วันอังคารที่สดใสในขณะที่สายชลค่อย ๆ พิจารณากล่องดนตรีของสายฟ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่า การที่เขาข้ามเวลาได้นั้น กล่องดนตรีนี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญหรือไม่ ? แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ กล่องดนตรีของสายฟ้าจะทำได้แบบของเขาไหม ? ยิ่งคิดสายชลก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการที่สายฟ้าเข้าใจเขาโดยไม่มีข้อกังขานั่นก็ทำให้ดีใจมากแล้ว แต่เขาก็รู้เพิ่มอย่างหนึ่งเรื่องที่สายฟ้าอยากเจอแม่มาก เพราะตอนที่เขาอยู่ที่นี่สายฟ้าก็เอาแต่ถามเรื่องของแม่และชีวิตการเป็นอยู่ของเขาที่หัวหิน
สายฟ้าเล่าให้ฟังว่าเขาอยู่กับพ่อก็จริง แต่พ่อก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย ท่านก็คงจะรักลูกในแบบของเขา แม้ทั้งสองคนจะเติบโตคนละที่ อยู่ในสภาพแวดล้อมคนละแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้จากแววตาและความรู้สึกนั่นคือ ทั้งคู่รู้สึกอ้างว้าง ถ้ามีใครสักคนที่เพียงแค่มองตากันก็รับรู้ได้ว่ารู้สึกอย่างไรโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา มันก็คงจะดีไม่น้อยเลย และสายชลมั่นใจว่าทั้งเขาและสายฟ้าต่างเป็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ขาดหายไป แม้เติมลงไปเขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เต็มสักที…
“เข้ามาห้องกูทำไม” สายฟ้าพูดเสียงเรียบแต่ไม่มีทีท่าว่าจะขุ่นเคืองอะไร สายฟ้าเป็นคนหวงพื้นที่ส่วนตัวมากก็จริงแต่กับสายชลเขากลับไม่รู้สึกอึดอัด มิหนำซ้ำยังปล่อยให้น้องชายเดินเข้าออกห้องของตัวเองได้ตามใจ จนดรีมยังแซวว่าตัวเองจะเป็นหมาหัวเน่าแล้ว
สายชลที่ตกอยู่ในห้วงความคิดสะดุ้งเล็กน้อยขณะนอนเล่นอยู่บนโซฟาภายในห้องของพี่ชาย “ก็ว่าจะมาคุยกับพี่สายฟ้า” สายชลยกยิ้มกว้างจนตาเป็นขีด
“กูอาบน้ำเพิ่งเสร็จ มีไรก็ว่ามา” สายฟ้าพูดกับคนเด็กกว่าด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เพิ่งสระอย่างลวก ๆ หรือเรียกว่าเช็ดแบบส่ง ๆ ก็ไม่ผิดนัก
สายชลเดินไปยังตู้เสื้อผ้าด้านข้างโต๊ะกระจกที่สายฟ้ายืนเลือกชุดขณะเช็ดผมอยู่ สายชลเอื้อมมือหยิบไดร์เป่าผมพลางเสียบสายไฟ แล้วบอกให้พี่ชายคนดีของเขามานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ไม่เป็นไร” สายฟ้าทำสีหน้าเคอะเขินแต่ยังคงเก็บอาการได้อย่างแนบเนียน
สายชลไม่ฟังคำปฏิเสธของพี่ชาย เขาดึงพี่สายฟ้าให้นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะเป่าผมด้วยลมร้อนระดับกลางกระทั่งผมพี่ชายเริ่มแห้งหมาดแล้วจึงปรับเป็นเป่าด้วยลมเย็น สายฟ้านั่งเป็นตุ๊กตาให้น้องชายป้ายแดงจัดแต่งทรงผมอย่างเพลิดเพลิน
