้าคุยกันไปตามลำพัง ส่วนผมจะแวะไปหาเจ้าแมวขี้เกียจที่บ้านสักหน่อย คิดถึงมันจะแย่แล้ว’

“พี่สายฟ้านั่งเล่นกับคุณแม่ไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด แวะหาจีโน่แป๊บเดียว”

“จีโน่ ?” สายฟ้าเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม

“อ๋อ จีโน่คือเจ้าแมวเปอร์เซียขนปุยสีดำของผมเองครับ”

“เหอะ ๆ ควายน้อยเลี้ยงแมว” สายฟ้าบ่นพึมพำ

“แม่ได้ยินนะจ๊ะ เรียกน้องดี ๆ สิ” แม่ทักเตือนก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ เสตาไปทางอื่น

“งั้นเดี๋ยวผมขี่จักรยานกลับบ้านแป๊บหนึ่งนะครับ” สายชลหันไปบอกผู้เป็นแม่

“แม่ไปส่งไหมจ๊ะ ขี่จักรยานไปทำไมล่ะ”

“บ้านอยู่แค่นี้เอง ขี่จักรยานง่ายกว่าเยอะเลย เดี๋ยวชลรีบมาครับ”

“เออ ไปเถอะตามสบาย นี่บ้านมึงนี่”

“ที่นี่ก็คือบ้านสายฟ้าเหมือนกันนะลูก” ดาริกายิ้มอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณนะครับ”

ระหว่างสายชลปล่อยให้สายฟ้านั่งคุยกับแม่ตามลำพัง สายชลปั่นจักรยานของรีสอร์ตไปยังบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก

‘เฮ้อ ไปกรุงเทพฯ แค่ไม่กี่วันทำไมรู้สึกเหมือนไปเป็นเดือนเลยนะ’ สายชลเปิดประตูเข้ามายังตัวบ้าน สายตาเด็กหนุ่มกวาดมองไปทั่วหาแมวดำหน้าเหวี่ยงตัวโปรด

“จีโน่ อยู่ไหน…” สายชลเปล่งเสียงเรียกแมวดำตัวโปรด เขาเดินตามหาจีโน่ทั่วบ้านกระทั่งเจอเจ้าแมวขนนุ่มอยู่ที่ขอบหน้าต่างตรงเชิงบันได

“มานั่งมองนกตรงนี้อีกแล้วเหรอ” สายชลอุ้มจีโน่เข้าไว้ในอ้อมกอด แต่มันกลับทำหน้าหงุดหงิดใช้อุ้งมือมังคุดหวังจะตะปบเจ้าของให้ได้เลือด

“เมี้ยว…”

“อะไรกันเลือดซิบเลย ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง ฮะ” สายชลตัดพ้อแมวตัวเอง

“หง่าว…” จีโน่ใช้สองเท้าหลังถีบตัวเองกระโดดลงจากอ้อมกอดของสายชลแล้วตั้งท่ากระโจนขึ้นไปยังขอบหน้าต่างที่เดิม ราวกับมันเฝ้ารออะไรบางอย่าง

ขนาดแมวยังไม่สนใจ เดี๋ยวนี้จีโน่เปลี่ยนไปเยอะเลยจากที่เป็นแมวขี้อ้อน หลัง ๆ มานี้ทำตัวเหมือนคนเข้าไปทุกวันแล้ว ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ขนาดตอนมันจะฉี่ยังเปิดประตูไปฉี่บนชักโครกเขาเลย ห้องน้ำแมวสุดไฮเทคที่สายชลเก็บเงินซื้อมาตั้งนานเจ้าจีโน่ใช้อยู่แค่เดือนสองเดือนเห็นจะได้ แรก ๆ ก็เห็นดูจีโน่ชอบนะ แต่ทำไมหลัง ๆ มาแย่งเขาใช้ห้องน้ำเสียได้ แต่ช่างเถอะ…

สายชลรีบเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ มองนาฬิกาเวลาเกือบ 5 โมง เปิดตู้เสื้อผ้าออกก็ต้องหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะในตู้มีแต่ขนเจ้าจีโน่ ‘โอ๊ย สรุปมันจะยึดห้องผมแล้วใช่ไหมเนี่ย’ ระหว่างที่สายชลแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะกระจก สายตาเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือหนังถักที่ได้มาจากร้านกาลเวลา เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าพาสายฟ้ากลับมาหาแม่ เผลอ ๆ เรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักที่สายฟ้ากระตือรือร้นที่จะมาหัวหินกับเขาเลย สายชลเลยหยิบสร้อยข้อมือเส้นนั้นใส่ไว้ที่ข้อมือด้วยแล้วรีบไปหาสายฟ้า

“ทำไมมึงมาไวจัง” สายฟ้าเอ่ยปากถาม ทั้งโต๊ะเหลือเพียงสายฟ้านั่งคนเดียวกับน้ำผลไม้ปั่น 2 แก้ว

“คุณแม่ล่ะ”

“เห็นบอกว่ามีงานเข้าด่วนเลยนั่งปรินต์งานตรงล็อบบี้น่ะ”

“คุณแม่ก็งานเยอะแบบนี้ตลอดละครับ พี่ฟ้าอย่าถือสาแม่เลยฮะ”

“ไอ้ชล กูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ กูน่ะนั่งคนเดียวได้ น้ำส้มของมึง เดี๋ยวมีขนมตามมา นั่งก่อนสิ”

สายชลยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะทิ้งสะโพกลงบนเก้าอี้ไม้ มือบางหยิบหลอดมาดูดน้ำพลางมองหน้าพี่ชายอย่างสำรวจ

“มีอะไร” สายฟ้าถามด้วยเสียงห้วน

“เปล่า ชลขอกินหนมก่อนเดี๋ยวค่อยคุย”

“แวะไปอาบน้ำมาเหรอ กูก็เหนียวตัวเหมือนกันวันนี้ต้องพักที่ไหนนะ”

“รีสอร์ตเนี่ยละหลังนั้น” สายชลชี้ไปยังบ้านพักหลังที่ 1 วิวติดทะเล และเป็นส่วนตัวมากที่สุด

“ไม่ยักจะรู้ว่ามึงชอบใส่กำไลหนังแบบนี้ด้วย ดูไม่ค่อยเข้ากับมึงเลย” สายฟ้าดึงข้อมือของน้องพลิกดูกำไลหนังถักที่ดูโบราณแต่มีเสน่ห์ด้วยจี้ห้อยรูปสมอเรือและเข็มทิศขนาดย่อส่วน

“ก็ไม่ได้ชอบนะ ชลให้เอาไหม” สายชลทำท่าถอดกำไลออก

“เฮ้ย กูไม่ใส่อะไรแบบนี้หรอก”

“มันเหมาะกับพี่นะ”

สายชลถอดออกแล้วยื่นมันมาให้พี่ชาย

“ผมได้มาจากร้านกาลเวลา”

สายฟ้ารีบคว้ากำไลหนังถักมาไว้ในมือด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้”

“อ้าว ก็พี่ฟ้าไม่ได้ถาม”

“มึงกวนตีนกู”

“เปล่า ชลเปล่ากวนตีน เส้นนี้ได้มาจากครั้งแรกที่เจอร้านนั้นเลย ได้กำไลกับกล่องดนตรีมาน่ะ” สายชลพูดพลางหยิบวุ้นมะพร้าวที่ซูซี่ยกมาวางให้ที่โต๊ะใส่ปาก

“แล้วมึงเจอร้านนี้ที่ไหน”

“ก็ตรงหัวมุมถนนสุดหาด เลยวงเวียนไปก็เป็นที่ตั้งร้านน่ะ…” สายชลพูดส่วนมือหยิบวุ้นมะพร้าวอีกชิ้นเข้าปากเคี้ยวแก้มป่อง

สายฟ้าลุกขึ้นพรวดพร้อมดึงกึ่งลากสายชลไปที่จอดรถ

“เดี๋ยว… ใจเย็นพี่ฟ้า จะรีบไปไหนกินให้หมดก่อนไม่ได้หรือไง”

“ไอ้สัตว์ชล มึงน่ะกินมาเยอะแล้ว ขืนมึงกินขนาดนี้ได้เป็นควายชุบแป้งทอดแน่ ๆ”

“โอ๊ย เขาเรียกวัยกำลังกินกำลังนอนเว้ย…”

“ไปร้านนั้นกัน” สายฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ร้านกาลเวลาน่ะเหรอ ?”

“ก็ใช่สิวะ คิดว่ากูพามึงมาไกลขนาดนี้กูอยากจะมาตลาดหัวหินหรือไงล่ะ”

“อ้าว ผมก็คิดว่าอยากจะมาส่งผม” สายชลแสร้งทำท่าเง้างอนกอดอกทำหน้ามู่ทู่

“นั่นก็ด้วยละ เข้าไปงอนในรถได้ปะวะ ?” สายฟ้าเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

“ถ้าเข้าไปในรถแล้วจะง้อน้องไหมล่ะ ?” สายชลทำสายตาเจ้าเล่ห์กดยิ้มมุมปาก

“เฮ้อ…” สายฟ้าถอนหายใจปิดประตูดังปัง ! ก่อนจะอ้อมไปขับรถไปตามทางที่น้องฝาแฝดบอก

หัวใจของสายฟ้าเต้นดังโครมคราม ทั้งดีใจและตื่นเต้นเพียงแค่คิดว่าจะได้พบกับชายในฝันที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ฝัน เขาคนที่อบอุ่นน่ากอดนุ่มนิ่มราวกับขนมสายไหม เขาคนนั้นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กอบกุมหัวใจของสายฟ้าโดยตลอด สายฟ้าคิดถึงเขาเหลือเกิน… ผู้ที่สายฟ้าไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ สายใยของทั้งสองแม้เพียงนิด ทว่ารู้สึกเนิ่นนานราวผูกพันล้ำลึก แต่ยิ่งคะนึงหาเท่าไร ยิ่งไขว่คว้าหาเขาเท่าไร สายฟ้ากลับยิ่งรู้สึกว่าสายสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ผูกมัดเขาให้ร่วงลงยังหุบเหวดำดิ่งลงลึกไม่มีทางปีนป่าย ทั้งอ้างว้างและไร้ความหวัง

บัดนี้ราวกับมีละอองน้ำทิพย์ชโลมหัวใจดวงเดิมให้กลับกระชุ่มกระชวยและมีความหวังขึ้นอีกครา… ความคิดถึงเอ่อล้นในก้นเบื้องหัวใจที่แห้งผาก

‘คุณรอผมอีกนิดนะ… เราจะได้พบกันแล้ว ใช่ไหม !?’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