แม้สายฟ้ากับสายชลจะหน้าคล้ายกันแต่รสนิยมการแต่งกายของเขาทั้งคู่แตกต่างกันอยู่มาก สายชลที่ช่วยเลือกชุดให้พี่ชายถึงจะไม่ถูกใจมากนัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เมื่อสายฟ้าสวมแจ็กเก็ตยีนตัวโปรดเขาก็กลายเป็นตัวตนของเขาอย่างลงตัว
“วันนี้พี่สายฟ้าหล่อนะเนี่ย”
“แล้ววันอื่นกูไม่หล่อหรือไง”
“อื้ม…” สายชลทำท่าคิด สายฟ้าจึงขมวดคิ้วมองน้องชายอย่างกวน ๆ
“พี่ฟ้าหล่อสิ ผมก็หล่อ”
“กูหล่อกว่า” สายฟ้าพูดเกทับน้องชาย
“ก็ได้ฮะ…” สายชลยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปมองกล่องดนตรีที่ข้างหัวเตียงของสายฟ้าอีกครั้ง “พี่สายฟ้าครับ ผมอยากจะถามเรื่องกล่องดนตรีอะ” สายชลจ้องไปที่กล่องดนตรีทรงโดมใส ที่ด้านในเป็นกระต่ายแฝดใส่ชุดทักซิโด้อยู่ด้านใน พร้อมกับขมวดคิ้วอย่างคนที่ครุ่นคิดบางอย่างในใจ
“ทำไม” สายฟ้าตอบเสียงนิ่งเช่นเคย แต่แววตามีความวูบไหวจนเจ้าตัวยังรู้สึกได้เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“พี่สายฟ้าได้มันมาจากไหนหรือครับ” สายชลสบตามองสายฟ้าในกระจกเงา สายชลสังเกตเห็นแววตาที่ดูแปลกไปเมื่อเจอคำถามนั้น
“มึงจะรู้ไปทำไม ?”
“ก็ในเมื่อพี่ยังไม่เคยไปร้านกาลเวลาเลย แต่ทำไมพี่ถึงมีเจ้าสิ่งนี้” สายชลหันไปสบตาสายฟ้าอย่างแมวน้อยที่ต้องการให้เจ้านายสนใจ ก่อนจะเกาะแขนพี่ชายซบหน้าอ้อน
“ไม่ต้องทำตาอ้อนแบบนั้นหรอก”
“ก็ผมอยากรู้นี่ครับ” สายชลวางกล่องดนตรีอย่างเบามือที่ชั้นหนังสือข้างโต๊ะทำงานพี่ชายก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มให้คนโตกว่า
สายฟ้าลูบหัวสายชลอย่างแผ่วเบา “ถึงเวลาเดี๋ยวกูเล่าให้ฟังเองนะ เรื่องของกูมันก็ทำใจเชื่อยากไม่ต่างจากเรื่องของมึง ควายน้อย” สายฟ้าพึมพำเสียงแผ่วเบาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ‘เผลอ ๆ น่าแปลกประหลาดกว่ามึงซะอีก’
“เอาอีกแล้ว เรียกควายน้อยอีกแล้ว” สายชลทำหน้างอ
“ฮ่า ๆ …” สายฟ้าหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
“จริง ๆ พี่สายฟ้าหัวเราะแล้วดูดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว”
“หลงตัวเอง” สายชลทำปากคว่ำจิกตามองคนหลงตัวเองที่ยืนเสยผมหน้าโต๊ะกระจกแต่งตัวเต็มยศ เพราะวันนี้ทั้งคู่จะต้องเดินทางไปยังหัวหิน บ้านเกิดของสายชล ไม่สินะ บ้านเกิดของพวกเขา…
๐๐๐
คู่ฝาแฝดทั้งสองขึ้นรถยนต์ส่วนตัวของสายฟ้าเพื่อเดินทางไปยังหัวหินบ้านเกิดของสายชล หรืออาจจะเป็นบ้านเกิดของสายฟ้าด้วยเช่นกัน สายฟ้าขับรถไปด้วยความรู้สึกที่ว้าวุ่นระคนตื่นเต้น หัวใจที่แห้งผากมาเนิ่นนานว้าวุ่นไม่เป็นส่ำ นี่เขาจะได้พบแม่เป็นครั้งแรกและสายฟ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้เป็นแม่จะมีปฏิกิริยาเช่นไร ท่านจะดีใจกับการกลับมาของสายฟ้า หรือจะอึดอัดที่เจอกันแน่ แต่หากเป็นอย่างหลังแล้วสายฟ้าคิดว่าเขาจะหายไปตลอดกาลและให้ความช่วยเหลือบ้านของสายชลห่าง ๆ หากมีปัญหาอะไร ในเมื่อทั้งพ่อและแม่ของพวกเขาทำทุกอย่างให้ทั้งคู่แยกกันมันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ ๆ
“พี่สายฟ้าทำไมเงียบจังเลยฮะ คิดอะไรอยู่” สายชลหันไปเรียกพี่ชายฝาแฝด ขณะที่สายฟ้าดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดอะไรบางอย่าง สายชลเห็นว่าสายฟ้าดูมีสมาธิจนเกินไปผิดวิสัย ปกติจะต้องแซวต้องแหย่สายชล แม้สายฟ้าจะเป็นคนพูดไม่เยอะเท่าเขา แต่เวลาที่อยู่กับเขาแล้วสายฟ้ามักมีนิสัยแบบเด็ก ๆ ที่ดรีมก็ยังบอกว่าแปลกตาจนน่าเหลือเชื่อ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังจะกลับไปบ้านของสายชลที่หัวหิน เขาทั้งคิดถึงบ้านทั้งตื่นเต้นที่ครั้งนี้มีสายฟ้ามาด้วย และสายชลไม่ลืมที่จะบอกคุณแม่ไว้แล้วให้อยู่บ้านเพราะเขามีคนพิเศษอยากแนะนำให้รู้จัก
“เอาของมาครบแล้วใช่ไหม” สายฟ้าถามน้องด้วยเสียงเรียบนิ่ง สายตายังคงมองป้ายบอกทาง
“ครับ ครบแล้วแต่ถ้าลืมจริง ๆ ก็ฝากไว้ก่อนแล้วกัน” สายชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“แล้วเรื่องที่จะมาเรียนที่กรุงเทพฯ แม่ว่ายังไงบ้าง” สายฟ้าชวนคุยเพื่อให้ระหว่างการเดินทางไม่เงียบจนเกินไป
“คุณแม่ก็ไม่เห็นด้วยกับผมนักหรอกนะ แต่ทำยังไงได้มหาลัยที่กรุงเทพฯ มันก็ดีกว่าจริง ๆ และที่สำคัญผมก็ได้โควตาของที่มหาลัย H ด้วย” สายชลอวดอย่างภูมิใจ
“จริง ๆ แล้วกูอยากเรียนที่มหาลัย H มากกว่ามหาลัย G อีกนะ แต่…”
“แต่อะไรครับ…” สายชลขมวดคิ้วยุ่งเอียงคอเล็กน้อยอย่างแมวขี้สงสัย
“เออ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่ามึงไม่มาอยู่หอเดียวกับกูจริง ๆ เหรอ” สายฟ้าถามน้องชาย ใจจริงเขาก็อดที่จะเป็นห่วงสายชลไม่ได้ และที่สำคัญคอนโดมิเนียมเขาก็ค่อนข้างกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน ติดแค่เรื่องเดียวคือสายฟ้ายังไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องสายชลในเวลานี้ และสายฟ้าก็รู้ว่าอีกไม่นานพวกท่านก็ต้องรู้ความจริง
“ไม่ดีกว่าพี่สายฟ้า ผมไม่อยากเดินทางไกลอะ เดี๋ยวหาหอพักแถว ๆ มหาลัยน่าจะสะดวกกว่าเยอะ”
“อื้ม ก็จริง” สายฟ้านึกถึงเรื่องที่พ่ออาจจะรู้ และไหนจะเรื่องพวกคู่อริทางธุรกิจเขาอีก การที่อยู่คนละที่กันน่าจะปลอดภัยกับสายชลมากกว่าเป็นไหน ๆ
“ใช่ไหม ? เนอะ ๆ …” สายชลตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“งั้นเดี๋ยวกูเป็นคนเลือกให้นะ” สายฟ้ารีบชิงตอบก่อน
“ไม่เอาหรูแบบห้องพี่หรอกนะ แพงน่าดู”
“ถึงแพง แต่ก็ปลอดภัยและก็สะดวกมากเลยนะ เอาเถอะน่าเรื่องนั้น” สายฟ้าพูดเสียงขรึม
สายชลทำหน้างอแงไม่พอใจ “ก็ได้ ยังไงก็ได้ฮะ”
จริง ๆ สายชลไม่ใช่คนที่เรื่องมากเรื่องหอพัก เรื่องกิน หรือเรื่องทั่ว ๆ ไปหรอกนะ แต่ที่เขาไม่ค่อยอยากพักหอที่มันหรูหราก็เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างหากล่ะ ถ้าเขายังไม่เคยใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่นะ เขาก็อาจจะชอบก็ได้ ใครกันบ้างล่ะไม่อยากอยู่ที่หรูหรา แต่บทเรียนที่สายชลได้รับมาจากตอนที่ข้ามเวลาไปลองใช้ชีวิตเป็นผู้ใหญ่น่ะ ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ การเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตัวเอง ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะการกิน การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ไม่ต้องประหยัดจนดูเหมือนขี้งก แต่ก็ไม่ใช่ต้องกินใช้ของหรูติดแบรนด์ตลอดเวลาทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการเลือกที่พัก เป็นเรื่องเล็กที่เขาว่ามันไม่เล็กเลย
“ไอ้ชลไปทางไหนต่อ” สายฟ้าถามเสียงดังจนคนที่นั่งเหม่อตกใจจนสะดุ้ง
“สะดุ้งทำไมวะ ถามแค่นี้”
“ตรงสี่แยกหน้า ตรงไปอีกนิดหนึ่งเลี้ยวขวาวิ่งเส้นริมทะเลครับ”
“บรรยากาศดีเนอะ”
“ใช่ ผมรักที่นี่มากเลยนะ ถึงผมจะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ แต่ก็ชอบลมทะเลที่มีกลิ่นเฉพาะ ชอบเสียงเกลียวคลื่นที่สาดกระทบฝั่ง ชอบแสงแดดที่ตกกระทบผิวน้ำ ชอบทุกอย่างที่เป็นทะเลเลย” สายชลทอดสายตามองไปยังวิวทะเลที่คุ้นตาริมหน้าต่าง
“แล้วอยู่กรุงเทพฯ จะไม่คิดถึงบ้านเหรอ” สายฟ้าถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“คิดถึงสิครับ” สายชลหันหน้าไปสบตาพี่ชายก่อนจะยิ้มอย่างเศร้าในแววตา
“แต่คิดว่าถ้าจะต้องตายจริง ๆ” สายชลเผลอคิดถึงภาพที่ตัวเองนอนจมกองเลือดแววตาจึงดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“หยุดเลย พูดเรื่องนี้กูไม่ชอบเลย”
“แต่ที่ผมเห็น…”
สายฟ้าเบรกรถกะทันหันจนสายชลตกใจหลับตาปี๋ มือกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น
“พี่สายฟ้า” สายชลตะโกนลั่นรถ
“กูจะไม่ให้มึงเป็นอะไรแน่ๆ” สายฟ้าพูดเสียงเข้มกำพวงมาลัยแน่นด้วยสีหน้ากังวล
“ผมรู้ว่าพี่สายฟ้าไม่เชื่อผมหรอก”
“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้น” สายฟ้าตวาดน้องชายเสียงแข็ง
สายชลหันสบตาพี่ชายฝาแฝดแล้วทำหน้าเศร้าตามแบบฉบับคนที่ชอบคิดไปเองคนเดียว “แล้วมันจริงไหมล่ะครับ”
“กูเคยบอกว่าไม่เชื่อหรือไงวะ ? เฮ้อ” สายฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะถอนใจ
“แล้วทำไมถึงเชื่อล่ะ” สายชลรีบถามอย่างสงสัย
สายฟ้าเค้นเสียง “เซ้าซี้ เอาเป็นว่าถ้ามึงมั่นใจว่าไม่โกหก รู้แค่ว่ากูเชื่อมึงก็พอ…”
ขณะที่สายฟ้ากำลังเปิดสัญญาณไฟเพื่อจะเลี้ยวขวาไปยังถนนเลียบชายทะเล สายชลเอียงศีรษะซบลงแขนแกร่งก่อนจะถูไถราวกับตนเป็นลูกแมวตัวน้อย แม้พี่ชายฝาแฝดจะบ่นว่าแต่สายชลก็ไม่สนใจ เขายังคงซบอ้อนพี่ชายไม่เลิก
สายฟ้าชายตามองเด็กขี้อ้อนแล้วถอนหายใจ ถึงเขาจะเป็นคนแกร่งแค่ไหน แต่สายฟ้าแพ้ลูกอ้อนของน้องชายป้ายแดงคนนี้เสียแล้วสิ
“พี่สายฟ้าครับตรงนั้นไง ม่านฟ้า ทะเลดาวรีสอร์ต” สายชลชี้ไปยังป้ายรีสอร์ตขนาดใหญ่ที่อยู่สุดทางของถนนสายนี้
สายฟ้าเปิดสัญญาณไฟก่อนจะหาที่จอดรถ สายชลบอกให้พี่ชายเดินเล่นชายทะเลพักเหนื่อยสูดหายใจให้สดชื่นเสียก่อน หากเดินเข้าไปพร้อมกันเกรงว่าทุกคนจะแตกตื่น สายฟ้าเข้าใจที่เด็กน้อยกล่าว
“เดี๋ยวผมจะโทร.หาคุณแม่ก่อนนะครับ”
“แล้วเอ่อ… แม่ อยู่เหรอ ?” สายฟ้าไม่คุ้นชินกับคำว่าแม่แม้แต่น้อย เขาเปล่งเสียงพูดคำว่าแม่ออกไปอย่างเคอะเขิน
“เมื่อคืนผมโทร.บอกแล้วว่าวันนี้จะพาคนพิเศษกลับมาด้วย คุณแม่ยังแอบแซวเลยว่า มากรุงเทพฯ แค่ไม่กี่วันจะพาสาวมาบ้านแล้วเหรอ”
“แล้วตอบไปว่า ?” สายฟ้าถามด้วยสีหน้าอยากรู้ ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนที่ช่างสงสัย
“ฮ่า… ผมตอบว่าจะพาผู้ชายไปหาครับ” สายชลพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แม่ไม่ตกใจหรือไง ?”
“ฮ่า… ตกใจสิครับ เสียงคุณแม่เปลี่ยนเลยนะ คุณแม่ดึงเสียงนิ่งยังกับพยายามตั้งสติอะพี่ แล้วบอกว่า ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงแม่ก็รับได้ เฮ้อ ผมนี่รู้สึกผิดเลยครับ” สายชลเล่าด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
“นี่ขนาดรู้สึกผิดนะ ไอ้ควายน้อยเอ๊ย” พี่สายฟ้าเขกหัวน้องชายที่กลางศีรษะไปทีหนึ่ง โทษฐานแกล้งผู้เป็นแม่
“เจ็บนะ” สายชลมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาเคือง ๆ
“ไปเดินชายหาดแป๊บหนึ่ง ยังไงเรียกแล้วกัน” สายฟ้าพูดจบก็หันไปทางเบาะหลังหยิบกล้องถ่ายรูปโพลารอยด์ ก่อนหันมายีหัวสายชลที่กำลังกดโทรศัพท์ต่อสายหาแม่แล้วจึงเดินลงจากรถไป
สายชลหัวใจเต้นสั่นระรัวสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์ต่อสายหาแม่ ขณะที่เสียงสัญญาณรอสายทำเอาสายชลหัวใจแทบจะหยุดเต้น
[สวัสดีจ้ะ ชลถึงบ้านแล้วเหรอลูก] ปลายสายกรอกเสียงทักทายลูกชายอย่างอารมณ์ดี เสียงหวานที่มีเสน่ห์แฝงไปด้วยความอบอุ่นและห่วงใย
“อยู่รีสอร์ตครับ”
[อ้าว หรือจ๊ะ ทำไมไม่เข้าบ้านก่อนล่ะ แวะเดินเล่นริมทะเลอีกแล้วใช่ไหม ?]
“คุณแม่รู้ทันตลอดเลย ฮ่า… มาที่ลานด้านหน้ารีสอร์ตหน่อยสิครับ”
[จะพาแฟนมาให้เจอเหรอจ๊ะ ใจร้อนนะเพิ่งเรียนจบม.6 เองนะเราน่ะ]
“ไม่ใช่สักหน่อยครับ พาพี่มาเจอคุณแม่ต่างหากล่ะ”
[พี่ที่ไหนจ๊ะ เพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือ ?]
“เอาน่า เดี๋ยวคุณแม่เจอหน้าก็รู้เองละครับ แต่งตัวสวย ๆ นะฮะ”
[แหม ย้ำขนาดนี้เดี๋ยวแม่รีบออกไปเลยจ้า ดูซิว่าใครกันสำคัญจนลูกของแม่ย้ำนักย้ำหนาขนาดนี้]
“แม่มาเดี๋ยวก็รู้เองครับ”
[งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ สายชล ลูก…]
“ครับ”
[วันนี้แม่อบคุกกี้ชาไทยที่ลูกชอบไว้ด้วยนะ แม่ใส่กล่องไปให้นะจ๊ะ เดี๋ยวใส่กล่องไปเยอะ ๆ เลยเผื่อรุ่นพี่ของลูกด้วยเนอะ]
“งั้นเดี๋ยวผมรอนะครับ รักคุณแม่นะ”
[จ้า รอแม่แป๊บนะลูก]
สายชลวางสายคุณแม่ก่อนจะก้าวเท้าลงไปหาสายฟ้าที่เดินถ่ายรูปอยู่ริมชายหาด สายชลอ้อนให้พี่ชายถ่ายรูปตนบ้างแต่พี่ชายคนดีก็ไม่ยอม
“พี่สายฟ้าใจร้าย ไม่เล่นด้วยแล้ว” สายชลพูดแกล้งทำเสียงเง้างอน แต่ขณะนั้นสายฟ้ากลับรู้สึกถึงเรื่องราวและเหตุการณ์บางอย่าง คำพูดที่สายชลคุยกับเขาน้ำเสียงน้อยใจ ท่าทางแบบนี้ สายลม แสงแดด รวมไปถึงบรรยากาศแบบนี้มันช่างคุ้นตา หากแต่เขากลับนึกอะไรไม่ออก ที่พอจะจดจำได้ภาพในหัวก็มีเพียงความทรงจำที่เลือนรางเท่านั้น
“พี่สายฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า” สายชลตะโกนเรียนพี่ชายที่ยืนถือกล้องโพลารอยด์ค้างไว้อยู่แบบนั้น เรียกเท่าไรก็ไม่ตอบราวกับกำลังนึกเรื่องอะไรอยู่จนไม่สนใจเสียงรอบข้าง
“มึงจำเรื่องตอนเด็กได้มั่งปะ”
สายชลส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ “ถึงจำไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ”
“อื้ม แล้วเมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ ?”
“ผมบอกว่า เราเข้าไปกันเถอะเดี๋ยวคุณแม่รอนาน”
“อื้ม ไปกัน”
สายฟ้าเคยไปหาหมอเฉพาะทางหลายครั้งเพื่อปรึกษาเรื่องความทรงจำและสมองที่กระทบกระเทือน สายฟ้าอยากจำเรื่องราวก่อนหน้าให้ได้ เพราะสายฟ้ารู้สึกค้างคาใจมาตลอดว่าตัวเองหลงลืมอะไรไป ไม่ว่าจะหาหมอเก่ง ๆ ทั่วประเทศก็ยังไม่สามารถรักษาอาการของเขาได้ ทำได้เพียงนึกได้อย่างเลือนรางเท่านั้น และการที่ได้มาสถานที่ที่สายฟ้าอาจจะเคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก จึงเสมือนเป็นการกระตุ้นความทรงจำของเขา ทั้งสองคนเดินตรงไปยังรีสอร์ตม่านฟ้า ทะเลดาว สายฟ้ายังคงอดคิดไม่ได้ น่าแปลกที่สายชลเกิดและเติบโตอยู่ที่นี่แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย ต่างจากเขาที่พอนึกได้อย่างรางเลือน สายฟ้ามั่นใจตั้งแต่ก้าวเท้าลงมาที่หาดทรายแห่งนี้ เขาเคยอยู่ที่นี่มาก่อนแน่ ๆ แต่… มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันนะ ?
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?